พุทธประวัติจากพระโอษฐ์ หน้าที่ ๔๔
ความรู้สึก ที่ถึงกับทำให้ออกผนวช ๒
ภิกษุ ท. ! ในโลกนี้ ครั้งก่อนแต่การตรัสรู้ เมื่อเรายังไม่ได้ตรัสรู้ยังเป็น โพธิสัตว์อยู่ ตนเองมีความเกิดเป็นธรรมดาอยู่แล้ว ก็ยังมัวหลงแสวงหาสิ่ง ที่มีความเกิด เป็นธรรมดาอยู่นั่นเอง
ตนเองมีความแก่เป็นธรรมดาอยู่แล้วก็ยังมัว หลงแสวง หา สิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดาอยู่นั่นเอง ตนเองมีความเจ็บไข้เป็น ธรรมดาอยู่แล้ว ก็ยังมัวหลงแสวงหาสิ่งที่มีความเจ็บไข้เป็นธรรมดาอยู่นั่นเอง ตนเองมีความตายเป็นธรรมดาอยู่แล้ว ก็ยังมัวหลงแสวงหาสิ่งที่มีความตาย
เป็นธรรมดาอยู่นั่นเอง ตนเองมีความโศก เป็นธรรมดาอยู่แล้ว ก็ยังมัวหลง แสวง หาสิ่งที่มีความโศกเป็นธรรมดาอยู่นั่นเอง ตนเองมีความเศร้าหมอง โดยรอบด้าน เป็นธรรมดาอยู่แล้ว ก็ยังมัวหลงแสวงหาสิ่งที่มีความเศร้าหมองโดยรอบด้าน เป็น ธรรมดาอยู่นั่นเอง อีก.
ภิกษุ ท. ! ก็อะไรเล่า เป็นสิ่งที่มีความเกิด (เป็นต้น) ฯลฯ มีความเศร้าหมองโดย รอบด้าน (เป็นที่สุด) เป็นธรรมดา ?
ภิกษุ ท. !
บุตรและภรรยา มีความเกิดเป็นธรรมดา ฯลฯ มีความเศร้าหมองโดยรอบด้านเป็น ธรรมดา
ทาสหญิงทาสชายมีความเกิดเป็นธรรมดา ฯลฯ มีความเศร้าหมองโดยรอบด้านเป็น ธรรมดา
แพะ แกะมีความเกิดเป็นธรรมดา ฯลฯ มีความเศร้าหมองโดยรอบด้านเป็นธรรมดา
ไก่ สุกร มีความเกิดเป็นธรรมดา ฯลฯ มีความเศร้าหมองโดยรอบด้านเป็นธรรมดา
ช้าง โค ม้า ลา มีความเกิดเป็นธรรมดา ฯลฯ มีความเศร้าหมองโดยรอบด้าน เป็นธรรมดา
ทองและเงินเป็นสิ่งที่มีความเกิดเป็นธรรมดา ฯลฯ มีความเศร้าหมองโดยรอบด้าน เป็นธรรมดา
สิ่งที่มนุษย์เข้าไปเทิดทูนเอาไว้ เหล่านี้แลที่ชื่อว่าสิ่งที่มีความเกิด เป็น ธรรมดา ฯลฯ มีความเศร้าหมองโดยรอบด้านเป็นธรรมดา
ซึ่งคนในโลกนี้ พากันจม ติดอยู่ พากันมัวเมาอยู่ พากันสยบอยู่ในสิ่งเหล่านี้ จึงทำ ให้ตนทั้งที่มีความเกิดเป็นธรรมดา ฯลฯ มีความเศร้าหมองโดยรอบด้านเป็นธรรมดา อยู่เองแล้ว ก็ยังมัวหลงแสวงหาสิ่งที่มีความเกิดเป็นธรรมดา ฯลฯ ที่มีความเศร้า หมอง โดยรอบด้าน เป็นธรรมดา อยู่นั่นเอง อีก.๑
ภิกษุ ท. ! ความคิดอันนี้ ได้เกิดขึ้นแก่เราว่า
ทำไมหนอ เราซึ่งมีความเกิด ฯลฯ ความเศร้าหมองโดยรอบด้าน เป็นธรรมดาอยู่ เองแล้ว จะต้องไปมัวแสวงหา สิ่งที่มี ความเกิด ฯลฯ ความเศร้าหมองโดยรอบด้าน เป็นธรรมดาอยู่อีก.
ไฉนหนอ เราผู้มี ความเกิด ฯลฯ ความเศร้าหมองโดยรอบด้าน เป็นธรรมดาอยู่เอง แล้ว ครั้นได้รู้สึกถึง โทษอันต่ำทรามของการมีความเกิด ฯลฯ ความเศร้าหมองโดย รอบด้านเป็นธรรมดา นี้แล้ว
เราพึงแสวงหา นิพพาน อันไม่มีความเกิด ฯลฯ ไม่มีความเศร้าหมองโดยรอบ ด้าน อันเป็นธรรมที่เกษมจากเครื่องร้อยรัด ไม่มีธรรม อื่นยิ่งกว่าเถิด
ภิกษุ ท. ! เรานั้นโดยสมัยอื่นอีก ยังหนุ่มเทียว เกสายังดำจัด บริบูรณ์ด้วยความ หนุ่มที่กำลังเจริญ ยังอยู่ในปฐมวัย เมื่อมารดาบิดาไม่ปรารถนาด้วยกำลัง พากัน ร้องไห้น้ำตานองหน้าอยู่ เราได้ปลงผมและหนวด ครองผ้าย้อมฝาดออกจากเรือน บวชเป็นผู้ไม่มีเรือนแล้ว.
(ในบาลี สคารวสูตร ๑ มีที่ตรัสไว้สรุปแต่สั้น ๆ ว่า)
ภารทวาชะ ! ในโลกนี้ ครั้งก่อนแต่การตรัสรู้ เมื่อเรายังไม่ได้ตรัสรู้ยังเป็นโพธิสัตว์ อยู่ ความคิดนี้เกิดมีแก่เรา ว่า “ฆราวาสคับแคบ เป็นทางมาแห่งธุลี ส่วนบรรพชา เป็นโอกาสว่าง ผู้อยู่ครองเรือนจะประพฤติพรหมจรรย์ ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์โดย ส่วนเดียว เหมือนสังข์ที่เขาขัดดีแล้ว โดยง่าย นั้นไม่ได้.
ถ้าไฉนเราพึงปลงผมและหนวด ครองผ้าย้อมฝาดออกจากเรือน บวชเป็นผู้ไม่มี ประโยชน์ เกี่ยวข้องด้วยเรือน เถิด” ดังนี้.
ภารทวาชะ ! เรานั้นโดยสมัยอื่นอีกยังหนุ่มเทียว....
๑. บาลี สคารวสูตร พราหมณวรรค ม. ม. ๑๓/๖๖๙/๗๓๘. ตรัสแก่พราหมณ์หนุ่ม ชื่อ สคารวะ ที่หมู่บ้านปัจจลกัปป์. ข้อความเช่นนี้ ยังมีในสูตรอื่นอีก เช่นบาลีมหาสัจจกสูตร มู. ม. หน้า ๔๔๒ บรรพ ๔๑๑ เป็นต้น. |