เว็บไซต์ อนาคามี เผยแพร่คำพระศาสดา เผยแพร่คำสอนตถาคต เว็บไซต์เผยแพร่พระสุตรคำสอนของพระพุทธเจ้า คลิปคำสอน คลิปสาธยายธรรม
 
ค้นหาคำที่ต้องการ          

 
   อรหันตสัมมาสัมพุทธ  วิปัสสี ตรัสรู้ธรรม 904
 
(เนื้อหาพอสังเขป)

อรหันตสัมมาสัมพุทธ วิปัสสี ตรัสรู้ธรรม
ทรงเห็นว่า ธรรมที่เราบรรลุแล้วนี้เป็นธรรม ลึกซึ้ง เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบ ประณีต จะคาดคะเน เอาไม่ได้ ละเอียด รู้ได้เฉพาะบัณฑิต


ทรงขวนขวายน้อย มิได้น้อมไป เพื่อจะทรงแสดงธรรม
ท้าวมหาพรหมองค์หนึ่งได้ ทราบพระปริวิตกในพระทัย ของพระผู้มีพระภาค วิปัสสี จึงดำริว่า โลกจะ พินาศ เสียละหนอ เพราะว่า พระทัยของพระองค์ มิได้น้อมไป เพื่อจะทรงแสดงธรรม

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระสุคต จงทรงแสดงธรรม ในโลกนี้สัตว์ที่มีกิเลส เพียงดังธุลีในจักษุเบาบาง ยังมีอยู่ เพราะมิได้ฟังธรรม สัตว์เหล่านั้นจึงเสื่อมเสียไป ผู้ที่รู้ทั่วถึงธรรมได้ยังจัก มีอยู่  ดูกรพรหม คาถาที่น่าอัศจรรย์ ยิ่งนัก ซึ่งเรามิได้สดับมาแล้วแต่ก่อน หรือได้ แจ่มแจ้ง แล้วดังนี้ บัดนี้ ไม่ควรเลย ที่จะประกาศธรรม ที่เราได้บรรลุแล้วโดยแสนยาก

อุปมาเหมือนกอบัว 3 กอ
วิปัสสี เมื่อทรงตรวจดูโลกด้วยพุทธจักษุก็ได้ทรงเห็น หมู่สัตว์ บางพวกมีกิเลสเพียงดังธุลี ในจักษุน้อย บางพวกมีกิเลสเพียงดังธุลีใน จักษุมาก บางพวกมีอินทรีย์แก่กล้า บางพวกมี อินทรีย์อ่อน บางพวกมี อาการดี บางพวกมีอาการ ทราม บางพวกจะพึงให้รู้แจ้งได้ง่าย บางพวกจะพึงให้รู้แจ้ง ได้ยากบางพวก เป็น ภัพพสัตว์ บางพวกเป็นอภัพพสัตว์ บางพวก มักเห็นปรโลก และโทษโดยความเป็นภัย

ในกออุบล หรือ กอบัวหลวง หรือใน กอบัวขาว ดอกอุบล ดอกบัวหลวง หรือ ดอกบัวขาว เกิดแล้วในน้ำ เจริญแล้วในน้ำ น้ำเลี้ยงอุปถัมภ์ไว้ บางเหล่ายังจม อยู่ภายในน้ำ บางเหล่าตั้งอยู่เสมอน้ำ บางเหล่า ตั้งขึ้นพ้นน้ำ อันน้ำมิได้ติดใบ แม้ฉันใด ภิกษุทั้งหลาย หมู่สัตว์ที่พระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมา สัมพุทธเจ้า พระนามว่าวิปัสสี ทรงตรวจดูด้วย พุทธจักษุ ทรงเห็นก็ฉันนั้นเหมือนกัน

พระพุทธเจ้าวิปัสสี แสดงธรรม
แสดงธรรมเป็นครั้งที่ ๑ แสดงแก่โอรสกษัตริย์ ขัณฑะ และติสสะ
แสดงธรรมเป็นครั้งที่ ๒ แสดงแก่มหาชน ๘๔,๐๐๐ คน
แสดงธรรมเป็นครั้งที่ ๓ แสดงแก่บรรพชิต ๘๔,๐๐๐ รูป



 
 

พระไตรปิฎก ฉบับหลวง (ภาษาไทย) เล่มที่ ๑๐ หน้าที่ ๒๙ - หน้า ๓๗

อรหันตสัมมาสัมพุทธ วิปัสสี ตรัสรู้ธรรม


                ๔๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมา สัมพุทธ  เจ้าพระนามว่า วิปัสสี ได้ทรงพระดำริว่า ไฉนหนอเราพึงแสดงธรรม ดูกรภิกษุ ทั้งหลายลำดับนั้น พระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่า วิปัสสี ได้ทรง พระดำริว่า ธรรมที่เราบรรลุแล้วนี้เป็นธรรม ลึกซึ้ง เห็นได้ยาก รู้ตาม ได้ยาก สงบ ประณีต จะคาดคะเนเอาไม่ได้ ละเอียด รู้ได้เฉพาะบัณฑิต ส่วนหมู่สัตว์นี้ มีอาลัย เป็นที่ยินดี ยินดีแล้วในอาลัย เบิกบานแล้วในอาลัย ก็อันหมู่สัตว์ผู้มีอาลัย เป็นที่ยินดี ยินดีแล้วในอาลัย เบิกบานแล้วในอาลัย ยากที่จะเห็นได้ซึ่งฐานะนี้ คือ ปัจจัย แห่งสภาวธรรมอันเป็นที่อาศัยกันเกิดขึ้น (ปฏิจจสมุบาท) ยากที่จะเห็นได้ ซึ่งฐานะ

แม้นี้คือพระนิพพาน ซึ่งเป็นที่ระงับแห่งสังขารทั้งปวง เป็นที่สลัดอุปธิทั้งปวง เป็นที่ สิ้นไป แห่งตัณหา คลายความกำหนัด ดับทุกข์ ก็และเราพึงแสดงธรรม แต่สัตว์เหล่า อื่น ไม่พึงรู้ ทั่วถึงธรรมของเรา นั้นพึงเป็นความลำบากแก่เรา นั้นพึงเป็นความ เดือดร้อนแก่เรา ฯ

      ดูกรภิกษุทั้งหลาย ได้ยินว่า คาถาทั้งหลายที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนักซึ่งพระองค์ มิได้เคยสดับมาแล้วแต่ก่อน ได้แจ่มแจ้งกะพระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่า วิปัสสี ดังนี้บัดนี้ ไม่ควรเลยที่จะประกาศธรรมที่เราได้บรรลุแล้ว โดยแสนยาก ธรรมนี้ อันสัตว์ที่ถูกราคะ และโทสะครอบงำแล้ว ไม่ตรัสรู้ได้โดยง่าย สัตว์ที่ถูกราคะย้อมไว้ ถูกกองแห่งความมืดหุ้มห่อไว้แล้ว จักเห็นไม่ได้ซึ่งธรรมที่มี ปรกติไปทวนกระแสอันละเอียด ลึกซึ้งเห็นได้ยากเป็นอณู

                [๔๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่า วิปัสสี พิจารณาเห็นดังนี้ พระทัยก็น้อมไปเพื่อความขวนขวายน้อย  มิได้น้อมไป เพื่อจะทรงแสดงธรรม

                [๔๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล ท้าวมหาพรหมองค์หนึ่งได้ ทราบ พระปริวิตก ในพระทัย ของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าวิปัสสี ด้วยใจ แล้วจึงดำริว่า ผู้เจริญทั้งหลาย โลกจะฉิบหายเสียละหนอ ผู้เจริญทั้งหลาย โลกจะพินาศเสียละหนอ เพราะว่า พระทัยของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมา สัมพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสี ได้น้อมไปเพื่อความขวนขวายน้อยเสียแล้ว มิได้น้อมไป เพื่อจะทรงแสดงธรรม

      ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล ท้าวมหาพรหมนั้นหายไปในพรหมโลก มาปรากฏเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาค อรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า วิปัสสี เหมือนบุรุษที่มีกำลัง เหยียดออกซึ่งแขนที่คู้เข้าไว้ หรือคู้เข้าซึ่งแขนที่ได้ เหยียดออก ไว้ฉะนั้น

      ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล ท้าวมหาพรหมกระทำผ้าอุตตราสงค์ เฉวียงบ่า ข้างหนึ่ง คุกชาณุมณฑลเบื้องขวา ลงบนแผ่นดิน ประนมมือไปทางที่พระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าวิปัสสี ประทับอยู่แล้ว ได้กราบทูลกะพระผู้มี พระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสีว่า

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงแสดงธรรม ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระสุคต จงทรงแสดงธรรม ในโลกนี้สัตว์ที่มีกิเลส เพียงดังธุลีในจักษุเบาบาง ยังมีอยู่เพราะ มิได้ฟังธรรม สัตว์เหล่านั้นจึงเสื่อมเสียไป ผู้ที่รู้ทั่วถึงธรรมได้ยังจัก มีอยู่

      ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อท้าวมหาพรหมนั้นกราบทูลเช่นนี้ พระผู้มีพระภาคอรหันต สัมมา สัมพุทธเจ้า พระนามว่าวิปัสสี ได้ตรัสกะท้าวมหาพรหมนั้นว่า ดูกรพรหม แม้เราก็ได้ดำริแล้ว เช่นนี้ว่า ไฉนหนอเราพึงแสดงธรรม ดูกรพรหม แต่เรานั้น ได้คิดเห็น ดังนี้ว่า ธรรมที่เราบรรลุแล้วนี้ เป็นธรรมลึกซึ้ง เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบประณีต จะคาดคะเนเอาไม่ได้ ละเอียดรู้ได้เฉพาะ บัณฑิต ส่วนหมู่สัตว์นี้ มีอาลัยเป็นที่ยินดี ยินดีแล้วในอาลัย เบิกบานแล้วในอาลัย ก็อันหมู่สัตว์ ผู้มีอาลัยเป็น ที่ยินดี ยินดีแล้วในอาลัย เบิกบานแล้วในอาลัย ยากที่จะเห็นได้ซึ่งฐานะนี้ คือปัจจัย แห่ง สภาวะธรรมอันเป็นที่อาศัยกันเกิดขึ้น (ปฏิจจสมุบาท) ยากที่จะเห็นได้ ซึ่งฐานะ แม้นี้คือ พระนิพพาน ซึ่งเป็นที่ระงับแห่ง สังขารทั้งปวง เป็นที่สลัดอุปธิ ทั้งปวง เป็นที่สิ้นไปแห่ง ตัณหา คลายความกำหนัด ดับทุกข์ ก็และเราพึงแสดงธรรม แต่สัตว์ เหล่าอื่นไม่พึงรู้ ทั่วถึงธรรมของเรานั้นพึงเป็นความลำบากแก่เรา นั้นพึงเป็นความ เดือดร้อน แก่เรา

      ดูกรพรหม คาถาที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก ซึ่งเรามิได้สดับมาแล้วแต่ก่อน หรือได้ แจ่มแจ้ง แล้วดังนี้ บัดนี้ ไม่ควรเลยที่จะประกาศธรรม ที่เราได้บรรลุแล้วโดยแสนยาก ฯลฯ

      ดูกรพรหม เมื่อเราพิจารณาเห็นดังนี้ จิตก็น้อมไปเพื่อความขวนขวายน้อย มิได้น้อมไป เพื่อจะแสดงธรรม

      ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้ครั้งที่สอง ท้าวมหาพรหมนั้นก็ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาค อรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสีดังนั้น...

      ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้ครั้งที่สาม ท้าวมหาพรหมนั้นก็ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาค อรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่า วิปัสสีว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญขอพระผู้ มีพระภาค จงทรงแสดง ธรรม ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระสุคตจงทรงแสดงธรรม  ในโลกนี้สัตว์ที่มี กิเลส เพียงดังธุลี ในจักษุเบาบางยังมีอยู่ เพราะมิได้ฟังธรรม สัตว์เหล่านั้นจึงเสื่อมเสียไป ผู้รู้ทั่วถึงธรรมได้ ยังจักมีอยู่ดังนี้

      ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแลพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า วิปัสสี ทรงทราบการทูลเชิญของพรหมแล้ว ทรงอาศัยพระกรุณาในหมู่สัตว์ จึงได้ตรวจดูโลกด้วย พุทธจักษุ ภิกษุทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมา สัมพุทธเจ้า พระนามว่า วิปัสสี เมื่อทรงตรวจดูโลกด้วยพุทธจักษุก็ได้ทรงเห็น หมู่สัตว์ บางพวกมีกิเลสเพียงดังธุลี ในจักษุน้อย บางพวกมีกิเลสเพียงดังธุลีใน จักษุมาก บางพวกมีอินทรีย์แก่กล้า บางพวกมี อินทรีย์อ่อน บางพวกมีอาการดี บางพวกมีอาการ ทราม บางพวกจะพึงให้รู้แจ้งได้ง่าย บางพวกจะพึงให้รู้แจ้ง ได้ยากบางพวกเป็น ภัพพสัตว์ บางพวกเป็นอภัพพสัตว์ บางพวก มักเห็นปรโลก และโทษโดยความเป็นภัย

      ในกออุบล หรือ กอบัวหลวง หรือใน กอบัวขาว ดอกอุบล ดอกบัวหลวง  หรือ ดอกบัวขาว เกิดแล้วในน้ำ เจริญแล้วในน้ำ น้ำเลี้ยงอุปถัมภ์ไว้ บางเหล่ายังจม อยู่ภายในน้ำ บางเหล่าตั้งอยู่เสมอน้ำ บางเหล่าตั้งขึ้นพ้นน้ำ อันน้ำมิได้ติดใบ แม้ฉันใด ภิกษุทั้งหลาย หมู่สัตว์ที่พระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าวิปัสสี ทรงตรวจดูด้วย พุทธจักษุ ทรงเห็นก็ฉันนั้นเหมือนกัน
บางพวกมีกิเลสเพียงดังธุลีในจักษุน้อย
บางพวก มีกิเลสเพียงดังธุลีในจักษุมาก
บางพวกมีอินทรีย์แก่กล้า
บางพวกมีอินทรีย์อ่อน
บางพวกมีอาการดี
บางพวกมีอาการทราม 
บางพวกจะพึงให้รู้แจ้งได้ง่าย
บางพวกจะพึงให้รู้แจ้งได้ยาก
บางพวกเป็นภัพพสัตว์ (แนะนำได้โดยง่าย)
บางพวกเป็นอภัพพสัตว์(แนะนำได้โดยยาก)
บางพวกมักเห็นปรโลก(โลกหน้า) และโทษโดยความเป็นภัย

      ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล ท้าวมหาพรหม ทราบพระปริวิตกในพระทัยของ พระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าวิปัสสีด้วยใจ แล้วจึง ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสี ด้วยคาถาทั้งหลาย ความว่า

                [๔๕] ผู้ที่ยืนอยู่ยอดภูเขาสิลาล้วน พึงเห็นประชุมชน ได้โดยรอบ ฉันใด ท่านผู้มีเมธาดี มีจักษุโดยรอบก็ฉันนั้นเหมือนกัน ขึ้นสู่ปราสาทอันสำเร็จแล้วด้วยธรรม เป็นผู้ปราศจาก ความเศร้าโศก ทรงพิจารณาเห็นประชุมชน ผู้เกลื่อนกล่นไปด้วย ความเศร้าโศก ถูกชาติและ ชราครอบงำแล้ว ข้าแต่พระองค์ผู้กล้าผู้ชนะสงครามแล้ว เป็นนายพวกปราศจากหนี้ ขอพระองค์จงเสด็จลุกขึ้นเปิดเผยโลก ขอผู้มีพระภาค จงทรงแสดง ธรรมผู้ที่รู้ทั่วถึงธรรมได้ ยังจักมี

                [๔๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อท้าวมหาพรหมนั้นได้กราบทูลแล้ว ดังนี้ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสี จึงได้ตรัสกะท้าวมหาพรหม นั้น ด้วยพระคาถา ว่า เราได้เปิดเผยประตูอมตะไว้สำหรับท่านแล้ว ผู้มีโสต จงปล่อยศรัทธามาเถิด ดูกรพรหม เรารู้สึกลำบาก จึงมิได้กล่าวธรรม อันประณีต ซึ่งเราให้คล่องแคล่วแล้ว ในหมู่มนุษย์ ดังนี้

(ท้าวมหาพรหมหายตัวมาขอให้พระองค์แสดงธรมแก่เหล่าสัตว์โลก เพราะเห็นว่า พระพุทธเจ้า ชนะสงครามแล้ว ปราศจากความเศร้าโศก แล้วจากไป โดยพระองค์ ไม่ได้ แสดงธรรมอะไรให้ท้าวมหาพรหมเลย)

                [๔๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล ท้าวมหาพรหมคิดว่าเราเป็นผู้ มีโอกาส อันพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าวิปัสสี ได้ทรงกระทำ แล้ว เพื่อจะทรงแสดงธรรม จึงถวายบังคมพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่า วิปัสสีกระทำประทักษิณแล้วหายไป ณ ที่นั้นเอง ฯ

(พระพุทธเจ้าวิปัสสี แสดงธรรมเป็นครั้งที่ ๑)
แสดงแก่โอรสกษัตริย์ ขัณฑะ และติสสะ

                [๔๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมา สัมพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสี ทรงพระดำริว่า เราควรแสดงธรรมแก่ใครก่อนเล่า หนอ ใครจะรู้ทั่วถึงธรรมนี้ ได้เร็วพลันทีเดียว ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระผู้มีภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสี ได้ทรงพระดำริว่าพระราชโอรส พระนาม ว่า ขัณฑะ และบุตรปุโรหิตชื่อว่า ติสสะ นี้ผู้อาศัยอยู่ใน พระนครพันธุมดี ราชธานี เป็นคนฉลาด เฉียบแหลม มีปัญญา มีกิเลสเพียงดังธุลีในจักษุ เบาบาง สิ้นกาลนาน ไฉนหนอเราพึงแสดงธรรมแก่พระราชโอรส พระนามว่าขัณฑะ และ บุตรปุโรหิตชื่อว่า ติสสะก่อน คนทั้งสองนั้นจักรู้ทั่วถึงธรรมนี้ ได้รวดเร็วทีเดียว

      ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าวิปัสสี ได้หายพระองค์ ที่ควงโพธิพฤกษ์ไปปรากฏพระองค์ ณ มฤคทายวัน ชื่อว่าเขมะ ในพระนคร พันธุมดีราชธานี เปรียบเหมือนบุรุษที่กำลังเหยียด ออก ซึ่งแขน ที่คู้เข้าไว้ หรือคู้เข้าซึ่งแขนที่ได้ เหยียดออกไว้ ฉะนั้น ฯ

      ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่า วิปัสสี ตรัสเรียกคนเฝ้าสวนมฤคทายวันมาว่า มานี่ นายมฤคทายบาล เธอจงเข้าไปยัง พระนคร พันธุมดีราชธานี แล้วบอกกะพระราชโอรสพระนามว่า  ขัณฑะ และบุตรปุโรหิต ชื่อติสสะ ดังนี้ว่า พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าวิปัสสี ได้เสด็จถึง พระนครพันธุมดีราชธานี แล้ว กำลังประทับอยู่ที่  มฤคทายวันชื่อว่าเขมะ พระองค์ทรง พระประสงค์จะพบท่านทั้งสอง ฯ

      ดูกรภิกษุทั้งหลาย นายมฤคทายบาล รับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมา สัมพุทธเจ้า พระนามว่าวิปัสสีแล้ว เข้าไปยังพระนครพันธุมดี แล้วแจ้งข่าวกะพระราชโอรส พระนามว่า ขัณฑะ และบุตรปุโรหิตชื่อว่า ติสสะ ว่าพระผู้มีพระภาคอรหันต สัมมา สัมพุทธเจ้า พระนามว่า วิปัสสี เสด็จถึงพระนคร พันธุมดีราชธานีแล้ว กำลังประทับอยู่ที่ มฤคทายวัน ชื่อว่าเขมะ พระองค์ทรง ระประสงค์ที่จะพบท่านทั้งสอง ฯ

      ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระราชโอรสพระนามว่าขัณฑะ และบุตร ปุโรหิตชื่อว่า ติสสะ สั่งให้บุรุษเทียมยานที่ดีๆ แล้วขึ้นสู่ยานที่ดีๆ ออกจากพระนครพันธุมดีราชธานี พร้อมกับยาน ดีๆ ทั้งหลาย ขับตรงไปยังมฤคทายวันชื่อว่าเขมะ ไปด้วยยานตลอด ภูมิประเทศ เท่าที่ยานจะไปได้แล้ว ลงจากยานเดินตรงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมา สัมพุทธเจ้าพระนามว่า วิปัสสี ถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าวิปัสสีแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง

พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า วิปัสสี ได้ตรัสอนุปุพพิกถา แก่ท่าน ทั้งสองนั้น คือทรงประกาศ ทานกถา สีลกถา สัคคกถา โทษของกาม ที่ต่ำช้า เศร้าหมอง และอานิสงส์ในการ ออกบวช เมื่อพระผู้มีพระภาคได้ทรงทราบว่า ท่านทั้งสองนั้นมีจิตคล่อง มีจิตอ่อน มีจิตปราศ จากนิวรณ์ มีจิตสูง มีจิตผ่องใส จึงได้ทรงประกาศธรรมเทศนา ที่พระพุทธเจ้า ทั้งหลายทรงยกขึ้น แสดง ด้วยพระองค์เอง คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ดวงตา เห็นธรรมอันปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน ได้เกิดขึ้นแล้วแก่พระราชโอรส พระนามว่าขัณฑะ และบุตรปุโรหิต ชื่อว่าติสสะ ว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวล มีความดับไป เป็นธรรมดา ณ ที่นั่งนั้นแล เหมือนผ้าที่ สะอาด ปราศจากมลทิน ควรรับน้ำย้อมด้วยดีฉะนั้น ท่านทั้งสองนั้น เห็นธรรม ถึงธรรม รู้แจ้งธรรม หยั่งทราบธรรม ข้ามความสงสัย ปราศจากความ เคลือบแคลง ถึงความ แกล้วกล้า ไม่ต้องเชื่อผู้อื่นในสัตถุศาสนาได้ กราบทูลพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมา สัมพุทธเจ้าพระนามว่า วิปัสสี ว่า

ข้าแต่ พระองค์ผู้เจริญภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิต ของพระองค์ ก็แจ่มแจ้งนัก เปรียบเหมือนบุคคล หงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทาง แก่คนหลงทาง หรือส่องประทีปในที่มืดด้วยคิดว่าผู้มีจักษุจักเห็นรูปดังนี้ ฉันใด พระผู้มีพระภาคทรงประกาศ พระธรรมโดยอเนกปริยายฉันนั้นเหมือนกัน

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เหล่านี้ขอถึงพระผู้มีพระภาค และพระธรรมว่าเป็น ที่พึ่ง ขอพวกข้าพระองค์พึงได้บรรพชา พึงได้อุปสมบท ในสำนักของพระผู้มี พระภาค

      ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระราชโอรสพระนามว่า ขัณฑะ และบุตรปุโรหิต ชื่อว่า ติสสะ ได้บรรพชา ได้อุปสมบท ในสำนักของพระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่า วิปัสสี พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระ นามว่าวิปัสสี ได้ทรงยังท่านทั้งสองนั้น ให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริงด้วยธรรมีกถา แล้วประกาศโทษของสังขาร อันต่ำช้า เศร้าหมองและ อานิสงส์ในการออกบวช จิตของท่านทั้งสองนั้นผู้อัน พระผู้มีพระภาคอรหันสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า วิปัสสี ทรงให้เห็นแจ้งให้สมาทานให้อาจหาญให้รื่นเริงด้วย ธรรมีกถา ไม่นานนักก็หลุดพ้น จากอาสวะ เพราะไม่ยึดมั่น

                [๔๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย หมู่มหาชนชาวพระนครพันธุมดีราชธานี ประมาณ ๘๔,๐๐๐คน ได้สดับข่าวว่า พระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่า วิปัสสี เสด็จถึงพระนครพันธุมดีราชธานีโดยลำดับแล้ว ประทับอยู่ ณ มฤคทายวัน ชื่อ เขมะ ข่าวว่า พระราชโอรส พระนามว่า ขัณฑะ และบุตรปุโรหิตชื่อ ติสสะ ปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้า กาสาวพัสตร์ ออกบวชเป็นบรรพชิต ณ สำนักของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามวิปัสสีแล้วดังนี้
คนเหล่านั้น ครั้นได้ฟังแล้ว ต่างคิดเห็นกันว่า ก็พระราชโอรส พระนามว่า ขัณฑะและ บุตรปุโรหิต ชื่อว่า ติสสะ ปลงผมและหนวดนุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ออกบวช เป็นบรรพชิตใน พระธรรมวินัยใด พระธรรมวินัยนั้น คงไม่ต่ำทรามแน่นอน บรรพชานั้น คงไม่ต่ำ ทราม แต่พระราชโอรสพระนามว่า ขัณฑะ และ บุตรปุโรหิตชื่อว่า ติสสะ ยังปลงผม และ หนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ออกบวชเป็นบรรพชิตได้ ไฉนพวกเรา จึงจักออกบวชเป็น บรรพชิตบ้างไม่ได้ เล่า 

(พระพุทธเจ้าวิปัสสี แสดงธรรมเป็นครั้งที่ ๒)
แสดงแก่มหาชน ๘๔,๐๐๐ คน

     ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล หมู่มหาชนประมาณ ๘๔,๐๐๐ คนได้ชวนกัน ออกจาก พระนคร พันธุมดีราชธานี เข้าไปทางเขม มฤคทายวัน ที่พระผู้มีพระภาค ประทับอยู่ ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้ว ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่า วิปัสสี แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วน ข้างหนึ่ง

พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมา สัมพุทธเจ้า พระนามว่า วิปัสสี ได้ตรัสอนุปุพพิกถา แก่ชน เหล่านั้น คือทรงประกาศ
ทานกถา สีลกถา สัคคกถา โทษของกามที่ต่ำช้า เศร้าหมอง และ อานิสงส์ในการออกบวช เมื่อพระผู้มี พระภาค ได้ทรงทราบว่า ชนเหล่านั้น มีจิตคล่อง มีจิตอ่อน มีจิตปราศจากนิวรณ์ มีจิตสูง มีจิตผ่องใส จึงได้ทรงประกาศพระธรรม เทศนาที่พระพุทธเจ้า ทั้งหลายทรงยกขึ้นแสดง ด้วยพระองค์เอง คือ ทุกข์ สมุทัย  นิโรธ มรรค ดวงตาเห็นธรรม อันปราศจากธุลี  ปราศจากมลทิน ได้เกิดขึ้นแล้ว แก่หมู่มหาชน ๘๔,๐๐๐ คน นั้นว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่ง มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวล มีความดับไปเป็นธรรมดา ณ ที่นั่งนั้น แลเหมือนผ้าที่สะอาด ปราศจากมลทินควรรับน้ำย้อมด้วยดี ฉะนั้น ชนเหล่านั้น เห็นธรรม ถึงธรรม รู้แจ้งธรรม หยั่งทราบธรรม ข้ามความสงสัยปราศจากความ เคลือบแคลง ถึงความแกล้วกล้า ไม่ต้องเชื่อผู้อื่นในสัตถุศาสนา ได้กราบทูล พระผู้มีพระภาคอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่า วิปัสสี ว่า

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้ง  นักข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของ พระองค์แจ่มแจ้งนัก เปรียบเหมือน บุคคลหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คน หลงทาง หรือส่องประทีปในที่มืดด้วย คิดว่า มีจักษุจักเห็นรูป ดังนี้ฉันใด พระผู้มีพระภาคทรงประกาศ พระธรรมโดย อเนกปริยายฉันนั้นเหมือนกัน

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เหล่านี้ขอถึง  พระผู้มีพระภาคกับพระธรรมและ พระภิกษุ สงฆ์ ว่าเป็นที่พึ่ง ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกข้าพระองค์พึงได้บรรพชา พึงได้อุปสมบทใน สำนักของ พระผู้มีพระภาค ฯ       

ดูกรภิกษุทั้งหลาย หมู่มหาชน ๘๔,๐๐๐ คนเหล่านั้น ได้บรรพชา ได้อุปสมบท ในสำนักของ พระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมา สัมพุทธเจ้าพระนามว่า วิปัสสี แล้ว พระผู้มีพระภาคอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า วิปัสสี ได้ทรงยัง ภิกษุเหล่านั้น ให้เห็นแจ้ง ให้สมาทานให้ อาจหาญ ให้รื่นเริง ด้วยธรรมีกถาแล้ว ทรงประกาศโทษ ของสังขารที่ต่ำช้าเศร้าหมอง และอานิสงส์ใน พระนิพพาน จิตของภิกษุเหล่านั้น ผู้อันพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมา สัมพุทธเจ้า พระนามว่า วิปัสสี ทรงให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้รื่นเริงด้วย ธรรมีกถา ไม่นานนักก็หลุดพ้นจากอาสวะ เพราะไม่ยึดมั่น ฯ


(พระพุทธเจ้าวิปัสสี แสดงธรรมเป็นครั้งที่ ๓)
แสดงแก่บรรพชิต ๘๔,๐๐๐ รูป


               [๕๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรพชิต ๘๔,๐๐๐ รูปเหล่านั้น ได้สดับข่าวว่า พระผู้มีพระภาคอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่า วิปัสสี เสด็จถึงพระนครพันธุมดี ราชธานี โดยลำดับประทับอยู่ ณ มฤคทายวันชื่อว่า เขมะ และมีข่าวว่า กำลังทรง แสดง ธรรมอยู่ ภิกษุทั้งหลายครั้งนั้นแล บรรพชิต ๘๔,๐๐๐ รูปเหล่านั้น ได้พากันไป ทางพระนคร พันธุมดี ราชธานี ทางมฤคทายวันชื่อว่า เขมะ ที่พระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่า วิปัสสี ประทับอยู่

ครั้น ถึงแล้ว ได้ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่า วิปัสสี  แล้วพากันนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมา สัมพุทธเจ้า พระนามว่า วิปัสสี ได้ตรัสอนุปุพพิกถาแก่บรรพชิตเหล่านั้น คือ ทรงประกาศ ทานกถา สีลกถา สัคคกถา โทษของกามที่ต่ำช้าเศร้าหมอง และ อานิสงส์ ในการออกบวช

เมื่อทรงทราบว่า บรรพชิตเหล่านั้นมีจิตคล่องมีจิตอ่อน มีจิตปราศจากนิวรณ์ มีจิตสูง มีจิต ผ่องใส จึงได้ทรงประกาศพระธรรมเทศนาที่ พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงยกขึ้น แสดง ด้วย พระองค์เอง คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ  มรรค ดวงตาเห็นธรรมที่ปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน ได้เกิดขึ้นแล้ว แก่บรรพชิต ๘๔,๐๐๐ รูปนั้นว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความ เกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวล มีความดับไปเป็นธรรมดา ณ ที่นั่งนั้นแล เหมือนผ้า ที่สะอาดปราศจากมลทิน ควร รับน้ำย้อมด้วยดี ฉะนั้น

บรรพชิตเหล่านั้นเห็นธรรม ถึงธรรมรู้แจ้งธรรม หยั่ง ทราบธรรม ข้ามความสงสัย ปราศจาก ความ เคลือบแคลง ถึงความแกล้วกล้า ไม่ต้องเชื่อผู้อื่นในสัตถุสาสนา ได้กราบทูลพระผู้มี พระภาค อรหันต สัมมาสัมพุทธ เจ้าพระนามว่าวิปัสสีว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของ พระองค์แจ่มแจ้ง นัก ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก เปรียบเหมือน บุคคลหงาย ของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือส่องประทีปในที่มืด ด้วยคิดว่า ผู้มีจักษุจักเห็นรูป ดังนี้ ฉันใด พระผู้มีพระภาค ทรงประกาศพระธรรม โดยอเนก ปริยาย ฉันนั้นเหมือนกัน ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เหล่านี้ ขอถึงพระผู้มีพระภาคกับ พระธรรม และพระภิกษุสงฆ์ ว่าเป็นที่พึ่ง ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกข้าพระองค์พึงได้ บรรพชา พึงได้อุปสมบทในสำนัก ของพระผู้มีพระภาค

      ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรพชิต ๘๔,๐๐๐ รูปเหล่านั้นได้บรรพชาได้ อุปสมบท ในสำนัก ของ พระผู้มีพระภาค พระนามว่าวิปัสสีแล้ว พระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมา สัมพุทธเจ้า พระนามว่า วิปัสสี ได้ทรงยังภิกษุเหล่านั้น ให้เห็นแจ้งให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้รื่นเริง ด้วยธรรมีกถาทรงประกาศ โทษ ของสังขารที่ต่ำช้าเศร้าหมอง และอานิสงส์ในพระนิพพาน จิตของภิกษุเหล่านั้นผู้อันพระ ผู้มีพระภาค อรหันตสัมมา สัมพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสี ทรงให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้รื่นเริง ด้วยธรรมีกถา ไม่นานนักก็หลุดพ้น จากอาสวะ เพราะไม่ยึดมั่น

                [๕๑] ก็สมัยนั้น ในพระนครพันธุมดีราชธานี มีภิกษุสงฆ์อาศัยอยู่ มากประมาณ หกล้านแปดแสนรูป ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแลพระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนาม ว่า วิปัสสี ผู้เสด็จเร้นอยู่ในที่ลับ เกิดความรำพึง ในพระทัยว่า บัดนี้ ในพระนคร พันธุมดีราชธานี มีภิกษุสงฆ์อาศัยอยู่เป็น จำนวนมาก ประมาณหกล้านแปดแสนรูป ถ้ากระไร เราพึงอนุญาต ภิกษุทั้งหลาย ว่า

ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงเที่ยวจาริกไป เพื่อประโยชน์แก่ชนเป็นอันมาก เพื่อความสุข แก่ชน เป็นอันมาก เพื่ออนุเคราะห์สัตว์โลก เพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุข แก่เทพดาและ มนุษย์ทั้งหลาย แต่อย่าได้ไปทางเดียวกันสองรูป เธอทั้งหลาย
จงแสดง ธรรม งามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด จงประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิง ในโลกนี้สัตว์พวกนี้ ที่มีกิเลสเพียงดังธุลีในจักษุ เบาบางยังมีอยู่ เพราะไม่ได้ ฟังธรรม สัตว์ พวกนั้น จึงเสื่อมเสียไป ผู้ที่รู้ทั่วถึงธรรม ได้ยังจักมี แต่ว่าโดยหกปีๆล่วงไป พวกเธอพึงกลับมา ยัง พระนครพันธุมดี ราชธานี เพื่อแสดงพระปาติโมกข์

  

 
 
พุทธวจน : อ่านคำสอนพระศาสดา อ่านแบบสบายตา โดยคัดลอกหนังสือทั้งเล่มมาจัดทำเป็นเว็บเพจ (คลิกอ่านพร้อมดาวน์โหลดไฟล์ pdf)
90 90 90 90  
 
พุทธประวัติ ขุมทรัพย์
อริยสัจ
ภาคต้น
อริยสัจ
ภาคปลาย
ปฏิจจ ปฐมธรรม ตถาคต อนาคามี อินทรีย์
สังวร
สัตว์
สัตตานัง
ทาน
สกทาคามี
ฆราวาส
ชั้นเลิศ
มรรควิธี
ที่ง่าย
 
   
อริยวินัย เดรัจฉานวิชา กรรม สมถะ
วิปัสสนา
โสดาบัน อานา
ปานสติ
จิต มโน
วิญญาณ
ก้าวย่าง
อย่างพุทธะ
ตามรอย
ธรรม
ภพ ภูมิ
พุทธวจน
สาธยาย
ธรรม
สังโยชน์