พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๓ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๒๓๕-๒๓๖
นิสสยสูตร
ว่าด้วยนิสสัย
[๒๐๖] ครั้งนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ที่เรียกว่าผู้ถึงพร้อมด้วยที่อาศัยๆ ดังนี้ ข้าแต่พระองค์ ผู้เจริญ ด้วยเหตุเพียงเท่าไรหนอ ภิกษุจึงชื่อว่าเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยที่อาศัย พระผู้มีพระภาค ตรัสตอบว่า
ถ้าภิกษุอาศัยศรัทธาแล้ว ละอกุศล เจริญกุศล อกุศล นั้นเป็นอันเธอละได้แล้ว
ถ้าอาศัยหิริ ...
ถ้าอาศัยโอตตัปปะ ...
ถ้าอาศัยวิริยะ...
ถ้าภิกษุอาศัยปัญญาแล้ว ละอกุศล เจริญกุศล อกุศลนั้นเป็นอันเธอละได้ แล้ว ภิกษุใด ละอกุศลได้แล้วด้วยปัญญาอันเป็นอริยะ ภิกษุนั้นเป็นอันละอกุศลนั้นแล้ว ละดีแล้ว
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แหละภิกษุนั้นตั้งอยู่ในธรรม ๕ ประการนี้แล้ว พึงอบรม อุปนิสัย ๔ ประการ ๔ ประการเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พิจารณาแล้ว เสพของอย่างหนึ่ง
พิจารณาแล้ว อดกลั้นของอย่างหนึ่ง
พิจารณาแล้ว เว้นของอย่างหนึ่ง
พิจารณาแล้ว บรรเทาของอย่างหนึ่ง
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ด้วยเหตุอย่างนี้แล ภิกษุจึงชื่อว่าเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยที่อาศัย
----------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๓ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๓๓๘-๓๓๙
สุตวาสูตร
ว่าด้วยปริพาชกชื่อสุตวา
[๒๑๑] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ภูเขาคิชฌกูฏ ใกล้พระนคร ราชคฤห์ ครั้งนั้นแล สุตวาปริพาชกเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถึงที่ประทับได้ปราศรัยกับ พระผู้มีพระภาค ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วน ข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญสมัยหนึ่ง
ข้าพระองค์ และพระผู้มีพระภาค อยู่ที่เมืองคิริพชะ ใกล้กรุงราชคฤห์นี่แหละณ ที่นั้นแล ข้าพระองค์ได้สดับรับฟังเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคว่า
ดูกรสุตวะ ภิกษุใดเป็นพระอรหันตขีณาสพ อยู่จบพรหมจรรย์ ทำกิจที่ควรทำ เสร็จแล้ว ปลงภาระแล้วมีประโยชน์แห่งตน อันบรรลุแล้วโดยลำดับ มีกิเลสเครื่องผูกสัตว์ ไว้ในภพสิ้นรอบแล้ว หลุดพ้นแล้วเพราะรู้โดยชอบ ภิกษุนั้น ไม่ควรเพื่อประพฤติล่วงฐานะ ๕ ประการ คือ ภิกษุผู้ขีณาสพ
๑ ไม่ควรแกล้งฆ่าสัตว์
๒ ไม่ควรถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ให้อันเป็นส่วนแห่งความเป็นขโมย
๓ ไม่ควรเสพเมถุนธรรม
๔ ไม่ควรกล่าวเท็จทั้งรู้
๕ ไม่ควรทำการสั่งสมบริโภคกามคุณเหมือนเป็นคฤหัสถ์ในกาลก่อน
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ คำนี้ข้าพระองค์ฟังมาดีแล้ว รับมาดีแล้ว ใส่ใจไว้ดีแล้ว ทรงจำไว้ดีแล้ว แลหรือ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า จริงละ คำนี้ท่านสดับมาดีแล้ว รับเอามาดีแล้ว ใส่ใจไว้ดีแล้ว ทรงจำไว้ดีแล้ว ดูกรสุตวะ ครั้งก่อนและบัดนี้ เราก็กล่าวอย่างนี้ว่า ภิกษุใดเป็นอรหันตขีณาสพ อยู่จบพรหมจรรย์ ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ปลงภาระแล้ว มีประโยชน์แห่งตนอันบรรลุแล้วโดยลำดับ มีกิเลสเครื่องประกอบสัตว์ ไว้ในภพสิ้น รอบแล้ว หลุดพ้นแล้วเพราะรู้โดยชอบ ภิกษุนั้นเป็นผู้ไม่ควรเพื่อ ประพฤติล่วงฐานะ ๙ ประการ คือ ภิกษุผู้ขีณาสพ
๑ ไม่ควรแกล้งฆ่าสัตว์
๒ ไม่ควรถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ให้อันเป็นส่วนแห่งความเป็นขโมย
๓ ไม่ควรเสพเมถุนธรรม
๔ ไม่ควรกล่าวเท็จทั้งรู้
๕ ไม่ควรทำการสั่งสมบริโภคกามคุณเหมือนคฤหัสถ์ในกาลก่อน
๖ ไม่ควรลุอำนาจฉันทาคติ
๗ ไม่ควรลุอำนาจโทสาคติ
๘ ไม่ควรลุอำนาจโมหาคติ
๙ ไม่ควรลุอำนาจภยาคติ
ดูกรสุตวะ ครั้งก่อนและบัดนี้เราก็กล่าวอย่างนี้ว่า ภิกษุใดเป็นพระอรหันต ขีณาสพ อยู่จบพรหมจรรย์ ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ปลงภาระแล้ว มีประโยชน์แห่งตน อันบรรลุแล้วโดยลำดับมีกิเลสเครื่องประกอบสัตว์ไว้ในภพสิ้นรอบแล้ว หลุดพ้นแล้ว เพราะรู้โดยชอบภิกษุนั้น เป็นผู้ไม่ควรเพื่อ ประพฤติล่วงฐานะ ๙ ประการนี้
----------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๓ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๓๔๐-๓๔๑
สัชฌสูตร
ว่าด้วยปริพาชกชื่อสัชฌะ
[๒๑๒] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ภูเขาคิชฌกูฏใกล้พระนคร ราชคฤห์ ครั้งนั้นแล สัชฌปริพาชก เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับได้ปราศรัยกับ พระผู้มีพระภาค ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วน ข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สมัยหนึ่ง ข้าพระองค์ และพระผู้มีพระภาค อยู่ที่เมือง คิริพชะ ใกล้กรุงราชคฤห์นี้แหละ ณ ที่นั้นแล ข้าพระองค์ได้สดับรับฟัง เฉพาะพระพักตร์ ของพระผู้มีพระภาคว่า
ดูกรสัชฌะ ภิกษุผู้เป็นพระอรหันตขีณาสพ อยู่จบพรหมจรรย์ทำกิจที่ควรทำ เสร็จแล้ว ปลงภาระแล้ว มีประโยชน์แห่งตนอันบรรลุแล้ว โดยลำดับ มีกิเลสเครื่อง ประกอบสัตว์ไว้ในภพสิ้นรอบแล้ว หลุดพ้นแล้วเพราะรู้โดยชอบภิกษุนั้น เป็นผู้ไม่ควรเพื่อ ประพฤติล่วงฐานะ ๕ ประการ คือ
ภิกษุผู้ขีณาสพไม่ควรแกล้งฆ่าสัตว์ ๑ ไม่ควรถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ให้อันเป็นส่วนแห่งความเป็นขโมย ๑ ไม่ควรเสพเมถุนธรรม ๑
ไม่ควรกล่าวเท็จทั้งรู้ ๑
ไม่ควรทำการสั่งสมบริโภคกามคุณ เหมือนเป็นคฤหัสถ์ในกาลก่อน ๑
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ คำนี้ข้าพระองค์ฟังมาดีแล้ว รับมาดีแล้ว ใส่ใจไว้ดีแล้ว ทรงจำไว้ดีแล้วแลหรือ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า จริงละ คำนี้ท่านฟังมาดีแล้ว รับมาดีแล้ว ใส่ใจไว้ดีแล้ว ทรงจำไว้ดีแล้ว ครั้งก่อนและบัดนี้ เราก็กล่าวอย่างนี้ว่า ภิกษุใดเป็นพระอรหันตขีณาสพ อยู่พรหมจรรย์ ... หลุดพ้นแล้วเพราะรู้โดยชอบ ภิกษุนั้นเป็นผู้ที่ไม่ควรเพื่อประพฤติ ล่วงฐานะ ๙ ประการ คือ
ภิกษุผู้ขีณาสพไม่ควรแกล้งฆ่าสัตว์ ฯลฯ
ไม่ควรกล่าวคืน พระพุทธเจ้า
ไม่ควรกล่าวคืนพระธรรม
ไม่ควรกล่าวคืนพระสงฆ์
ไม่ควรกล่าวคืนสิกขา
ดูกรสัชฌะ ครั้งก่อนและบัดนี้เราก็กล่าวอย่างนี้ว่า ภิกษุใดเป็นพระอรหันต ขีณาสพ อยู่จบพรหมจรรย์ ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ปลงภาระแล้วมีประโยชน์แห่งตน อันบรรลุแล้วโดยลำดับ มีกิเลสเครื่องประกอบสัตว์ ไว้ในภพสิ้นรอบแล้ว หลุดพ้นแล้ว เพราะรู้โดยชอบภิกษุนั้น เป็นผู้ไม่ควรเพื่อประพฤติล่วงฐานะ ๙ ประการนี้
----------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๓ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๓๔๑
ปุคคลสูตร
บุคคล ๙ จำพวก
[๒๑๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๙ จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก ๙ จำพวกเป็นไฉน คือ
พระอรหันต์ ๑
ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อความเป็นพระอรหันต์ ๑
พระอนาคามี ๑
ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อกระทำให้แจ้ง ซึ่งอนาคามิผล ๑
พระสกทาคามี ๑
ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อกระทำให้แจ้ง ซึ่งสกทาคามิผล ๑
พระโสดาบัน ๑
ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อกระทำให้แจ้ง ซึ่งโสดาปัตติผล ๑
ปุถุชน ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๙ จำพวกเหล่านี้แล มีปรากฏอยู่ในโลก
----------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๓ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๓๔๑-๓๔๒
อาหุเนยยสูตร
บุคคลผู้ควรแก่ของที่เขานำมาถวาย
[๒๑๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๙ จำพวกนี้ เป็นผู้ควรของคำนับ เป็นผู้ควรของต้อนรับ เป็นผู้ควรของทำบุญ เป็นผู้ควรกระทำอัญชลี เป็นนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า ๙ จำพวกเป็นไฉน คือ
พระอรหันต์ ๑
ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อความเป็นพระอรหันต์ ๑
พระอนาคามี ๑
ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งอนาคามิผล ๑
พระสกทาคามี ๑
ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งสกทาคามิผล ๑
พระโสดาบัน ๑
ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อกระทำให้แจ้ง ซึ่งโสดาปัตติผล ๑
โคตรภูบุคคล ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๙ จำพวกเหล่านี้แล เป็นผู้ควรของ คำนับ ฯลฯ เป็นนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า
|