พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๘ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๒๕-๑๒๘
ภารทวาชสูตร
ว่าด้วยพระปิณโฑลภารทวาชะ
[๑๙๕] สมัยหนึ่ง ท่านพระบิณโฑลภารทวาชะอยู่ ณ พระวิหารโฆสิตาราม ใกล้พระนครโกสัมพี ครั้งนั้นแล พระเจ้าอุเทน ได้เสด็จไปหาท่านพระบิณโฑลภารทวาชะ ทรงสนทนาปราศรัยกับ ท่านพระบิณโฑลภารทวาชะ ครั้นผ่านการสนทนาปราศรัย พอให้ระลึกถึงกันแล้ว จึงประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ครั้นแล้ว ได้ตรัสถามท่าน พระบิณโฑลภารทวาชะว่า ท่านภารทวาชะผู้เจริญ เหตุปัจจัยอะไรหนอแล เป็นเครื่องให้ภิกษุทั้งหลายเหล่านี้ ผู้ยังเป็นหนุ่มแรกรุ่น มีผมดำ สนิท เป็นหนุ่มแน่น อยู่ในปฐมวัย ยังไม่หมดความระเริงในกามทั้งหลาย ประพฤติ พรหมจรรย์ บริสุทธิ์ บริบูรณ์ จนตลอดชีวิต และปฏิบัติอยู่ได้นาน ท่านพระบิณโฑล ภารทวาชะ ทูลตอบว่า ขอถวายพระพร พระผู้มีพระภาคผู้รู้ ผู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมา สัมพุทธเจ้า พระองค์ตรัสไว้ดังนี้ว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เธอทั้งหลายจงมาตั้งจิตว่า เป็นมารดา ในสตรีปูนมารดา
เธอทั้งหลายจงตั้งจิตว่า เป็นพี่สาวน้องสาว ในสตรีปูนพี่สาวน้องสาว
เธอทั้งหลาย จงตั้งจิตว่า เป็นธิดา ในสตรีปูนธิดา
ขอถวายพระพร
ข้อนี้แลเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ภิกษุ เหล่านี้ ผู้ยังเป็นหนุ่มแรกรุ่น มีผมดำสนิท เป็นหนุ่มแน่น อยู่ในปฐมวัย ผู้ยังไม่หมด ความระเริงในกามทั้งหลาย ประพฤติพรหมจรรย์ บริสุทธิ์บริบูรณ์ จนตลอดชีวิต และปฏิบัติ อยู่ได้นาน
----------------------------------------------------------------------------------------------------
[๑๙๖] อุ. ท่านภารทวาชะผู้เจริญ จิตเป็นธรรมชาติโลเลบางคราวธรรมคือ ความโลภทั้งหลาย ย่อมเกิดขึ้นในเหล่าสตรี ปูนมารดาก็มี ปูนพี่สาวน้องสาวก็มี ปูนธิดาก็มี มีไหมหนอ ท่านภารทวาชะ ข้ออื่นที่เป็นเหตุเป็นปัจจัย ให้ภิกษุเหล่านี้ ผู้ยังเป็นหนุ่ม แรกรุ่น มีผมดำสนิท เป็นหนุ่มแน่น อยู่ในปฐมวัยยังไม่หมดความระเริง ในกามทั้งหลาย ประพฤติพรหมจรรย์ บริสุทธิ์ บริบูรณ์ จนตลอดชีวิต และปฏิบัติ อยู่ได้นาน
บิ. ขอถวายพระพร พระผู้มีพระภาคผู้รู้ ผู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ตรัสไว้ดังนี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงมาพิจารณากายนี้แหละ เบื้องบนแต่พื้นเท้าขึ้นไป เบื้องต่ำแต่ปลายผมลงมา อันมีหนังหุ้มอยู่โดยรอบ เต็มด้วย ของ ไม่สะอาดมีประการต่างๆ ว่า มีอยู่ในกายนี้ คือ ผม ขนเล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจ ตับ พังผืดไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า ดี เสลด หนอง เลือดเหงื่อ มันข้น น้ำตา เปลวมัน น้ำลาย น้ำมูก ไขข้อ น้ำมูตร ดังนี้ ขอถวายพระพร
แม้ข้อนี้ก็เป็นเหตุเป็นปัจจัย ให้ภิกษุเหล่านี้ผู้ยังเป็นหนุ่ม แรกรุ่น มีผมดำสนิท เป็นหนุ่มแน่นอยู่ในปฐมวัย ผู้ยังไม่หมดความระเริง ในกามทั้งหลาย ประพฤติพรหมจรรย์ บริสุทธิ์บริบูรณ์ จนตลอดชีวิต และปฏิบัติอยู่ได้นาน
----------------------------------------------------------------------------------------------------
[๑๙๗] อุ. ท่านภารทวาชะผู้เจริญ ภิกษุเหล่าใดเป็นผู้มีกายอันอบรมแล้ว เป็นผู้มีศีลอันอบรมแล้ว เป็นผู้มีจิตอันอบรมแล้ว เป็นผู้มีปัญญาอันอบรมแล้ว การอบรม กายเป็นต้นนั้น ไม่เป็นกิจอันภิกษุเหล่านั้นทำได้โดยยาก ส่วนภิกษุเหล่าใดเป็นผู้มีกาย ยังไม่ได้อบรมแล้ว เป็นผู้มีศีลยังไม่ได้อบรมแล้ว เป็นผู้มีจิตยังไม่ได้อบรมแล้ว เป็นผู้มี ปัญญายังไม่ได้อบรมแล้ว การอบรมกายเป็นต้นนั้น เป็นกิจอันภิกษุเหล่านั้น ทำได้ โดยยาก
ท่านภารทวาชะผู้เจริญ บางคราวเมื่อบุคคลตั้งใจอยู่ว่า เราจักทำไว้ในใจโดย ความเป็นของไม่งาม แต่อารมณ์ย่อมมา โดยความเป็นของงามก็มี มีไหมหนอแล ท่านภารทวาชะผู้เจริญ ข้ออื่นที่เป็นเหตุเป็นปัจจัย ให้ภิกษุเหล่านี้ ผู้ยังเป็นหนุ่ม แรกรุ่น มีผมดำสนิท เป็นหนุ่มแน่นอยู่ในปฐมวัย ผู้ยังไม่หมดความระเริง ในกามทั้งหลาย ประพฤติพรหมจรรย์บริสุทธิ์บริบูรณ์ จนตลอดชีวิต และปฏิบัติอยู่ได้นาน
บิ. ขอถวายพระพร พระผู้มีพระภาคผู้รู้ ผู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ได้ตรัสไว้ดังนี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงมาเถิดเธอทั้งหลาย จงเป็นผู้มีทวารอันคุ้มครองแล้ว ในอินทรีย์ทั้งหลายอยู่เถิด
----------------------------------------------------------------------------------------------------
เธอทั้งหลายเห็นรูปด้วยตาแล้ว จงอย่าเป็นผู้ถือเอาโดยนิมิต อย่าเป็นผู้ถือเอา โดย อนุพยัญชนะ จงปฏิบัติเพื่อสำรวมจักขุนทรีย์ ที่เมื่อไม่สำรวมแล้ว เป็นเหตุให้ อกุศลธรรมอันลามกคือ อภิชฌาและโทมนัสครอบงำได้ จงรักษาจักขุนทรีย์ จงถึงความ สำรวมในจักขุนทรีย์ เธอทั้งหลายฟังเสียงด้วยหูแล้ว... สูดกลิ่นด้วยจมูกแล้ว ... ลิ้มรส ด้วยลิ้นแล้ว... ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกายแล้ว...
รู้แจ้งธรรมารมณ์ด้วยใจแล้ว อย่าได้เป็นผู้ถือเอาโดยนิมิต อย่าได้เป็น ผู้ถือเอา โดยอนุพยัญชนะ จงปฏิบัติเพื่อความสำรวมมนินทรีย์ ที่เมื่อไม่สำรวมแล้ว เป็นเหตุให้ อกุศลธรรมอันลามก คืออภิชฌา และโทมนัสครอบงำได้ จงรักษามนินทรีย์ จงถึงความ สำรวมในมนินทรีย์ ขอถวายพระพร
แม้ข้อนี้ ก็เป็นเหตุเป็นปัจจัย ให้ภิกษุเหล่านี้ ผู้ยังเป็นหนุ่ม แรกรุ่นมีผมดำสนิท เป็นหนุ่มแน่น อยู่ในปฐมวัย ผู้ยังไม่หมดความระเริง ในกามทั้งหลาย ประพฤติพรหมจรรย์ บริสุทธิ์บริบูรณ์จนตลอดชีวิต และปฏิบัติอยู่ได้นาน
----------------------------------------------------------------------------------------------------
[๑๙๘] อุ. น่าอัศจรรย์ ท่านภารทวาชะผู้เจริญ ไม่เคยมีแล้ว ท่านภารทวาชะ ผู้เจริญ ตามกำหนดธรรมปริยายนี้ อันพระผู้มีพระภาคผู้รู้ ผู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมา สัมพุทธเจ้า ตรัสดีแล้ว ท่านภารทวาชะผู้เจริญ
ข้อนี้แล เป็นเหตุเป็นปัจจัย ให้ภิกษุเหล่านี้ ผู้ยังเป็นหนุ่ม แรกรุ่น มีผมดำสนิท เป็นหนุ่มแน่น อยู่ในปฐมวัย ยังเป็นผู้ไม่หมดความ ระเริง ในกามทั้งหลาย ประพฤติ พรหมจรรย์ บริสุทธิ์ บริบูรณ์ จนตลอดชีวิต และปฏิบัติ อยู่ได้นาน
----------------------------------------------------------------------------------------------------
ท่านภารทวาชะผู้เจริญ ในสมัยใด แม้ข้าพเจ้าเอง มีกายมิได้รักษาแล้ว มีวาจา มิได้รักษาแล้ว มีจิตมิได้รักษาแล้ว มีสติมิได้ตั้งไว้แล้ว มีอินทรีย์ทั้งหลาย มิได้สำรวม แล้ว เข้าไปสู่ฝ่ายในในสมัยนั้น ธรรม คือ ความโลภทั้งหลาย ย่อมครอบงำข้าพเจ้ายิ่งนัก ท่านภารทวาชะผู้เจริญ แต่ว่า
ในสมัยใดแล ข้าพเจ้ามีกายอันรักษาแล้ว มีวาจาอันรักษาแล้ว มีจิตอันรักษา แล้ว มีสติอันตั้งไว้แล้ว มีอินทรีย์ทั้งหลายอันสำรวมแล้ว เข้าไปสู่ฝ่ายใน ในสมัยนั้น ธรรม คือ ความโลภทั้งหลาย ไม่ครอบงำข้าพเจ้า ท่านภารทวาชะผู้เจริญ ภาษิตของท่าน แจ่มแจ้งนัก
ท่านภารทวาชะผู้เจริญ ภาษิตของท่านแจ่มแจ้งนัก ท่านภารทวาชะ ประกาศธรรม โดยอเนกปริยาย เปรียบเหมือนหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือตามประทีปไว้ในที่มืด ด้วยหวังว่า ผู้มีจักษุจะเห็นรูปได้ ฉะนั้น
ท่านภารทวาชะผู้เจริญ ข้าพเจ้าขอถึงพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น กับทั้งพระธรรม และพระภิกษุสงฆ์ว่าเป็นที่พึ่ง ขอท่านภารทวาชะจงจำข้าพเจ้าว่า เป็นอุบาสกผู้ถึง พระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งจนตลอดชีวิต ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเถิด
|