ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๑ สุตตันตปิฎก  ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค หน้าที่ ๑ 
                          พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๓ ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค 
 
๑. ปาฏิกสูตร (๒๔) 
 
          [๑]  ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ 
          สมัยหนึ่ง  พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่ อนุปิยนิคม ของชาวมัลละ ใน แคว้นมัลละ  ครั้งนั้นแลเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคทรงนุ่งแล้ว ทรงถือบาตรและจีวร  เสด็จเข้าไปบิณฑบาตยังอนุปิยนิคม ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคได้ทรงพระดำริว่า  ยังเช้านักที่จะเข้าไปบิณฑบาต ยังอนุปิยนิคม ถ้ากระไร เราพึงไปหาปริพาชก ชื่อ  ภัคควโคตร ที่อารามของเขา ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเสด็จเข้าไปหาปริพาชกชื่อ ภคควโคตรที่อารามของเขาแล้ว  ฯ 
                                                            ครั้นแล้ว จึงได้กราบทูลว่าข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ วันก่อนๆ พระโอรสเจ้าลิจฉวี ชื่อ  สุนักขัตตะ ได้เข้ามาหาข้าพระองค์ถึงที่อยู่ แล้วบอกว่า ดูกรภัคควะ บัดนี้ ข้าพเจ้า บอกคืน(ขอสึก) พระผู้มีพระภาคแล้ว ข้าพเจ้าไม่อยู่อุทิศต่อ พระผู้มีพระภาค ดังนี้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  คำนั้นเป็นดังที่เขากล่าวหรือ ฯ  
                              ก็เป็นดังที่โอรสเจ้าลิจฉวีชื่อ สุนักขัตตะ กล่าวนั้นแล 
                           
                          (จากนั้นพระผู็มีพระภาคทรงเล่า ภัคควะ ได้ทราบที่มาที่ไปของการบอกคืนของ สุนักขัตตะ) 
                           
                          (สุนักขัตตะ บอกคืนเพราะเห็นว่าพระผู้มีพระภาคไม่ทรงแสดงอิทธิปาฎิหาริย์ให้เห็น) 
                          (เกิดความเข้าใจผิด เหมือนพระพุทธเจ้าไม่ได้ขอให้มาบวช เมื่อสุนักขัตตะ ขอคืน ก็อ้างว่า พระผู้มีพระภาคขอให้บวช ปัญหาคือ บอกคืนใคร) 
                           
                                  ดูกรสุนักขัตตะ เพราะเหตุที่เราไม่ได้กล่าวกะเธอว่า มาเถิด สุนักขัตตะ  เธอจงอยู่ อุทิศต่อเรา ดังนี้ อนึ่ง เธอก็ไม่ได้กล่าวกะเราว่า  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ จักอยู่อุทิศต่อพระผู้มีพระภาค ดังนี้  ดูกรโมฆบุรุษ เมื่อเป็นเช่นนี้ เธอเมื่อ บอกคืน จะชื่อว่าบอกคืนใคร เธอจงเห็นว่า  ข้อนี้เป็นความผิดของเธอ เท่านั้น ฯ 
                                  [๒] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ก็พระผู้มีพระภาค มิได้ทรงกระทำอิทธิปาฏิหาริย์ ที่เป็นธรรมยิ่งยวดของมนุษย์แก่ข้าพระองค์เลย  ฯ 
                           
                              ดูกรสุนักขัตตะ เราได้กล่าวกะเธออย่างนี้ว่ามาเถิดสุนักขัตตะ เธอจงอยู่อุทิศ ต่อเรา เราจะกระทำอิทธิปาฏิหาริย์ที่เป็นธรรม ยิ่งยวดของมนุษย์แก่เธอดังนี้ บ้างหรือ ฯ 
                              หามิได้ พระเจ้าข้า ฯ (สุนักขัตตะ ปฏิเสธว่า พระผู้มีพระภาคไม่ได้ชวนให้มาอุทิศ ต่อพระองค์ โดยพระองค์จะแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ให้เห็น) 
                           
                              หรือว่า เธอได้กล่าวกะเรา อย่างนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์จักอยู่ อุทิศต่อ พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคจักทรงกระทำ อิทธิปาฏิหาริย์ที่เป็นธรรม ยิ่งยวดของมนุษย์ แก่ข้าพระองค์ ฯ 
                              หามิได้ พระเจ้าข้า ฯ (ขณะเดียวกัน สุนักขัตตะ ปฏิเสธว่าไม่ได้ขอมาอุทิศ เพื่อให้พระ ผู้มี พระภาคกระทำปาฏิหาริย์) 
                               ดูกรสุนักขัตตะ  เพราะเหตุที่เรามิได้กล่าวกะเธอ และ เธอก็มิได้กล่าวกะเราฯ   
                           
                                                        ดูกรโมฆบุรุษ เมื่อเป็นเช่นนี้ เธอเมื่อบอกคืนจะชื่อว่าบอกคืนใคร  
                           
                              ดูกรสุนักขัตตะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน คือเมื่อเราได้กระทำ อิทธิปาฏิหาริย์ ที่เป็นธรรม ยิ่งยวดของมนุษย์ หรือมิได้กระทำก็ดี ธรรมที่เราได้ แสดงไว้ ย่อมนำผู้ประพฤติให้ สิ้นทุกข์โดยชอบ [หรือหาไม่] ฯ 
                              ดูกรสุนักขัตตะ เพราะเหตุที่เมื่อเราได้กระทำอิทธิปาฏิหาริย์ ที่เป็นธรรมยิ่งยวด ของมนุษย์ หรือมิได้กระทำก็ดี ธรรมที่เราได้แสดงไว้ ย่อมนำผู้ประพฤติ ให้สิ้น ทุกข์โดยชอบ เช่นนี้ เธอจะปรารถนาการกระทำอิทธิปาฏิหาริย์ที่เป็น ธรรมยิ่งยวด ของมนุษย์ไปทำไม  
                           
                                                        ดูกรโมฆบุรุษ เธอจงเห็นว่า ข้อนี้เป็นความผิดของเธอเท่านั้น ฯ 
                          (ธรรมของพระองค์ เป็นธรรมเพื่อสิ้นทุกข์ แต่อิทธิปาฏิหาริย์เป็นธรรมอันยิ่งยวดของมนุษย์ ซึ่งเป็นนัยยะที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง เหมือนกับว่าเมื่อสิ้นทุกข์แล้ว ยังต้องการปาฏิหาริย์อีกหรือ)  
                          
   |