พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๓๐๑-๓๐๓
อุรคสูตรที่ ๑
การกำจัดกิเลสดุจงูลอกคราบ
[๒๙๔] ภิกษุใดแล ย่อมกำจัดความโกรธที่เกิดขึ้นแล้ว เหมือน หมอกำจัด พิษงูที่ซ่านไปแล้วด้วยโอสถ ฉะนั้น ภิกษุนั้นชื่อ ว่าย่อมละซึ่งฝั่งใน และฝั่งนอกเสียได้ เหมือนงูละคราบเก่า ที่คร่ำคร่าแล้วฉะนั้น
ภิกษุใดตัดราคะได้ขาด พร้อมทั้ง อนุสัยไม่มีส่วนเหลือ เหมือนบุคคลลงไป ตัดดอกปทุมซึ่งงอกขึ้นในสระฉะนั้น ภิกษุนั้นชื่อว่าย่อมละฝั่งในและ ฝั่งนอกเสียได้ เหมือนงูละคราบเก่าที่คร่ำคร่าแล้วฉะนั้น
ภิกษุใดยังตัณหาให้เหือดแห้งไปทีละน้อยๆ แล้วตัดเสีย ให้ขาดโดยไม่เหลือ ภิกษุนั้นชื่อว่าย่อมละซึ่งฝั่งในและ ฝั่งนอกเสียได้ เหมือนงูละคราบเก่าที่คร่ำคร่า แล้ว ฉะนั้น
ภิกษุใดถอนมานะพร้อมทั้งอนุสัยไม่มีส่วนเหลือ เหมือนห้วง น้ำใหญ่ถอน สะพานไม้อ้อที่ทุรพลฉะนั้น ภิกษุนั้นชื่อว่า ย่อมละฝั่งในและฝั่งนอกเสียได้ เหมือนงู ละ คราบเก่าที่ คร่ำคร่าแล้วฉะนั้น
ภิกษุใดค้นคว้าอยู่ (ด้วยปัญญา) ไม่ ประสบอัตภาพอันเป็นสาระในภพทั้งหลาย เหมือนพราหมณ์ ค้นคว้าอยู่ ไม่ประสบดอกที่ต้นมะเดื่อฉะนั้น ภิกษุนั้น ชื่อว่าย่อมละ ซึ่งฝั่งใน และ ฝั่งนอกเสียได้ เหมือนงูละ คราบเก่าที่คร่ำคร่าแล้วฉะนั้น กิเลสเป็นเครื่อง ให้กำเริบ ย่อมไม่มีภายในจิตของภิกษุใด
และภิกษุใดล่วงเสียได้แล้ว ซึ่งความเจริญและความเสื่อมอย่างนี้ ภิกษุนั้น ชื่อว่า ย่อมละ ซึ่งฝั่งในและฝั่งนอกเสียได้ เหมือนงูละคราบเก่าที่คร่ำคร่า แล้วฉะนั้น
ภิกษุใดกำจัดวิตกได้แล้ว ปราบปรามดีแล้ว ในภายใน ไม่มีส่วนเหลือ ภิกษุนั้น ชื่อว่าย่อมละฝั่งในและ ฝั่งนอกเสียได้ เหมือนงูละคราบเก่าที่คร่ำคร่าแล้ว ฉะนั้น
ภิกษุใดไม่แล่นเลยไป ไม่ล้าอยู่ ล่วงกิเลสเป็นเครื่อง ให้เนิ่นช้านี้ได้หมดแล้ว ภิกษุนั้น ชื่อว่าย่อมละฝั่งในและ ฝั่งนอกเสียได้ เหมือนงูละคราบเก่าที่คร่ำคร่าแล้ว ฉะนั้น
ภิกษุใดรู้ว่าธรรมชาติมีขันธ์เป็นต้น ทั้งหมดนี้เป็นของแปรผัน ไม่แล่นเลยไป ไม่ล้าอยู่ในโลก ภิกษุนั้นชื่อว่า ย่อมละ ซึ่งฝั่งในและฝั่งนอกเสียได้ เหมือนงูละคราบเก่า ที่คร่ำคร่า แล้ว ฉะนั้น
ภิกษุใดรู้ว่า ธรรมชาติมีขันธ์เป็นต้นทั้งหมด นี้เป็นของแปรผัน ปราศจากความ โลภ ไม่แล่นเลยไป ไม่ล้าอยู่ในโลก ภิกษุนั้นชื่อว่าย่อมละซึ่งฝั่งในและฝั่งนอก เสียได้ เหมือนงูละคราบเก่าที่คร่ำคร่าแล้ว ฉะนั้น
ภิกษุใดรู้ว่า ธรรมชาติมีขันธ์เป็นต้นทั้งหมดนี้เป็นของแปรผัน ปราศจากราคะ ไม่แล่นเลยไป ไม่ล้าอยู่ในโลก ภิกษุ นั้นชื่อว่าย่อมละซึ่งฝั่งในและฝั่งนอกเสียได้ เหมือนงูละ คราบเก่าที่คร่ำคร่าแล้ว ฉะนั้น
ภิกษุใดรู้ว่า ธรรมชาติ มีขันธ์เป็นต้นทั้งหมดนี้เป็นของแปรผัน ปราศจากโทสะ ไม่แล่นเลยไป ไม่ล้าอยู่ในโลก ภิกษุนั้นชื่อว่าย่อมละ ซึ่งฝั่งในและฝั่งนอกเสียได้ เหมือน งู ละคราบเก่าที่คร่ำคร่า แล้ว ฉะนั้น
ภิกษุใดรู้ว่า ธรรมชาติมีขันธ์เป็นต้นทั้งหมดนี้ เป็นของแปรผัน ปราศจากโมหะ ไม่แล่นเลยไป ไม่ล้า อยู่ในโลก ภิกษุนั้นชื่อว่าย่อมละซึ่งฝั่งในและฝั่งนอก เสียได้ เหมือน งู ละคราบเก่าที่คร่ำคร่าแล้วฉะนั้น
ภิกษุใด ไม่มีอนุสัยอะไรๆ ถอนอกุศลมูลได้แล้ว ภิกษุนั้นชื่อว่า ย่อมละฝั่งใน และฝั่งนอกเสียได้ เหมือนงูละคราบเก่าที่ คร่ำคร่าแล้ว ฉะนั้น
ภิกษุใดไม่มีกิเลสอันเกิดแต่ความ กระวนกระวายอะไรๆ อันเป็นปัจจัยเพื่อมาสู่ ฝั่งใน ภิกษุนั้น ชื่อว่าย่อมละฝั่งในและฝั่งนอกเสียได้ เหมือนงูละคราบเก่า ที่คร่ำคร่าแล้ว ฉะนั้น
ภิกษุใดไม่มีกิเลสอันเกิดแต่ตัณหา ดุจป่าอะไรๆ อันเป็นเหตุเพื่อความผูกพัน เพื่อความเกิด ภิกษุนั้นชื่อว่าย่อมละฝั่งในและฝั่งนอกเสียได้ เหมือนงูละ คราบเก่า ที่คร่ำคร่าแล้ว ฉะนั้น
ภิกษุใดละนิวรณ์ ๕ ได้แล้ว ไม่มีทุกข์ ข้ามความสงสัยได้แล้ว มีลูกศรปราศ ไปแล้ว ภิกษุ นั้นชื่อว่าย่อมละฝั่งในและฝั่งนอกเสียได้ เหมือนงูละคราบเก่า ที่คร่ำคร่า แล้ว ฉะนั้น
----------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๓๐๓-๓๐๖
ธนิยสูตรที่ ๒
การโต้ตอบระหว่างนายธนิยะกับพระพุทธเจ้า
นายธนิยะคนเลี้ยงโคได้กล่าวคาถาว่า
[๒๙๕] เรามีข้าวสำเร็จแล้ว มีน้ำนมรีด (จากแม่โค) รองไว้แล้ว มีการอยู่กับชน ผู้เป็นบริวารผู้มีความประพฤติอนุกูลเสมอกัน ที่ใกล้ฝั่งแม่น้ำมหี เรามุงบังกระท่อมแล้ว ก่อไฟไว้แล้ว แน่ะฝน หากว่าท่านย่อมปรารถนาก็เชิญตกลงมาเถิด
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระคาถาตอบว่า เราเป็นผู้ไม่โกรธ มีกิเลสดุจหลักตอ ปราศไปแล้ว เรามีการ อยู่สิ้นราตรีหนึ่ง ที่ใกล้ฝั่งแม่น้ำมหี กระท่อมมีหลังคาอัน เปิดแล้ว ไฟดับแล้ว แน่ะฝน หากว่าท่านปรารถนาก็เชิญ ตกลงมาเถิด
นายธนิยะคนเลี้ยงโคได้กล่าวคาถาว่า เหลือบและยุงย่อมไม่มี โคทั้งหลาย ย่อมเที่ยวไปในประเทศ ใกล้แม่น้ำซึ่งมีหญ้างอกขึ้นแล้ว พึงอดทนแม้ซึ่งฝนที่ตกลงมา ได้ แน่ะฝน หากว่าท่านปรารถนาก็เชิญตกลงมาเถิด
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระคาถาตอบว่า ก็เราผูกแพไว้แล้ว ตกแต่งดีแล้ว กำจัด โอฆะ ข้ามถึงฝั่งแล้ว ความต้องการด้วยแพ ย่อมไม่มี แน่ะฝน หากว่าท่านปรารถนา ก็เชิญ ตกลงมาเถิด
นายธนิยะคนเลี้ยงโคได้กล่าวคาถาว่า ภริยาเชื่อฟังเรา ไม่โลเล เป็นที่พอใจ อยู่ร่วมกันสิ้น กาลนาน เราไม่ได้ยินความชั่วอะไรๆ ของภริยานั้น แน่ะฝน หากท่าน ปรารถนาก็เชิญตกลงมาเถิด
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระคาถาตอบว่า จิตเชื่อฟังเรา หลุดพ้นแล้ว เราอบรม แล้ว ฝึกหัดดีแล้วสิ้น กาลนาน และความชั่วของเราย่อมไม่มี แน่ะฝน หากว่า ท่าน ปรารถนาก็เชิญตกลงมาเถิด
นายธนิยะคนเลี้ยงโคได้กล่าวคาถาว่า เราเป็นผู้เลี้ยงตนด้วยอาหาร และ เครื่องนุ่งห่ม และบุตรทั้งหลาย ของเราดำรงอยู่ดี ไม่มีโรค เราไม่ได้ยินความชั่วอะไรๆ ของบุตรเหล่านั้น แน่ะฝน หากว่าท่านปรารถนาก็เชิญตกลงมาเถิด
พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสพระคาถาตอบว่า เราไม่เป็นลูกจ้างของใครๆ เราเที่ยว ไป ด้วยความเป็น พระสัพพัญญูผู้ไม่มีความต้องการในโลกทั้งปวง เราไม่มี ความ ต้องการค่าจ้าง แน่ะฝน หากว่าท่านปรารถนาก็เชิญ ตกลงมาเถิด
นายธนิยะคนเลี้ยงโคได้กล่าวคาถาว่า โคแก่ ลูกโคอ่อนที่ยังไม่ได้ฝึก แม่โค ที่มีครรภ์ ลูกโคหนุ่ม แม่โคผู้ปรารถนาประเวณีมีอยู่ อนึ่ง แม้โคที่เป็นเจ้าฝูง แห่งโค ก็มีอยู่ แน่ะฝน หากว่าท่านปรารถนาก็เชิญตกลง มาเถิด
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระคาถาตอบว่า โคแก่ ลูกโคอ่อนที่ยังไม่ได้ฝึก แม่โค ที่มีครรภ์ ลูกโคหนุ่ม แม่โคที่ปรารถนาประเวณีก็ไม่มี อนึ่ง แม้โคที่เป็นเจ้าฝูง แห่งโค ก็ไม่มี แน่ะฝน หากว่าท่านปรารถนาก็เชิญตก ลงมาเถิด
นายธนิยะคนเลี้ยงโคได้กล่าวคาถาว่า เสาเป็นที่ผูกโคเราฝังไว้แล้ว ไม่หวั่นไหว เชือกสำหรับผูก พิเศษประกอบด้วยปมและบ่วงเราทำไว้แล้ว สำเร็จด้วย หญ้ามุง กระต่าย เป็นของใหม่มีสัณฐานดีสำหรับผูกโคทั้งหลาย แม้โคหนุ่มๆ ก็ไม่อาจจะให้ ขาดได้เลย แน่ะฝน หากว่า ท่านปรารถนาก็เชิญตกลงมาเถิด
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระคาถาตอบว่า เราจักไม่เข้าถึงการนอนในครรภ์อีก เหมือนโคตัดเชือก สำหรับผูกขาดแล้ว เหมือนช้างทำลายเถากระพังโหมได้แล้ว ฉะนั้น แน่ะฝน หากว่าท่านปรารถนาก็เชิญตกลงมาเถิด ฯ ฝนได้ตกเต็มทั้งที่ลุ่ม ทั้งที่ดอน ในขณะนั้นเอง
นายธนิยะ คนเลี้ยงโคได้ยินเสียงฝนตกอยู่ ได้กราบทูลเนื้อความนี้ว่า เป็นลาภ ของข้าพระองค์ไม่น้อยหนอ ที่ข้าพระองค์ได้เห็น พระผู้มีพระภาค ข้าแต่พระองค์ผู้มีจักษุ ข้าพระองค์ขอถึง พระองค์ว่าเป็นสรณะ ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นมหามุนี ขอ พระองค์ทรงเป็น พระศาสดาของข้าพระองค์ ทั้งภริยาทั้ง ข้าพระองค์เป็นผู้เชื่อฟัง ประพฤติพรหมจรรย์ ใน พระสุคต ข้าพระองค์เป็นผู้ถึงฝั่งแห่งชาติและมรณะจะเป็นผู้กระทำซึ่ง ที่สุดแห่งทุก์ได้
มารผู้มีบาปได้กล่าวคาถาว่า คนย่อมเพลิดเพลินเพราะอุปธิทั้งหลาย เปรียบ เหมือน บุคคลผู้มีบุตร ย่อมเพลิดเพลินเพราะบุตร บุคคลมีโค ย่อมเพลิดเพลิน เพราะโค ฉะนั้น คนผู้ไม่มีอุปธิ ย่อมไม่ เพลิดเพลินเลย
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระคาถาตอบว่า คนย่อมเศร้าโศกเพราะอุปธิทั้งหลาย เปรียบเหมือนบุคคล ผู้มีบุตร ย่อมเศร้าโศกเพราะบุตร บุคคลผู้มีโค ย่อม เศร้าโศก เพราะโค ฉะนั้น คนผู้ไม่มีอุปธิ ย่อมไม่ เศร้าโศกเลย
|