เว็บไซต์ อนาคามี เผยแพร่คำพระศาสดา เผยแพร่คำสอนตถาคต เว็บไซต์เผยแพร่พระสุตรคำสอนของพระพุทธเจ้า คลิปคำสอน คลิปสาธยายธรรม
ค้นหาคำที่ต้องการ            

สังคารวสูตร นิวรณ์ ๕ คือเหตปัจจัยที่ทำให้ มนต์แม้ทำการสาธยายตลอดกาลนานก็ไม่แจ่มแจ้ง คือกามราคะ พยาบาท ถีนมิทถะ อุทธัจจจะ วิจิกิจฉา 2230
 

พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๒

สังคารวสูตร ว่าด้วยสังคารวพราหมณ์
อะไรหนอเป็นเหตุ เป็นปัจจัย ให้มนต์ที่สาธยายไว้ตลอดกาลยาวนาน ไม่แจ่มแจ้งในบางคราว ไม่ต้องกล่าวถึงมนต์ที่มิได้กระทำการสาธยาย

ดูกรพราหมณ์ สมัยใด
๑ สมัยใด บุคคลมีใจอัน กามราคะ กลุ้มรุมครอบงำอยู่ และไม่รู้ชัดตามความเป็นจริง
๒ สมัยใด บุคคลมีใจอัน พยาบาท กลุ้มรุมครอบงำอยู่ และไม่รู้ชัดตามเป็นจริง
๓ สมัยใด บุคคลมีใจอัน ถีนมิทธะ กลุ้มรุมครอบงำอยู่ และไม่รู้ชัดตามเป็นจริง
๔ สมัยใด บุคคลมีใจอัน อุทธัจจกุกกุจจะ กลุ้มรุมครอบงำอยู่ และไม่รู้ชัดตามเป็นจริง
๕ สมัยใด บุคคลมีใจอัน วิจิกิจฉา กลุ้มรุมครอบงำอยู่ และไม่รู้ชัดตามเป็นจริง

สมัยนั้น
มนต์แม้ที่ทำการสาธยาย ตลอดกาลนาน ก็ไม่แจ่มแจ้ง
ไม่ต้องกล่าวถึงมนต์ที่ไม่ทำการสาธยาย

ดูกรพราหมณ์ นี้แลเป็นเหตุเป็นปัจจัย (นิวรณ์ ๕)

เรื่องสำคัญของพระพุทธเจ้า
การบำเพ็ญบารมีในอดีตชาติ
การประสูติ แสงสว่าง แผ่นดินไหว
แสวงหาสัจจะบำเพ็ญทุกรกิริยา
ปัญจวัคคีย์หลีก สิ่งที่ตรัสรู้
ตรัสรู้ แสดงเทศนาปัญจวัคคีย์
ปลงสังขาร ปรินิพพาน
ลำดับขั้นการปรินิพพาน
เทวดาแสดงฤทธิ์ขณะถวายเพลิง
แบ่งพระสรีระออกเป็น ๘ ส่วน
 
รวมพระสูตรบุคคลสำคัญ
พระโมคคัลลานะ
พระสารีบุตร
พระเทวทัต
นิครนถ์ปริพาชก
พระมหากัปปินะ
พระอนุรุทธะ
พระอุบาลี
(ดูทั้งหมด)
 
สารบาญพระไตรปิฎก
เล่มที่ ๘-๓๓ (๒๕ เล่ม) ทุกพระสูตร
1. ฉบับหลวง
2. ฉบับมหาจุฬาฯ
3. อรรถกถาไทย
4. ฉบับภาษาบาลี
5. อรรถกถา-บาลี
6. Pali Roman (Roman Script)
7. Atthakatha PaliRoman
 

 


 


พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๒ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๒๓๕-๒๔๐

๓. สังคารวสูตร
ว่าด้วยสังคารวพราหมณ์
(เหตุปัจจัยที่ทำให้มนต์ไม่แจ่ม)

            [๑๙๓] ครั้งนั้นแล สังคารวพราหมณ์ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ได้ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า

            ข้าแต่ท่านพระโคดม อะไรหนอ เป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้มนต์ แม้ที่ทำ การสาธยายตลอดกาลนาน ก็ไม่แจ่มแจ้งในกาลบางคราว ไม่ต้องกล่าวถึงมนต์ ที่ไม่ ไม่ทำการสาธยาย และอะไรเป็นเหตุ เป็นปัจจัยเครื่องให้มนต์ แม้ที่ไม่ได้ทำการ สาธยาย ตลอดกาลนาน ก็แจ่มแจ้ง ได้ในกาลบางคราว ไม่ต้องกล่าวถึงมนต์ที่ทำการ สาธยาย พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า

            ดูกรพราหมณ์ สมัยใด บุคคลมีใจอันกามราคะกลุ้มรุมอัน กามราคะ ครอบงำ อยู่ และย่อมไม่รู้ชัด ตามความเป็นจริง ซึ่งธรรมเป็นเครื่องสลัดออกแห่ง กามราคะ ที่เกิด ขึ้นแล้ว สมัยนั้น บุคคลย่อมไม่รู้ไม่เห็นตามความเป็นจริง แม้ซึ่ง ประโยชน์ตน แม้ซึ่ง ประโยชน์ผู้อื่น แม้ซึ่งประโยชน์ทั้งสองฝ่าย มนต์แม้ที่ทำการ สาธยาย ตลอดกาล นาน ก็ไม่แจ่มแจ้ง ไม่ต้องกล่าวถึงมนต์ที่ไม่ทำการสาธยาย เปรียบเหมือนภาชนะที่เต็มด้วย น้ำ ซึ่งระคนด้วยครั่งขมิ้น สีเขียว หรือสีเหลืองอ่อน บุรุษมีตาดี มองดูเงาหน้าของตนใน ภาชนะ อันเต็มด้วยน้ำนั้น ไม่พึงรู้ไม่พึงเห็นตาม ความเป็นจริง แม้ฉันใด
            ดูกรพราหมณ์ สมัยใด บุคคลมีใจอันกามราคะกลุ้มรุม อันกามราคะครอบงำอยู่ และย่อมไม่รู้ชัดตามความเป็นจริง ซึ่งธรรมเป็นเครื่องสลัดออก แห่งกามราคะ ที่เกิดขึ้น แล้ว สมัยนั้น บุคคลย่อมไม่รู้ไม่เห็นตามเป็นจริง แม้ซึ่งประโยชน์ตน แม้ซึ่งประโยชน์ ผู้อื่น แม้ซึ่งประโยชน์ทั้งสองฝ่าย มนต์แม้ที่ทำการสาธยายตลอดกาลนานก็ไม่แจ่มแจ้ง ไม่ต้องกล่าวถึงมนต์ ที่ไม่ทำการสาธยาย ฉันนั้นเหมือนกัน
-----------------------------------------------------------------------------------------------------

            ดูกรพราหมณ์ อีกประการหนึ่ง สมัยใด บุคคลมีใจอัน พยาบาท กลุ้มรุม อัน พยาบาทครอบงำอยู่ และย่อมไม่รู้ชัดตามเป็นจริง ซึ่งธรรม เป็นเครื่องสลัดออกแห่ง พยาบาท ที่เกิดขึ้นแล้ว ฯลฯ มนต์แม้ที่ทำการสาธยายตลอดกาลนาน ก็ไม่แจ่มแจ้ง ไม่ต้องกล่าวถึงมนต์ที่ไม่ทำการสาธยาย เปรียบเหมือนภาชนะ ที่เต็มด้วยน้ำร้อน เพราะไฟ เดือดพล่านเป็นไอ บุรุษมีตาดีมองดูเงาหน้าของตน ในภาชนะที่เต็มด้วยน้ำนั้น ไม่พึงรู้ไม่พึงเห็นตามเป็นจริง แม้ฉันใด
            ดูกรพราหมณ์ สมัยใด บุคคลมีใจอันพยาบาทกลุ้มรุม อันพยาบาทครอบงำอยู่ และย่อมไม่รู้ชัดตามความเป็นจริง ซึ่งธรรมเป็นเครื่องสลัดออกแห่งพยาบาท ที่เกิดขึ้น แล้ว ฯลฯมนต์แม้ที่ทำการสาธยายตลอดกาลนาน ก็ไม่แจ่มแจ้ง ไม่ต้องกล่าวถึงมนต์ ที่ไม่ทำการสาธยาย ฉันนั้นเหมือนกัน
-----------------------------------------------------------------------------------------------------

            ดูกรพราหมณ์ อีกประการหนึ่ง สมัยใด บุคคลมีใจอัน ถีนมิทธะ กลุ้มรุม อัน ถีนมิทธะ ครอบงำอยู่ และย่อมไม่รู้ชัดตามเป็นจริง ซึ่งธรรมเป็นเครื่องสลัดออก แห่ง ถีนมิทธะ ที่เกิดขึ้นแล้ว ฯลฯ มนต์แม้ที่ทำการสาธยายตลอดกาลนาน ก็ไม่แจ่มแจ้ง ไม่ต้องกล่าวถึงมนต์ที่ไม่ทำการสาธยาย เปรียบเหมือนภาชนะ ที่เต็มด้วยน้ำอันสาหร่าย และแหนปกคลุมแล้ว บุรุษมีตาดีมองดูเงาหน้าของตนในภาชนะ ที่เต็มด้วยน้ำนั้น ไม่พึงรู้ไม่พึงเห็นตามเป็นจริง แม้ฉันใด
            ดูกรพราหมณ์ สมัยใด บุคคลมีใจ อันถีนมิทธะกลุ้มรุม อันถีนมิทธะครอบงำอยู่ และย่อมไม่รู้ชัดตามเป็นจริง ซึ่งธรรมเป็นเครื่องสลัดออก แห่งถีนมิทธะที่เกิดขึ้นแล้ว ฯลฯ มนต์แม้ที่ทำการสาธยายตลอดกาลนาน ก็ไม่แจ่มแจ้ง ไม่ต้องกล่าวถึงมนต์ ที่ไม่ทำการ สาธยาย ฉันนั้นเหมือนกัน
-----------------------------------------------------------------------------------------------------

            ดูกรพราหมณ์ อีกประการหนึ่ง สมัยใด บุคคลมีใจอัน อุทธัจจกุกกุจจะ กลุ้มรุม อันอุทธัจจกุกกุจจะครอบงำอยู่ และย่อมไม่รู้ชัดตามเป็นจริง ซึ่งธรรมเป็นเครื่อง สลัดออก แห่งอุทธัจจกุกกุจจะที่เกิดขึ้นแล้ว ฯลฯ มนต์แม้ที่ทำการสาธยายตลอด กาล นาน ก็ไม่ แจ่มแจ้ง ไม่ต้องกล่าวถึงมนต์ที่ไม่ทำการสาธยาย เปรียบเหมือนภาชนะ ที่เต็มด้วยน้ำ อันลมพัด ไหว วน เป็นคลื่น บุรุษมีตาดีมองดูเงาหน้าของตนในภาชนะ ที่เต็มด้วยน้ำนั้น ไม่พึงรู้ไม่พึงเห็นตามเป็นจริง แม้ฉันใด
            ดูกรพราหมณ์ สมัยใด บุคคลมีใจอันอุทธัจจกุกกุจจะกลุ้มรุม อัน อุทธัจจ กุกกุจจะ ครอบงำอยู่ และย่อมไม่รู้ชัด ตามเป็นจริง ซึ่งธรรมเป็นเครื่องสลัดออก แห่ง อุทธัจจกุกกุจจะที่เกิดขึ้นแล้ว ฯลฯ มนต์แม้ที่ทำการสาธยาย ตลอดกาลนาน ก็ไม่แจ่มแจ้ง ไม่ต้องกล่าวถึงมนต์ที่ไม่ทำการสาธยาย ฉันนั้นเหมือนกัน
-----------------------------------------------------------------------------------------------------

            ดูกรพราหมณ์ อีกประการหนึ่ง สมัยใด บุคคลมีใจอัน วิจิกิจฉา กลุ้มรุม อัน วิจิกิจฉาครอบงำอยู่ และย่อมไม่รู้ชัด ตามเป็นจริง ซึ่งธรรมเป็นเครื่องสลัดออกแห่ง วิจิกิจฉาที่เกิดขึ้นแล้ว ฯลฯ มนต์แม้ที่ทำการสาธยาย ตลอดกาลนาน ก็ไม่แจ่มแจ้ง ไม่ต้องกล่าวถึงมนต์ที่ไม่ทำการสาธยาย เปรียบเหมือนภาชนะที่เต็มด้วยน้ำขุ่น มัว เป็นตม ที่เขาวางไว้ในที่มืด บุรุษมีตาดีมองดูเงาหน้าของตนในภาชนะที่เต็มด้วยน้ำนั้น ไม่พึงรู้ไม่พึงเห็นตามเป็นจริง แม้ฉันใด

            ดูกรพราหมณ์ สมัยใด บุคคลมีใจอันวิจิกิจฉากลุ้มรุม อันวิจิกิจฉาครอบงำอยู่ และย่อมไม่รู้ชัดตามเป็นจริง ซึ่งธรรมเป็นเครื่องสลัดออกแห่งวิจิกิจฉา ที่เกิดขึ้นแล้ว ฯลฯ มนต์แม้ที่ทำการสาธยายตลอดกาลนาน ก็ไม่แจ่มแจ้ง ไม่ต้องกล่าวถึงมนต์ที่ไม่ ทำการ สาธยายฉันนั้นเหมือนกัน

(ในทางตรงกันข้าม)

            ดูกรพราหมณ์ ก็ สมัยใด แล บุคคลมีใจอันกามราคะไม่กลุ้มรุม อันกามราคะ ไม่ครอบงำอยู่ และย่อมรู้ชัด ตามเป็นจริง ซึ่งธรรมเป็นเครื่องสลัดออกแห่งกามราคะ ที่เกิดขึ้นแล้ว สมัยนั้น บุคคลย่อมรู้ ย่อมเห็นตามเป็นจริง แม้ซึ่งประโยชน์ตน แม้ซึ่ง ประโยชน์ผู้อื่น แม้ซึ่งประโยชน์ทั้งสองฝ่าย มนต์แม้ที่ไม่ทำการสาธยาย ตลอดกาล นานก็แจ่มแจ้ง ไม่ต้องกล่าวถึงมนต์ที่ทำการสาธยาย เปรียบเหมือนภาชนะ อันเต็ม ด้วยน้ำซึ่งไม่ระคนด้วยครั่ง ขมิ้น สีเขียว หรือสีเหลืองอ่อน บุรุษมีตาดีมองดูเงา หน้า ของตน ในภาชนะที่เต็มด้วยน้ำนั้น พึงรู้พึงเห็นตามเป็นจริง แม้ฉันใด

            สมัยใด บุคคลมีใจอันกามราคะไม่กลุ้มรุม อันกามราคะไม่ครอบงำอยู่ และย่อม รู้ชัด ตามเป็นจริง ซึ่งธรรมเป็นเครื่องสลัดออก แห่งกามราคะที่เกิดขึ้นแล้ว สมัยนั้น บุคคลย่อมรู้ย่อมเห็นตามเป็นจริง แม้ซึ่งประโยชน์ตน แม้ซึ่งประโยชน์ผู้อื่นแม้ซึ่ง ประโยชน์ ทั้งสองฝ่าย มนต์แม้ที่ไม่ทำการสาธยาย ตลอดกาลนานก็แจ่มแจ้ง ไม่ต้อง กล่าว ถึงมนต์ที่ทำการสาธยาย ฉันนั้นเหมือนกัน

            ดูกรพราหมณ์ อีกประการหนึ่ง สมัยใด บุคคลมีใจอันพยาบาท ไม่กลุ้มรุม อัน พยาบาทไม่ครอบงำอยู่ และย่อมรู้ชัดตามเป็นจริง ซึ่งธรรมเป็นเครื่องสลัดออกแห่ง พยาบาท ที่เกิดขึ้นแล้ว ฯลฯ มนต์ที่ไม่ทำการสาธยาย ตลอดกาลนานก็แจ่มแจ้ง ไม่ต้อง กล่าวถึงมนต์ที่ทำการสาธยาย เปรียบเหมือนภาชนะที่เต็มด้วยน้ำไม่ร้อนเพราะไฟ ไม่เดือดพล่าน ไม่เป็นไอ บุรุษมีตาดีมองดูเงาหน้าของตน ในภาชนะที่เต็มด้วยน้ำนั้น พึงรู้พึงเห็นตามเป็นจริง แม้ฉันใด

            สมัยใด บุคคลมีใจอันพยาบาทไม่กลุ้มรุม อันพยาบาทไม่ครอบงำอยู่ และย่อม รู้ชัด ตามเป็นจริงซึ่งธรรม เป็นเครื่องสลัดออกแห่งพยาบาทที่เกิดขึ้นแล้ว ฯลฯ มนต์แม้ ที่ไม่ทำการสาธยายตลอดกาลนาน ก็แจ่มแจ้ง ไม่ต้องกล่าวถึงมนต์ที่ทำการสาธยาย ฉันนั้นเหมือนกัน

            ดูกรพราหมณ์ อีกประการหนึ่ง สมัยใด บุคคลมีใจอันถีนมิทธะไม่กลุ้มรุม อัน ถีนมิทธะไม่ครอบงำ และย่อมรู้ชัด ตามเป็นจริง ซึ่งธรรมเป็นเครื่องสลัดออกแห่ง ถีนมิทธะ ที่เกิดขึ้นแล้ว ฯลฯ มนต์แม้ที่ไม่ทำการสาธยาย ตลอดกาลนาน ก็แจ่มแจ้ง ไม่ต้องกล่าวถึงมนต์ที่ทำการสาธยาย เปรียบเหมือนภาชนะที่เต็มด้วยน้ำ อันสาหร่าย และแหน ไม่ปกคลุมแล้ว บุรุษมีตาดีมองดูเงาหน้าของตนในภาชนะที่เต็มด้วยน้ำนั้น พึงรู้พึงเห็นตามเป็นจริง แม้ฉันใด

            สมัยใด บุคคลมีใจอันถีนมิทธะไม่กลุ้มรุม อันถีนมิทธะไม่ครอบงำอยู่ และย่อม รู้ชัด ตามเป็นจริง ซึ่งธรรม เป็นเครื่องสลัดออก แห่งถีนมิทธะที่เกิดขึ้นแล้ว ฯลฯ มนต์ แม้ที่ไม่ทำการสาธยายตลอดกาลนาน ก็แจ่มแจ้ง ไม่ต้องกล่าวมนต์ที่ทำการสาธยาย ฉันนั้นเหมือนกัน

            ดูกรพราหมณ์ อีกประการหนึ่ง สมัยใด บุคคลมีใจอันอุทธัจจกุกกุจจะไม่กลุ้มรุม อันอุทธัจจกุกกุจจะ ไม่ครอบงำอยู่ และย่อมรู้ชัดตามเป็นจริง ซึ่งธรรมเป็นเครื่อง สลัด ออกแห่งอุทธัจจกุกกุจจะที่เกิดขึ้นแล้ว ฯลฯ มนต์แม้ที่ไม่ทำการสาธยายตลอดกาลนาน ก็แจ่มแจ้ง ไม่ต้องกล่าวถึงมนต์ที่ทำการสาธยาย เปรียบเหมือน ภาชนะที่เต็มด้วยน้ำ อันลมไม่พัด ไม่ไหว ไม่วน ไม่เป็นคลื่น บุรุษมีตาดีมองดูเงาหน้าของตน ในภาชนะที่เต็ม ด้วยน้ำนั้น พึงรู้พึงเห็นตามเป็นจริง

            แม้ฉันใด บุคคลมีใจอันอุทธัจจกุกกุจจะไม่กลุ้มรุม อันอุทธัจจกุกกุจจะไม่ ครอบงำ อยู่ และย่อมรู้ชัดตาม เป็นจริง ซึ่งธรรมเป็นเครื่องสลัดออกแห่งอุทธัจจกุกกุจจะ ที่เกิดขึ้นแล้ว ฯลฯ มนต์แม้ที่ไม่ทำการสาธยาย ตลอดกาลนาน ก็แจ่มแจ้ง ไม่ต้องกล่าว ถึงมนต์ที่ทำการสาธยาย ฉันนั้นเหมือนกัน

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง สมัยใด บุคคลมีใจอันวิจิกิจฉาไม่กลุ้มรุม อันวิจิกิจฉาไม่ครอบงำ และย่อมรู้ชัด ตามเป็นจริง ซึ่งธรรมเป็นเครื่องสลัดออกแห่ง วิจิกิจฉาที่เกิดขึ้นแล้ว ฯลฯ มนต์แม้ที่ไม่ทำการ สาธยาย ตลอดกาลนานก็แจ่มแจ้ง ไม่ต้องกล่าวถึงมนต์ที่ทำการสาธยาย เปรียบเหมือน ภาชนะที่เต็มด้วยน้ำ อันใสแจ๋ว ไม่ขุ่นมัว ที่เขาวางไว้ในที่สว่าง บุรุษมีตาดีมองดูเงาหน้าของตนในภาชนะ ที่เต็ม ด้วยน้ำนั้น พึงรู้พึงเห็นตามเป็นจริงได้

            แม้ฉันใด สมัยใดบุคคลมีใจอันวิจิกิจฉาไม่กลุ้มรุม อันวิจิกิจฉาไม่ครอบงำอยู่ และย่อมรู้ชัดตามเป็นจริง ซึ่งธรรมเป็นเครื่องสลัดออกแห่งวิจิกิจฉาที่เกิดขึ้นแล้ว ฯลฯ มนต์แม้ที่ไม่ทำการสาธยายตลอดกาลนาน ก็แจ่มแจ้ง ไม่ต้องกล่าวถึงมนต์ ที่ทำการสาธยาย ฉันนั้นเหมือนกัน

            ดูกรพราหมณ์ นี้แลเป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้มนต์ แม้ที่ทำการสาธยาย ตลอดกาลนาน ไม่แจ่มแจ้ง ได้ในกาล บางคราว ไม่ต้องกล่าวถึงมนต์ที่ไม่ทำการ สาธยาย และนี้แลเป็นเหตุเป็นปัจจัย เครื่องให้มนต์ แม้ที่ไม่ทำการสาธยาย ตลอด กาลนาน ก็แจ่มแจ้งได้ในกาลบางคราว ไม่ต้องกล่าวถึงมนต์ ที่ทำการสาธยาย

            สังคารวพราหมณ์ได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์ แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่พระโคดม ผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก พระองค์ทรง ประกาศธรรมโดยอเนกปริยาย เปรียบเหมือนบุคคลหงาย ของที่คว่ำเปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือตามประทีปในที่มืดด้วยหวังว่า ผู้มีจักษุจักเห็นรูปได้ ฉะนั้น ข้าพระองค์นี้ขอถึงพระโคดมผู้เจริญ กับทั้งพระธรรม และพระภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะ ขอพระโคดมผู้เจริญโปรดทรงจำข้าพระองค์ ว่าเป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต จำเดิมตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป


 





หนังสือพุทธวจน ธรรมะของพระศาสดา
90 90 90 90
พุทธประวัติ ขุมทรัพย์ อริยสัจ
ภาคต้น
อริยสัจ
ภาคปลาย
ปฏิจจ ปฐมธรรม ตถาคต อนาคามี อินทรีย์
สังวร
สัตว์
สัตตานัง
ทาน
สกทาคามี
ฆราวาส
ชั้นเลิศ
มรรควิธี
ที่ง่าย
อริยวินัย เดรัจฉานวิชา กรรม สมถะ
วิปัสสนา
โสดาบัน นา
ปานสติ
จิต มโน
วิญญาณ
ก้าวย่าง
อย่างพุทธะ
ตามรอย
ธรรม
ภพ ภูมิ
พุทธวจน
สาธยาย
ธรรม
สังโยชน์