พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๓๒๐-๓๒๓
วสลสูตรที่ ๗
[๓๐๕] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิก เศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ครั้งนั้นแล เป็นเวลาเช้า พระผู้มีพระภาค ทรงครอง อันตรวาสก แล้ว ทรงถือบาตรและจีวร เสด็จเข้าไปบิณฑบาต ยังพระนครสาวัตถี
ก็สมัยนั้นแล อัคคิกภารทวาชพราหมณ์ ก่อไฟแล้วตกแต่งของที่ควรบูชา อยู่ในนิเวศน์ ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาค เสด็จเที่ยวบิณฑบาต ตามลำดับตรอก ในพระนครสาวัตถี เสด็จเข้าไปยังนิเวศน์ ของอัคคิกภารทวาชพราหมณ์ อัคคิกภารทวาช พราหมณ์ ได้เห็น พระผู้มีพระภาค เสด็จมาแต่ไกลทีเดียว ครั้นแล้วได้กราบทูล พระผู้มีพระภาคว่า หยุดอยู่ที่นั่นแหละ คนโล้น หยุดอยู่ที่นั่นแหละสมณะ หยุดอยู่ที่นั่นแหละ คนถ่อย
เมื่ออัคคิกภารทวาชพราหมณ์ กราบทูลอย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสถาม ว่า ดูกรพราหมณ์ ก็ท่านรู้จักคนถ่อย หรือธรรมเป็นเครื่องกระทำให้เป็นคนถ่อยหรือ
อ. ท่านพระโคดม ข้าพเจ้าไม่รู้จักคนถ่อย หรือธรรมเป็นเครื่องกระทำให้เป็น คนถ่อย ดีละ ขอท่านพระโคดม จงแสดงธรรมตามที่ข้าพเจ้าจะพึงรู้จักคนถ่อย หรือธรรม เป็นเครื่อง กระทำให้เป็นคนถ่อยเถิด
พ. ดูกรพราหมณ์ ถ้าอย่างนั้น ท่านจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าวอัคคิก ภารทวาช พราหมณ์ ทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระคาถา ประพันธ์นี้ว่า
คนถ่อย ๒๐ ประเภท
[๓๐๖] ๑. คนมักโกรธ ผูกโกรธ ลบหลู่อย่างเลว มีทิฐิวิบัติ และ มีมายา พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย
๒. คนผู้เบียดเบียนสัตว์ที่เกิดหนเดียว แม้หรือเกิดสองหน ไม่มีความเอ็นดู ในสัตว์ พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย
๓. คนเบียดเบียน เที่ยวปล้น มีชื่อเสียงว่า ฆ่าชาวบ้าน และชาวนิคม พึงรู้ว่า เป็นคนถ่อย
๔. คนลักทรัพย์ที่ผู้อื่นหวงแหน ไม่ได้อนุญาตให้ ใน บ้านหรือในป่า พึงรู้ว่า เป็นคนถ่อย
๕. คนที่กู้หนี้มาใช้แล้วกล่าวว่า หาได้เป็นหนี้ท่านไม่ หนี ไปเสีย พึงรู้ว่า เป็นคนถ่อย
๖. คนฆ่าคนเดินทาง ชิงเอาสิ่งของ เพราะอยากได้สิ่งของ พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย
๗. คนถูกเขาถามเป็นพยาน แล้วกล่าวคำเท็จ เพราะเหตุ แห่งตนก็ดี เพราะเหตุ แห่งผู้อื่นก็ดี เพราะเหตุแห่งทรัพย์ ก็ดี พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย
๘. คนผู้ประพฤติล่วงเกิน ในภริยาของญาติก็ตาม ของ เพื่อนก็ตาม ด้วยข่มขืน หรือ ด้วยการร่วมรักกัน พึงรู้ว่าเป็น คนถ่อย
๙. คนผู้สามารถ แต่ไม่เลี้ยงมารดาหรือบิดาผู้แก่เฒ่าผ่านวัย หนุ่มสาวไปแล้ว พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย
๑๐. คนผู้ทุบตีด่าว่ามารดาบิดา พี่ชายพี่สาว พ่อตาแม่ยาย แม่ผัวหรือพ่อผัว พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย
๑๑. คนผู้ถูกถามถึงประโยชน์ บอกสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ พูดกลบเกลื่อนเสีย พึงรู้ว่า เป็นคนถ่อย
๑๒. คนทำกรรมชั่วแล้ว ปรารถนาว่าใครอย่าพึงรู้เรา ปกปิด ไว้ พึงรู้ว่า เป็นคนถ่อย
๑๓. คนผู้ไปสู่สกุลอื่นแล้ว และบริโภคโภชนะที่สะอาด ย่อมไม่ตอบแทน เขาผู้ มาสู่สกุล ของตน พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย
๑๔. คนผู้ลวงสมณะ พราหมณ์ หรือแม้วณิพกอื่น ด้วย มุสาวาท พึงรู้ว่า เป็นคนถ่อย
๑๕. เมื่อเวลาบริโภคอาหาร คนผู้ด่าสมณะหรือพราหมณ์ และไม่ให้โภชนะ พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย
๑๖. คนในโลกนี้ ผู้อันโมหะครอบงำแล้ว ปรารถนา ของเล็กน้อย พูดอวดสิ่ง ที่ไม่มี พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย
๑๗. คนเลวทราม ยกตนและดูหมิ่นผู้อื่น ด้วยมานะ ของตน พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย
๑๘. คนฉุนเฉียว กระด้าง มีความปรารถนาลามก มี ความตระหนี่ โอ้อวด ไม่ละอาย ไม่สะดุ้งกลัว พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย
๑๙. คนติเตียนพระพุทธเจ้า หรือติเตียนบรรพชิต หรือ คฤหัสถ์สาวกของ พระพุทธเจ้า พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย
๒๐. ผู้ใดแลไม่เป็นพระอรหันต์ แต่ปฏิญาณว่าเป็นพระ อรหันต์ ผู้นั้นแล เป็นคน ถ่อย ต่ำช้า เป็นโจรในโลกพร้อม ทั้งพรหมโลก คนเหล่าใด เราประกาศ แก่ท่านแล้ว คนเหล่านั้นนั่นแล เรากล่าวว่าเป็นคนถ่อย
บุคคลไม่เป็นคนถ่อยเพราะชาติ ไม่เป็นพราหมณ์เพราะชาติ แต่เป็นคนถ่อย เพราะกรรม เป็นพราหมณ์เพราะกรรม ท่าน จงรู้ข้อนั้น ตามที่เราแสดงนี้ บุตรของคน จัณฑาลเลี้ยง ตัวเองได้ ปรากฏชื่อว่ามาตังคะ เป็นคนกินของที่ตนให้ สุกเอง เขาได้ยศอย่างสูง ที่ได้แสนยาก
กษัตริย์และ พราหมณ์เป็นอันมากได้มาสู่ที่บำรุงของเขา เขาขึ้นยานอัน ประเสริฐ ไปสู่หนทางใหญ่อันไม่มีฝุ่น เขาสำรอกกาม ราคะเสียได้แล้ว เป็นผู้เข้าถึง พรหมโลก ชาติไม่ได้ ห้ามเขาให้เข้าถึงพรหมโลก
พราหมณ์เกิดในสกุลผู้สาธยาย มนต์ เป็นพวกร่ายมนต์ แต่พวกเขาปรากฏ ในบาปกรรม อยู่เนืองๆ พึงถูกติเตียนในปัจจุบันทีเดียว และภพหน้า ก็เป็นทุคติ ชาติห้ามกันพวกเขา จากทุคติ หรือจากครหาไม่ได้ บุคคลไม่เป็นคนถ่อยเพราะชาติ ไม่เป็นพราหมณ์เพราะชาติ แต่เป็นคนถ่อย เพราะกรรม เป็นพราหมณ์เพราะกรรม
[๓๐๗] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว อัคคิกภารทวาชพราหมณ์ ได้กราบทูล พระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่พระโคดม ผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก พระองค์ทรงประกาศธรรม โดยอเนกปริยาย เปรียบเหมือนหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิดบอกทางแก่คนหลงทาง หรือตามประทีปไว้ ในที่มืด ด้วยหวังว่า คนมีจักษุจักเห็นรูปได้ ฉะนั้น
ข้าพระองค์ขอถึงพระองค์ กับทั้งพระธรรม และพระภิกษุสงฆ์เป็นสรณะ ขอพระองค์ทรงจำ ข้าพระองค์ ว่าเป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต จำเดิมแต่วันนี้ เป็นต้นไป
|