พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๒๘๑
๔. อัคคิสูตร
ว่าด้วยไฟกิเลส
[๒๗๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฟ ๓ กอง นี้ ๓ กองเป็นไฉน คือ
๑
ไฟคือราคะ
๒
ไฟคือโทสะ
๓
ไฟคือโมหะ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฟ ๓ กองนี้แล
ไฟคือราคะ ย่อมเผาสัตว์ผู้กำหนัดแล้วหมกมุ่นแล้วในกาม ทั้งหลาย ส่วน ไฟคือโทสะ ย่อมเผานรชนผู้พยาบาท มีปรกติฆ่าสัตว์ ส่วน ไฟคือโมหะ ย่อมเผานรชน ผู้ลุ่มหลง ไม่ฉลาดในอริยธรรม ไฟ ๓ กองนี้ย่อมตามเผาหมู่สัตว์ผู้ไม่รู้ สึกว่าเป็นไฟ ผู้ยินดียิ่งในกายตน ทั้งในภพนี้และภพหน้า สัตว์เหล่านั้นย่อมพอกพูนนรก กำเนิดสัตว์ ดิรัจฉานอสุรกาย และปิตติวิสัย เป็นผู้ไม่พ้นไปจากเครื่องผูกแห่งมาร
ส่วน สัตว์เหล่าใดประกอบความเพียรในพระศาสนาของพระสัมมา สัมพุทธเจ้า ทั้งกลางคืนกลางวัน สัตว์เหล่านั้นผู้มีความสำคัญ อารมณ์ว่าไม่งามอยู่เป็นนิจ ย่อมดับไฟ คือ ราคะได้ ส่วน สัตว์ทั้งหลายผู้สูงสุดในนรชน ย่อมดับไฟคือโทสะได้ด้วย เมตตาและดับไฟ คือ โมหะได้ด้วยปัญญาอันเป็นเครื่องให้ถึง ความชำแรกกิเลส
สัตว์เหล่านั้นมีปัญญาเป็นเครื่องรักษาตน ไม่เกียจคร้านทั้งกลางคืนกลางวัน ดับไฟมีไฟคือราคะเป็นต้น ได้ ย่อมปรินิพพานโดยไม่มีส่วนเหลือ ล่วงทุกข์ได้ไม่มี ส่วนเหลือ บัณฑิตทั้งหลายผู้เห็นอริยสัจผู้ถึงที่สุดแห่งเวท รู้แล้วโดยชอบด้วยปัญญา เป็นเครื่องรู้ยิ่ง ซึ่งความสิ้นไปแห่ง ชาติ ย่อมไม่มาสู่ภพใหม่
------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๒๘๑-๒๘๒
๕. อุปปริกขยสูตร
การพิจารณาโดยวิธีที่จิตไม่ฟุ้งซ่าน
[๒๗๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อภิกษุพิจารณาอยู่ด้วยประการใดๆ วิญญาณ ของเธอไม่ฟุ้งซ่านแล้ว ไม่ส่ายไปแล้ว ไม่ดำรงอยู่แล้วในภายใน ภิกษุพึงพิจารณา ด้วยประการนั้นๆ เมื่อภิกษุไม่สะดุ้งเพราะไม่ถือมั่น ความสมภพ (ความเกิดแห่งภพ) คือความเกิดขึ้น แห่งทุกข์ คือ ชาติ ชราและมรณะ ย่อมไม่มีต่อไป
ภิกษุละธรรมเป็น เครื่องข้อง ๗ ประการ* ได้แล้ว ตัดตัณหาเป็น เหตุนำไปใน ภพขาดแล้ว สงสาร คือ ชาติหมดสิ้นแล้ว ภพ ใหม่ของเธอย่อมไม่มี
* อนุสัย ๗ (ธรรมที่ควรละ) คือ กามราคะ ปฏิฆะ ทิฐิ วิจิกิจฉา มานะ ภวราคะ อวิชชา
------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๒๘๒
๖. อุปปัตติสูตร
ผู้ยังเสพกามไม่สามารถล่วงสังสารทุกข์ได้
[๒๗๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย การเข้าถึงกาม ๓ อย่างนี้ ๓ อย่างเป็นไฉนคือ
๑
เหล่าสัตว์ผู้มีกามอันปรากฏแล้ว
๒
เทวดาผู้ยินดีในกามที่ตนนิรมิตเอง
๓
เทวดาผู้ให้อำนาจเป็นไปในกามที่ผู้อื่นนิรมิตให้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย การเข้าถึงกาม๓ อย่างนี้แล
ฉบับมหาจุฬา
แปลไว้ดังนี้
๑. การเสพกามของสัตว์ผู้มีความใคร่ปรากฏอยู่เป็นนิตย์
๒. การเสพกามของเทวดาผู้ยินดีในกามสมบัติที่ตนเนรมิต
๓. การเสพกามของเทวดาผู้ยินดีในกามสมบัติที่เทวดาอื่นเนรมิตให้
เหล่าสัตว์ผู้มีกามอันปรากฏแล้ว เทวดาผู้ยินดีในกามที่นิรมิต เอง เทวดาผู้ยัง อำนาจให้เป็นไป ทั้งมนุษย์และสัตว์ผู้บริโภค กามเหล่าอื่น ซึ่งเป็นผู้ฉลาดในการ บริโภคกาม ย่อมไม่ก้าว ล่วงสงสารอันมีความเป็นอย่างนี้ และมีความเป็นอย่างอื่นไปได้
บัณฑิตพึงสละกามทั้งที่เป็นของทิพย์ ทั้งที่เป็นของมนุษย์ เสียทั้งหมด บัณฑิตทั้งหลาย ตัดกระแสตัณหาใน ปิยรูป และ สาตรูป ที่บุคคลก้าวล่วงได้โดยยาก ได้แล้ว ย่อมปรินิพพานโดยไม่มี ส่วนเหลือล่วงทุกข์ได้โดยไม่มีส่วนเหลือ บัณฑิต ทั้งหลาย ผู้เห็นอริยสัจ ผู้ถึงเวท รู้แล้วโดยชอบด้วยปัญญาเป็นเครื่อง รู้ยิ่งซึ่งความ สิ้นไปแห่งชาติ ย่อมไม่มาสู่ภพใหม่
------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๒๘๓
๗. กามสูตร
ผู้ประกอบด้วยกามโยคและภวโยคะ
[๒๗๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ประกอบแล้วด้วย กามโยคะ ผู้ประกอบแล้ว ด้วย ภวโยคะ เป็นอาคามี ยังต้องมาสู่ความเป็นอย่างนี้ (คืออัตภาพแห่งมนุษย์*)
*ที่ถูกแล้ว อาคามี ยังต้องกลับมาสู่สังสารวัฎ ยังไม่พ้นจากนรก กำเนิดเดรัจฉานและเปรตวิสัย ไม่ได้กลับมา สู่ภพมนุษย์เพียงแค่ภพเดียวเท่านั้น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระอริยบุคคลผู้พรากแล้วจาก กามโยคะ (แต่) ยังประกอบ ด้วยภวโยคะ เป็นอนาคามี ไม่มาสู่ความเป็นอย่างนี้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระอริยบุคคล ผู้พรากแล้วจากกามโยคะ พรากแล้วจาก ภวโยคะ เป็นพระอรหันตขีณาสพ
สัตว์ทั้งหลายผู้ประกอบแล้ว ด้วยกามโยคะ และภวโยคะ ย่อมไปสู่สงสาร ซึ่งมีปรกติถึงความเกิดและความตาย
ส่วนสัตว์ เหล่าใดละกามทั้งหลายได้เด็ดขาด แต่ยังไม่ถึงความสิ้นไป แห่ง อาสวะ ยังประกอบด้วยภวโยคะ สัตว์เหล่านั้น บัณฑิต กล่าวว่า เป็นพระอนาคามี
ส่วนสัตว์เหล่าใด ตัดความสงสัย ได้แล้ว มีมานะและมีภพใหม่สิ้นแล้ว ถึงความ สิ้นไปแห่ง อาสวะทั้งหลายแล้ว สัตว์เหล่านั้นแลถึงฝั่งแล้วในโลก(เป็นอรหันต์) |