พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๗ พระสุตตันตปิฎก หน้า ๑๔๙-๑๕๐
๑. อันตสูตร
ว่าด้วยส่วนคือสักกายะ ๔
[๒๗๔] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้:-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิก เศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี. ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ส่วน ๔ อย่างเหล่านี้.
ส่วน ๔ อย่างเป็นไฉน?
ส่วนคือสักกายะ ๑
ส่วนคือสักกายสมุทัย ๑
ส่วนคือสักกายนิโรธ ๑
ส่วนคือ สักกายนิโรธคามินีปฏิปทา ๑.
[๒๗๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ส่วนคือสักกายะเป็นไฉน? ส่วนคือสักกายะนั้น ควรจะกล่าวว่า อุปาทานขันธ์ ๕
อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นไฉน? อุปาทานขันธ์ ๕ นั้น ได้แก่
อุปาทานขันธ์คือรูป ๑
อุปาทานขันธ์คือเวทนา ๑
อุปาทานขันธ์คือสัญญา ๑
อุปาทานขันธ์ คือสังขาร ๑
อุปาทานขันธ์คือวิญญาณ ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า ส่วนคือสักกายะ.
[๒๗๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ส่วนคือสักกายสมุทัยเป็นไฉน? ส่วนคือสักกาย สมุทัยนั้นคือ ตัณหาอันนำให้เกิดในภพใหม่ ประกอบด้วยความกำหนัด ด้วยอำนาจ ความเพลิดเพลิน มีปกติเพลิดเพลินยิ่งในภพ หรืออารมณ์นั้นๆ. ได้แก่กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา. ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า ส่วนคือสักกายสมุทัย.
[๒๗๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ส่วนคือสักกายนิโรธเป็นไฉน? ส่วนคือสักกาย นิโรธนั้นคือ ความดับโดยไม่เหลือแห่งตัณหานั้นแล ด้วยมรรค คือ วิราคะ ความสละ ความสละคืนความหลุดพ้น ความไม่มีอาลัย. ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า ส่วนคือ สักกายนิโรธ.
[๒๗๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ส่วนคือสักกายนิโรธคามินี ปฏิปทาเป็นไฉน? ส่วนคือ สักกายนิโรธคามินีปฏิปทานั้น ได้แก่อริยมรรค ประกอบด้วยองค์ ๘ นี้แล สัมมาทิฏฐิ ๑ สัมมาสังกัปปะ ๑ สัมมาวาจา ๑ สัมมากัมมันตะ ๑ สัมมาอาชีวะ ๑ สัมมาวายามะ ๑ สัมมาสติ ๑.สัมมาสมาธิ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า ส่วนคือ สักกายนิโรธคามินี ปฏิปทา. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ส่วน ๔ อย่างนี้แล
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๗ พระสุตตันตปิฎก หน้า ๑๕๑
๓. สักกายสูตร
ว่าด้วยสักกายะตามแนวอริยสัจธรรม
[๒๘๔] พระนครสาวัตถี. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงสักกายะ สักกายสมุทัย สักกายนิโรธ และสักกายนิโรธคามินีปฏิปทา แก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟัง.
[๒๘๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สักกายะเป็นไฉน? คำว่าสักกายะนั้น ควรจะกล่าว ว่า อุปาทานขันธ์ ๕. อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นไฉน? อุปาทานขันธ์ ๕ นั้น ได้แก่ อุปาทานขันธ์คือรูป ฯลฯ อุปาทานขันธ์คือ วิญญาณ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า สักกายะ.
[๒๘๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สักกายสมุทัยเป็นไฉน? สักกายสมุทัยนั้นคือ ตัณหาอันนำให้เกิดใน ภพใหม่ ประกอบด้วยความกำหนัด ด้วยอำนาจความเพลิดเพลิน ยิ่ง ในภพหรืออารมณ์นั้น. กล่าวคือ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา. ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่าสักกายสมุทัย.
[๒๘๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สักกายนิโรธเป็นไฉน? คือความดับโดยไม่เหลือ แห่งตัณหา นั้นแล ด้วยมรรค คือ วิราคะ ความสละ ความสละคืน ความหลุดพ้น ความไม่อาลัย. ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า สักกายนิโรธ.
[๒๘๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สักกายนิโรธคามินีปฏิปทาเป็นไฉน? คือ อริยมรรค ประกอบด้วยองค์ ๘ นี้ กล่าวคือ สัมมาทิฏฐิ ฯลฯ สัมมาสมาธิ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่าสักกายนิโรธคามินีปฏิปทา.
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๗ พระสุตตันตปิฎก หน้า ๑๕๑-๑๕๒
๔. ปริญเญยยสูตร
ว่าด้วยธรรมที่ควรกำหนดรู้
[๒๘๙] พระนครสาวัตถี. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงธรรมที่ควรกำหนดรู้ ความกำหนดรู้ และบุคคลผู้กำหนดรู้แล้ว แก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟัง
[๒๙๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ธรรมที่ควรกำหนดรู้เป็นไฉน? คือ รูป เวทนา สัญญาสังขาร วิญญาณ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า ธรรมที่ควรกำหนดรู้
[๒๙๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความกำหนดรู้เป็นไฉน? ความสิ้นไปแห่งราคะ ความสิ้นไปแห่งโทสะ ความสิ้นไปแห่งโมหะ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า ความกำหนดรู้
[๒๙๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลผู้กำหนดรู้แล้วเป็นไฉน? บุคคลผู้กำหนด รู้แล้ว ควรจะกล่าวว่าพระอรหันต์ กล่าวคือ ท่านผู้มีชื่ออย่างนี้ มีโคตรอย่างนี้. ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า บุคคลผู้กำหนดรู้แล้ว
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๗ พระสุตตันตปิฎก หน้า ๑๕๒
๕. สมณสูตร ๑
ว่าด้วยผู้ไม่ควรและผู้ควรยกย่องว่าเป็นสมณพราหมณ์
[๒๙๓] พระนครสาวัตถี. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้. อุปาทานขันธ์๕ เป็นไฉน? ได้แก่อุปาทานขันธ์คือรูป ฯลฯ อุปาทานขันธ์คือ วิญญาณ.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือ พราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ไม่รู้ชัดซึ่งคุณ โทษ และอุบายเครื่องสลัดออกแห่งอุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้ ตามความเป็นจริง. สมณะหรือ พราหมณ์เหล่านี้นั้น ย่อมไม่ได้รับยกย่องว่า เป็นสมณะในหมู่สมณะ และไม่ได้รับ ยกย่องว่า เป็นพราหมณ์ในหมู่พราหมณ์ อนึ่ง ท่านเหล่านั้นทำให้แจ้งซึ่ง ประโยชน ์แห่งความเป็นสมณะ หรือประโยชน์แห่งความเป็นพราหมณ์ ด้วยปัญญาอัน ยิ่งเอง ในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ไม่ได้.
[๒๙๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ส่วนสมณะหรือพราหมณ์เหล่าใด เหล่าหนึ่ง ย่อม รู้ชัด ซึ่งคุณ โทษ และอุบายเครื่องสลัดออกแห่งอุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้ ตามความเป็น จริง. สมณะหรือพราหมณ์ เหล่านี้นั้นแล ย่อมได้รับยกย่องว่า เป็นสมณะในหมู่สมณะ และได้รับยกย่องว่าเป็นพราหมณ์ ในหมู่พราหมณ์ อนึ่ง ท่านเหล่านั้นย่อมทำให้แจ้ง ซึ่งประโยชน์แห่ง ความเป็นสมณะหรือ ประโยชน์แห่งความเป็นพราหมณ์ ด้วยปัญญา อันยิ่งเอง ในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ได้ |