พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๒ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๓๙๒-๔๑๐
พระสูตรที่ไม่ได้สงเคราะห์เข้าในวรรค
[๒๕๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วย ธรรม ๕ ประการ พึงให้กุลบุตร อุปสมบทได้ ธรรม ๕ ประการเป็นไฉน คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้
ประกอบด้วยศีลขันธ์ อันเป็นของพระอเสขะ ๑
ประกอบด้วยสมาธิขันธ์ อันเป็นของพระอเสขะ ๑
ประกอบด้วยปัญญาขันธ์ อันเป็นของพระอเสขะ ๑
ประกอบด้วยวิมุติขันธ์ อันเป็นของพระอเสขะ ๑
ประกอบด้วยวิมุติญาณทัศนขันธ์ อันเป็นของพระอเสขะ ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการนี้แล พึงให้กุลบุตร อุปสมบทได้
[๒๕๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วย ธรรม ๕ ประการ พึงให้นิสัยได้ ธรรม ๕ ประการเป็นไฉน คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ประกอบด้วยศีลขันธ์อันเป็นของ พระอเสขะ ฯลฯ ประกอบด้วยวิมุติญาณทัศนขันธ์อันเป็นของพระอเสขะ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการนี้แล พึงให้นิสัยได้
[๒๕๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ พึงให้สามเณร อุปัฏฐากได้ ธรรม ๕ ประการเป็นไฉน คือ
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ประกอบด้วยศีลขันธ์ อันเป็นของพระอเสขะ ฯลฯ ประกอบด้วยวิมุติญาณทัศนขันธ์อันเป็นของพระอเสขะ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการนี้แล พึงให้สามเณร อุปัฏฐากได้
[๒๕๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความตระหนี่ ๕ ประการนี้ ๕ ประการเป็นไฉน คือ
ความตระหนี่ที่อยู่ ๑
ความตระหนี่สกุล (อุปัฏฐาก) ๑
ความตระหนี่ลาภ ๑
ความตระหนี่ วรรณะ ๑
ความตระหนี่ธรรม ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความตระหนี่ ๕ ประการนี้แล
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาความตระหนี่ ๕ ประการนี้ ความตระหนี่ที่น่าเกลียดยิ่ง คือ ความตระหนี่ธรรม
[๒๕๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุอยู่ประพฤติพรหมจรรย์เพื่อละ เพื่อตัดขาดความ ตระหนี่ ๕ ประการ ความตระหนี่ ๕ ประการเป็นไฉน คือ
ภิกษุอยู่ประพฤติพรหมจรรย์
เพื่อละ เพื่อตัดขาดความตระหนี่ที่อยู่ ๑
เพื่อละ เพื่อตัดขาดความตระหนี่สกุล ๑
เพื่อละ เพื่อตัดขาดความตระหนี่ลาภ ๑
เพื่อละ เพื่อตัดขาดความตระหนี่วรรณะ ๑
เพื่อละ เพื่อตัดขาดความตระหนี่ธรรม ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุอยู่ประพฤติพรหมจรรย์เพื่อละ เพื่อตัดขาดความตระหนี่ ๕ประการนี้แล
[๒๕๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่ละธรรม ๕ ประการ ไม่ควรเพื่อบรรลุปฐมฌาน ธรรม ๕ ประการเป็นไฉน คือ
ความตระหนี่ที่อยู่ ๑
ความตระหนี่สกุล ๑
ความตระหนี่ลาภ ๑
ความตระหนี่วรรณะ ๑
ความตระหนี่ธรรม ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่ละธรรม ๕ ประการนี้แล ไม่ควรบรรลุปฐมฌาน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุละธรรม ๕ ประการ ควรเพื่อบรรลุปฐมฌาน ธรรม ๕ประการ เป็นไฉน คือ
ความตระหนี่ที่อยู่ ๑
ความตระหนี่สกุล ๑
ความตระหนี่ลาภ ๑
ความตระหนี่วรรณะ ๑
ความตระหนี่ธรรม ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุละธรรม ๕ ประการนี้แล ควรบรรลุปฐมฌาน
[๒๕๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่ละธรรม ๕ ประการ ไม่ควรเพื่อบรรลุ ทุติยฌาน ... ตติยฌาน ... จตุตถฌาน ... ไม่ควรเพื่อทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล ... สกทาคามิผล ... อนาคามิผล ... อรหัตผล ธรรม ๕ ประการเป็นไฉน คือ
ความตระหนี่ที่อยู่ ๑
ความตระหนี่สกุล ๑
ความตระหนี่ลาภ ๑
ความตระหนี่วรรณะ ๑
ความตระหนี่ธรรม ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่ละธรรม ๕ ประการนี้แล ไม่ควรเพื่อกระทำ ให้แจ้ง ซึ่งอรหัตผล
ดูกรภิกษุทั้งหลายภิกษุละธรรม ๕ ประการ ควรเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งอรหัตผล ธรรม ๕ ประการเป็นไฉน คือ ความตระหนี่ที่อยู่ ฯลฯ ความตระหนี่ธรรม
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุละธรรม ๕ ประการนี้แล ควรเพื่อกระทำให้แจ้ง ซึ่ง อรหัตผล
[๒๕๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่ละธรรม ๕ ประการ ไม่ควรเพื่อบรรลุปฐมฌาน ธรรม ๕ ประการเป็นไฉน คือ
ความตระหนี่ที่อยู่ ๑
ความตระหนี่สกุล ๑
ความตระหนี่ลาภ ๑
ความตระหนี่วรรณะ ๑
ความเป็นคนอกตัญญูอกตเวที ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่ล ะธรรม ๕ ประการนี้แล ไม่ควรเพื่อบรรลุปฐมฌาน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุละธรรม ๕ ประการ ควรเพื่อบรรลุปฐมฌานธรรม ๕ ประการเป็นไฉน คือ
ความตระหนี่ที่อยู่ ๑
ความตระหนี่สกุล ๑
ความตระหนี่ลาภ ๑
ความตระหนี่วรรณะ ๑
ความเป็นคนอกตัญญูอกตเวที ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุละธรรม ๕ ประการนี้แล ควรเพื่อบรรลุปฐมฌาน
[๒๕๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่ละธรรม ๕ ประการ ไม่ควรเพื่อบรรลุ ทุติยฌาน ... ตติยฌาน ... จตุตถฌาน ... ไม่ควรเพื่อทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล ... สกทาคามิผล ... อนาคามิผล ... อรหัตผล ธรรม ๕ ประการเป็นไฉนคือ
ความตระหนี่ ที่อยู่ ๑
ความตระหนี่สกุล ๑
ความตระหนี่ลาภ ๑
ความตระหนี่วรรณะ ๑
ความเป็นคนอก ตัญญูอกตเวที ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่ละธรรม ๕ ประการนี้แล ไม่ควรเพื่อทำให้แจ้งซึ่ง อรหัตผล
ดูกรภิกษุทั้งหลายภิกษุละธรรม ๕ ประการ ควรเพื่อทำให้แจ้งซึ่งอรหัตผล ธรรม ๕ ประการเป็นไฉน คือ ความตระหนี่ที่อยู่ ฯลฯ ความเป็นคนอกตัญญูอกตเวที
ดูกรภิกษุทั้งหลายภิกษุละธรรม ๕ ประการนี้แล ควรเพื่อทำให้แจ้งซึ่งอรหัตผล
[๒๖๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ สงฆ์ไม่พึงสมมติ ให้เป็นภัตตุเทสก์
ธรรม ๕ ประการเป็นไฉน คือ
ลำเอียงเพราะรัก ๑
ลำเอียงเพราะชัง ๑
ลำเอียงเพราะหลง ๑
ลำเอียงเพราะกลัว ๑
ย่อมไม่รู้ภัตที่ได้นิมนต์แล้ว และยังไม่ได้นิมนต์ ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม๕ ประการนี้แล สงฆ์ไม่พึงสมมติ ให้เป็นภัตตุเทสก์
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ สงฆ์พึงสมมติ ให้เป็น ภัตตุเทสก์
ธรรม ๕ ประการเป็นไฉน คือ
ไม่ลำเอียงเพราะรัก ๑
ไม่ลำเอียงเพราะชัง ๑
ไม่ลำเอียงเพราะหลง ๑
ไม่ลำเอียงเพราะกลัว ๑
ย่อมรู้ภัตที่ได้นิมนต์แล้วและยังไม่ได้นิมนต์ ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม๕ ประการนี้แล สงฆ์พึงสมมติให้เป็น ภัตตุเทสก์
[๒๖๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
-ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ สงฆ์ไม่พึงสมมติให้เป็นภัตตุเทสก์ แม้สมมติแล้ว ก็ไม่พึง ใช้ให้ทำการ ฯลฯ
-ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ สงฆ์พึงสมมติให้เป็นภัตตุเทสก์ สมมติแล้ว ก็พึงใช้ให้ทำการ ฯลฯ
-ภิกษุภัตตุเทสก์ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ พึงทราบว่าเป็นพาล ฯลฯ -ภิกษุภัตตุเทสก์ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ พึงทราบว่าเป็นบัณฑิต ฯลฯ
-ภิกษุภัตตุเทสก์ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ ย่อมบริหารตนให้ถูกขจัด ถูกทำลาย ฯลฯ
-ภิกษุภัตตุเทสก์ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ ย่อมบริหารตนไม่ให้ถูกขจัด ไม่ให้ถูก ทำลาย ฯลฯ
-ภิกษุภัตตุเทสก์ประกอบด้วยธรรม๕ ประการ ย่อมเกิดในนรก เหมือนนำมาโยนลง ฯลฯ
-ภิกษุภัตตุเทสก์ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ ย่อมเกิดในสวรรค์เหมือนเชิญมา ประดิษฐานไว้
ธรรม ๕ประการเป็นไฉน คือ
ไม่ลำเอียงเพราะรัก ๑
ไม่ลำเอียงเพราะชัง ๑
ไม่ลำเอียงเพราะหลง ๑
ไม่ลำเอียงเพราะกลัว ๑
ย่อมรู้ภัตที่ได้นิมนต์แล้วและยังไม่ได้นิมนต์ ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุภัตตุเทสก์ผู้ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการนี้แลย่อมเกิด ในสวรรค์ เหมือนเชิญมาประดิษฐานไว้
[๒๖๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ สงฆ์ไม่พึงสมมติ ให้เป็น เสนาสนปัญญาปกะ ผู้ปูลาดเสนาสนะ ... ไม่รู้เสนาสนะที่ได้ปูลาดแล้ว และยัง ไม่ได้ปูลาด ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๕ประการ สงฆ์พึงสมมติ ให้เป็น เสนาสนะปัญญาปกะ ... ย่อมรู้เสนาสนะที่ได้ปูลาดแล้วและยังไม่ได้ปูลาด ...
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ สงฆ์ไม่พึงสมมติให้เป็น เสนาสนคาหาปกะ ผู้ให้ภิกษุถือเสนาสนะ ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ สงฆ์พึงสมมติให้เป็นเสนาสนคาหาปกะ ...
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ สงฆ์ไม่พึงสมมติให้เป็น ภัณฑาคาริก ผู้รักษาเรือนคลัง ... ย่อมไม่รู้ภัณฑะที่เก็บแล้วและยังไม่ได้เก็บ ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ สงฆ์พึงสมมติให้เป็นภัณฑาคาริก ... ย่อมรู้ภัณฑะที่ได้เก็บแล้วและยังไม่ได้เก็บ ...
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ สงฆ์ไม่พึงสมมติให้เป็น จีวรปฏิคคาหกะ ผู้รับจีวร ... ย่อมไม่รู้จีวรที่รับแล้วและยังไม่ได้รับ ...ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ สงฆ์พึงสมมติให้เป็นจีวรปฏิคคาหกะ ... ย่อมรู้จีวร ที่รับแล้วและยังไม่ได้รับ ...
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ สงฆ์ไม่พึงสมมติให้เป็น จีวรภาชกะ ผู้แจกจีวร ... ไม่รู้จีวรที่ได้แจกแล้วและยังไม่ได้แจก ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ สงฆ์พึงสมมติให้เป็นจีวรภาชกะ ... ย่อมรู้จีวรที่แจก แล้วและยังไม่ได้แจก ...
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ สงฆ์ไม่พึงสมมติให้เป็น ยาคุภาชกะ ผู้แจกข้าวยาคู ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ สงฆ์พึงสมมติให้เป็นยาคุภาชกะ ...
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ สงฆ์ไม่พึงสมมติให้เป็น ผลภาชกะ ผู้แจกผลไม้ ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ สงฆ์พึงสมมติให้เป็นผลภาชกะ ...
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ สงฆ์ไม่พึงสมมติให้เป็น ขัชชกภาชกะ ผู้แจกของขบเคี้ยว ... ย่อมไม่รู้ของขบเคี้ยวที่แจกแล้วและยังไม่ได้แจก ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ สงฆ์พึงสมมติให้เป็น ขัชชกภาชกะ ... ย่อมรู้ของขบเคี้ยวที่แจกแล้วและยังไม่ได้แจก ...
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ สงฆ์ไม่พึงสมมติให้เป็น อัปปมัตตกวิสัชชกะ ผู้จ่ายของเล็กน้อย ... ย่อมไม่รู้ของเล็กน้อยที่ได้จ่ายแล้ว และ ยังไม่ได้จ่าย ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๕ประการ สงฆ์พึง สมมติให้เป็นอัปปมัตตกวิสัชชกะ ... รู้ของเล็กน้อยที่ได้จ่ายแล้วและยังไม่ได้จ่าย ...
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ สงฆ์ไม่พึงสมมติให้เป็น สาฏิยคาหาปกะ ผู้แจกผ้าสาฎก ... ย่อมไม่รู้ผ้าสาฎกที่ได้รับแล้วและยังไม่ได้รับ ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ สงฆ์พึงสมมติให้เป็น สาฏิยคาหาปกะ ... ย่อมรู้ผ้าสาฎกที่ได้รับแล้วและยังไม่ได้รับ ...
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ สงฆ์ไม่พึงสมมติให้เป็น ปัตตคาหาปกะ ผู้แจกบาตร ... ย่อมไม่รู้บาตรที่รับแล้วและไม่ได้รับ ...ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ สงฆ์พึงสมมติให้เป็นปัตตคาหาปกะ ... ย่อมไม่รู้บาตร ที่รับแล้วและยังไม่ได้รับ ...
------------------------------------------------------------------------------------------------
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ สงฆ์ไม่พึงสมมติให้เป็น อารามิกเปสกะ ผู้ใช้คนวัด ... ย่อมไม่รู้คนที่ได้ใช้แล้วและยังไม่ได้ ใช้ ...
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ สงฆ์พึงสมมติให้ เป็นอารามิกเปสกะ ... ย่อมรู้คนที่ได้ใช้แล้วและยังไม่ได้ใช้ ...
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ สงฆ์ไม่พึงสมมติให้เป็น สามเณรเปสกะ ...
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๕ ประการสงฆ์พึงสมมติให้เป็น สามเณรเปสกะ ...
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ สงฆ์ไม่พึงสมมติให้เป็น สามเณรเปสกะ แม้สมมติแล้ว ก็ไม่พึงใช้ให้ทำการ ...
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ สงฆ์พึงสมมติให้เป็น สามเณรเปสกะ สงฆ์สมมติแล้ว พึงใช้ให้ทำการ ...
---------------------------------------------------------------------------------------------
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุสามเณรเปสกะ ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ พึงทราบว่า เป็นพาล ... พึงทราบว่าเป็นบัณฑิต ...
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุสามเณรเปสกะ ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ ย่อม บริหารตนให้ถูกขจัด ถูกทำลาย ...
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุสามเณรเปสกะประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ ย่อม บริหารตนไม่ให้ถูกขจัด ไม่ให้ถูกทำลาย ...
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุสามเณรเปสกะประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ ย่อมเกิดในนรกเหมือนถูกนำมาโยนลง ...
ดูกรภิกษุทั้งหลายภิกษุสามเณรเปสกะประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ ย่อมเกิดใน สวรรค์เหมือน เชิญมาประดิษฐานไว้
ธรรม ๕ ประการเป็นไฉน คือ
ไม่ลำเอียงเพราะรัก ๑
ไม่ลำเอียงเพราะชัง ๑
ไม่ลำเอียงเพราะหลง ๑
ไม่ลำเอียงเพราะกลัว ๑
ย่อมรู้สามเณรที่ใช้แล้วและยังไม่ได้ใช้ ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุสามเณรเปสกะประกอบด้วยธรรม ๕ ประการนี้แล ย่อมเกิดในสวรรค์เหมือนเชิญมาประดิษฐานไว้
[๒๖๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ ย่อมเกิดในนรก เหมือนถูกนำมาโยนลง
ธรรม ๕ ประการเป็นไฉน คือ
เป็นผู้ฆ่าสัตว์ ๑
ลักทรัพย์ ๑
ประพฤติผิดพรหมจรรย์ ๑
กล่าวเท็จ ๑
ดื่มน้ำเมาคือ สุราและเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๕ ประการนี้แล ย่อมเกิดในนรก เหมือน ถูกนำมาโยนลง
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ ย่อมเกิดใน สวรรค์เหมือน เชิญมาประดิษฐานไว้
ธรรม ๕ ประการเป็นไฉน คือ
เป็นผู้งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ ๑
งดเว้นจากการลักทรัพย์ ๑
งดเว้นจากการประพฤติผิดพรหมจรรย์ ๑
งดเว้นจากการพูดเท็จ ๑
งดเว้นจากการดื่มน้ำเมาคือสุราและเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๕ประการนี้แล ย่อมเกิดในสวรรค์ เหมือน เชิญมาประดิษฐานไว้
[๒๖๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุณี ... สิกขมานา ... สามเณร ...สามเณรี ... อุบาสก ... อุบาสิกา ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ ย่อมเกิดในนรกเหมือนถูกนำมา โยนลง
ธรรม ๕ ประการเป็นไฉน คือ
เป็นผู้ฆ่าสัตว์ ๑
ลักทรัพย์ ๑
ประพฤติผิดในกาม ๑
พูดเท็จ ๑
ดื่มน้ำเมาคือสุราและเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อุบาสิกาประกอบด้วยธรรม ๕ประการนี้แล ย่อมเกิดในนรกเ หมือน ถูกนำมาโยนลง
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อุบาสิกาประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ ย่อมเกิดในสวรรค์ เหมือนถูกเชิญมาประดิษฐานไว้
ธรรม ๕ ประการเป็นไฉน คือ
เป็นผู้งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ ๑
งดเว้นจากการลักทรัพย์ ๑
งดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม ๑
งดเว้นจากการพูดเท็จ ๑
งดเว้นจากการดื่มน้ำเมาคือสุราและเมรัยอันเป็นฐานะแห่งความประมาท ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อุบาสิกาประกอบด้วยธรรม ๕ประการนี้แล ย่อมเกิดในสวรรค์ เหมือนเชิญมาประดิษฐานไว้
[๒๖๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อาชีวกประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ ย่อมเกิดในนรก เหมือนถูกนำมาโยนลง
ธรรม ๕ ประการเป็นไฉน คือ
เป็นผู้ฆ่าสัตว์ ๑
ลักทรัพย์ ๑
ประพฤติผิดในกาม ๑
พูดเท็จ ๑
ดื่มน้ำเมาคือสุราและเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อาชีวกประกอบด้วยธรรม ๕ประการนี้แล ย่อมเกิดในนรกเหมือนถูกนำมาโยนลง
[๒๖๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย นิครนถ์ ... สาวกนิครนถ์ ... ชฎิล ...ปริพาชก ... เดียรถีย์พวก มาคัณฑิกะ ... พวกเตทัณฑิกะ ... พวกอารุทธกะ ... พวกโคตมกะ ... พวกเทวธัมมิกะ ... ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ ย่อมเกิดในนรกเหมือนถูกนำมาโยนลง
ธรรม ๕ ประการเป็นไฉน คือ
เป็นผู้ฆ่าสัตว์ ๑
ลักทรัพย์ ๑
ประพฤติผิดในกาม ๑
พูดเท็จ ๑
ดื่มน้ำเมาคือสุราและเมรัยอัน
เป็นที่ตั้งแห่งความประมาท ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เดียรถีย์พวกเทวธัมมิกะ ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการนี้แล ย่อมเกิดในนรกเหมือนถูกนำมาโยนลง
[๒๖๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๕ ประการควรเจริญเพื่อรู้ยิ่งราคะ
๕ ประการเป็นไฉน คือ
อสุภสัญญา ๑
มรณสัญญา ๑
อาทีนวสัญญา ๑
อาหาเรปฏิกูลสัญญา ๑
สัพพโลเกอนภิรตสัญญา ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๕ ประการนี้แล ควรเจริญเพื่อรู้ยิ่งราคะ
[๒๖๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๕ ประการควรเจริญเพื่อรู้ยิ่งราคะ
๕ ประการเป็นไฉน คือ
อนิจจสัญญา ๑
อนิจเจทุกขสัญญา ๑
ทุกเขอนัตตสัญญา ๑
ปหานสัญญา ๑
วิราคสัญญา ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๔ ประการนี้ควรเจริญเพื่อรู้ยิ่งราคะ
[๒๖๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๕ ประการควรเจริญเพื่อรู้ยิ่งราคะ
๕ ประการเป็นไฉน คือ
สัทธินทรีย์ ๑
วิริยินทรีย์ ๑
สตินทรีย์ ๑
สมาธินทรีย์ ๑
ปัญญินทรีย์ ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๕ ประการนี้ควรเจริญเพื่อรู้ยิ่ง ราคะ
[๒๗๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๕ ประการควรเจริญเพื่อรู้ยิ่งราคะ
๕ ประการเป็นไฉน คือ
กำลังคือสัทธา ๑
กำลังคือวิริยะ ๑
กำลังคือสติ ๑
กำลังคือสมาธิ ๑
กำลังคือปัญญา ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๕ ประการนี้แลควรเจริญเพื่อรู้ยิ่งราคะ
[๒๗๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๕ ประการ ควรเจริญเพื่อกำหนดรู้ราคะ ฯลฯ เพื่อความสิ้นไปรอบ เพื่อละ เพื่อสิ้นไป เพื่อเสื่อมไป เพื่อคลายเพื่อดับ เพื่อสละ เพื่อ ปล่อยวางราคะ ฯลฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๕ ประการควรเจริญเพื่อรู้ยิ่ง ฯลฯ เพื่อกำหนดรู้ เพื่อ ความสิ้นไปรอบ เพื่อละ เพื่อสิ้นไปเพื่อเสื่อมไป เพื่อคลาย เพื่อดับ เพื่อสละ เพื่อปล่อย วาง โทสะ โมหะ โกธะอุปนาหะ มักขะ ปลาสะ อิสสา มัจฉริยะ มายา สาเถยยะ ถัมภะ สารัมภะมานะ อติมานะ มทะ ปมาทะ
|