พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๒๕๗-๒๕๘
๕. ปุตตสูตร
ว่าด้วยบุตร
[๒๕๒] จริงอยู่ พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาค ผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุตร ๓ จำพวก นี้มีปรากฏอยู่ในโลก ๓ จำพวกเป็นไฉนคือ
๑
อติชาตบุตร (มารดาบิดาไม่เข้าถึงพระพุทธเจ้า แต่บุตรเข้าถึง)
๒ อนุชาตบุตร (ทั้งมารดาบิดา และบุตร เข้าถึงพระพุทธเจ้า)
๓ อวชาตบุตร (มารดาบิดาเข้าถึงพระพุทธเจ้า แต่บุตรไม่ถึง)
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อติชาตบุตร เป็นอย่างไร ดูกรภิกษุทั้งหลาย มารดาบิดา ของบุตรในโลกนี้ ไม่ถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ว่าเป็นสรณะ ไม่งดเว้นจาก การฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ การดื่มน้ำเมา คือ สุราและเมรัย อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท เป็นผู้ทุศีล มีธรรมอันลามก ส่วนบุตรของมารดาและบิดา เหล่านั้น เป็นผู้ถึงพระพุทธเจ้า พระธรรมพระสงฆ์ ว่าเป็นสรณะ งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกามพูดเท็จ การดื่มน้ำเมา คือ สุราและเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่ง ความประมาท มีศีลมีธรรมอันงาม ดูกรภิกษุทั้งหลาย อติชาตบุตรเป็นอย่างนี้แล
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อนุชาตบุตรเป็นอย่างไร ดูกรภิกษุทั้งหลาย มารดาบิดา ของบุตร ในโลกนี้ ถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ว่าเป็นสรณะงดเว้นจากการ ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ การดื่มน้ำเมาคือ สุราและเมรัย อันเป็น ที่ตั้งแห่งความประมาท มีศีล มีธรรมอันงาม ส่วนบุตรของมารดาบิดาเหล่านั้น ถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ว่าเป็นสรณะงดเว้นจากการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ การดื่มน้ำเมาคือ สุราและเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่ง ความ ประมาท เป็นผู้มีศีล มีธรรมอันงามดูกรภิกษุทั้งหลาย อนุชาตบุตรเป็นอย่างนี้แล
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อวชาตบุตรเป็นอย่างไร ดูกรภิกษุทั้งหลาย มารดาบิดา ของบุตรในโลกนี้ ถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ว่าเป็นสรณะงดเว้นจากการ ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ การดื่มน้ำเมาคือ สุราและเมรัย อันเป็น ที่ตั้ง แห่งความประมาท เป็นผู้มีศีล มีธรรมอันงามส่วนบุตรของมารดาบิดาเหล่านั้น ไม่ถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ว่าเป็นสรณะ ไม่งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ การดื่มน้ำเมา คือ สุราและเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความ ประมาท เป็นผู้ทุศีล มีธรรมอันลามก ดูกรภิกษุทั้งหลาย อวชาตบุตรเป็นอย่างนี้แล ดูกรภิกษุทั้งหลายบุตร ๓ จำพวกนี้แล มีปรากฏอยู่ในโลก
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสเนื้อความนี้แล้ว ในพระสูตรนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสคาถา ประพันธ์ดังนี้ว่า
บัณฑิตทั้งหลาย ย่อมปรารถนาอติชาตบุตร และอนุชาตบุตร ไม่ปรารถนา อวชาตบุตร ซึ่งเป็นผู้ทำลายตระกูล ส่วนบุตร เหล่าใดเป็นอุบาสก บุตรเหล่านั้นแลชื่อว่า เป็นบุตรในโลก บุตรเหล่านั้นมีศรัทธา ถึงพร้อมด้วยศีล ผู้ (โอบอ้อมอารี) รู้ความประสงค์ ปราศจากความตระหนี่ ย่อมรุ่งเรืองใน บริษัททั้งหลาย เปรียบเหมือนพระจันทร์พ้นแล้ว จากเมฆ ฉะนั้น
เนื้อความแม้นี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้ว ฉะนี้แล
ข้อน่าสังเกตุ (ปุตตสูตร)
ปกติพระสูตรลักษณะนี้ พระพุทธเจ้าจะอุปมา เป็น๔ ประเภท แต่สูตรนี้มีแค่ ๓
๑.มารดาบิดา ถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์..แต่บุตรไม่ถึง
๒.มารดาบิดา ไม่ถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์..แต่บุตรเป็นผู้ถึง
๓.มารดาบิดา ไม่ถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์..และบุตรก็ไม่ถึง
๔.มารดาบิดา ถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์..และบุตรก็เป็นผู้ถึง
(ประเภท ๔ ประสริฐกว่าประเภทอื่น )
ทำให้น่าสงสัยว่า พระสูตรนี้เป็นคำสอนพระศาสดาหรือไม่ เพราะขาดอีกหนึ่งประเภท
|
|
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๒๕๘-๒๖๐
๖. อวุฏฐิกสูตร
บุคคลเปรียบด้วยฝน
[๒๕๓] จริงอยู่ พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาค ผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๓ จำพวก นี้ มีปรากฏอยู่ในโลก ๓ จำพวก เป็นไฉน คือ
๑
บุคคลผู้เสมอด้วยฝนไม่ตก
๒
ผู้ดุจฝนตกในที่บางส่วน
๓
ผู้ดุจฝนตกในที่ทั่วไป
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลเสมอด้วยฝนไม่ตกเป็นอย่างไร
บุคคลบางคน ในโลกนี้ ไม่ให้ข้าว น้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่พัก เครื่อง ประทีป แก่สมณะพราหมณ์ คนกำพร้า คนเดินทาง วนิพกและยาจก ทุกหมู่เหล่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้เสมอด้วยฝนไม่ตกเป็นอย่างนี้แล
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลผู้ดุจฝนตกในที่บางส่วนเป็นอย่างไร บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ให้ข้าว น้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ที่นอน ที่พัก เครื่องประทีป แก่สมณะพราหมณ์ คนกำพร้า คนเดินทาง วนิพกและยาจกบางพวก ไม่ให้แก่บางพวก ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ดุจฝนตกในที่บางส่วนเป็นอย่างนี้แล
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลผู้ดุจฝนตกในที่ทั่วไปเป็นอย่างไร บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมให้ข้าว น้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ที่นอน ที่พัก เครื่องประทีป แก่สมณะพราหมณ์ คนกำพร้า คนเดินทางวนิพก และยาจกทั้งปวง ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลดุจฝนตกในที่ทั่วไป เป็นอย่างนี้แล ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๓ จำพวกนี้แล มีปรากฏอยู่ในโลก
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสเนื้อความนี้แล้ว ในพระสูตรนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสคาถา ประพันธ์ดังนี้ว่า
บุคคลได้พบสมณะ พราหมณ์ คนกำพร้า คนเดินทาง วนิพกแล้ว ย่อมไม่แบ่งข้าว น้ำ และเครื่องบริโภคให้ บัณฑิตทั้งหลาย กล่าวบุคคลผู้เป็นบุรุษต่ำช้านั้นแลว่า เป็น ผู้เสมอด้วยฝนไม่ตก บุคคลใดย่อมไม่ให้ไทยธรรมแก่ บุคคลบางพวก ย่อมให้แก่บุคคล บางพวก ชนผู้มีปัญญา ทั้งหลายกล่าวบุคคลนั้นว่า ดุจฝนตกในที่บางส่วน บุรุษผู้มี วาจาว่า ภิกษาดี ผู้อนุเคราะห์สัตว์ทั่วหน้า มีใจยินดีประดุจ เรี่ยรายไทยธรรมกล่าวอยู่ว่า จงให้ๆ ดังนี้ บุคคลบางคน ในโลกนี้ เป็นผู้เช่นนั้น รวบรวมทรัพย์ที่ตนได้แล้วด้วย ความหมั่นโดยชอบธรรม ยังวนิพกทั้งหลายผู้มาถึงแล้ว ให้อิ่มหนำด้วยข้าวและน้ำ โดยชอบ เปรียบเหมือนเมฆ บันลือ กระหึ่มแล้ว ย่อมยังฝนให้ตก ยังน้ำให้ไหลนอง เต็มที่ดอนและที่ลุ่มฉะนั้น
เนื้อความแม้นี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้ว ฉะนี้แล
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๒๖๐-๒๖๑
๗. สุขสูตร
สุขของบัณฑิตและสุขของนักปราชญ์
[๒๕๔] จริงอยู่ พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาค ผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บัณฑิตปรารถนาสุข ๓ ประการ นี้ พึงรักษาศีล ๓ ประการ เป็นไฉนคือ
๑
บัณฑิตปรารถนาอยู่ว่า ขอความสรรเสริญจงมาถึงแก่เรา
๒
ขอโภคสมบัติจงเกิดขึ้นแก่เรา
๓
เมื่อตายไป เราจักเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บัณฑิตปรารถนาสุข ๓ ประการนี้แล พึงรักษาศีล
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสเนื้อความนี้แล้ว ในพระสูตรนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสคาถา ประพันธ์ดังนี้ว่า
นักปราชญ์ปรารถนาสุข ๓ ประการ คือ
๑
ความสรรเสริญ พึงรักษาศีล
๒
การได้โภคทรัพย์ เครื่องปลื้มใจ พึงรักษาศีล
๓
ความบันเทิงในสวรรค์ใน โลกหน้า พึงรักษาศีล
ถ้าว่าบุคคลแม้ไม่ กระทำความชั่ว แต่เข้าไปเสพบุคคล ผู้กระทำความชั่วอยู่ไซร้ บุคคลนั้น เป็น ผู้อันบุคคล พึงรังเกียจในเพราะความชั่ว และโทษของบุคคล ผู้เสพ คนชั่วนี้ ย่อมงอกงาม บุคคลย่อม กระทำบุคคลเช่นใด ให้เป็นมิตร และย่อมเข้าไปเสพ บุคคลเช่นใดบุคคลนั้นแล เป็นผู้เช่น กับด้วยบุคคลนั้น เพราะว่าการอยู่ร่วมกันเป็น เช่นนั้น
คนชั่วซ่องเสพบุคคลอื่น ผู้บริสุทธิ์โดยปรกติอยู่ ย่อมทำบุคคลอื่นผู้บริสุทธิ์ โดยปรกติที่ซ่องเสพตน ให้ติด เปื้อนด้วยความชั่ว เหมือนลูกศรที่แช่ยาพิษ ถูกยาพิษติด เปื้อนแล้ว ย่อมทำแล่งลูกศรซึ่งไม่ติดเปื้อนแล้วให้ติด เปื้อนด้วยยาพิษฉะนั้น นักปราชญ์ ไม่พึงเป็นผู้มีคนชั่วเป็น เพื่อนเลย เพราะความกลัวแต่การเข้าไปติดเปื้อน
คนใด ห่อปลาเน่าไว้ด้วยใบหญ้าคา แม้หญ้าคาของคนนั้นย่อมมีกลิ่นเหม็น ฟุ้งไป การเข้าไป ซ่องเสพคนพาล ย่อมเป็นเหมือน อย่างนั้น ส่วนคนใดห่อกฤษณา ไว้ด้วยใบไม้ แม้ใบไม้ของ คนนั้นย่อมมีกลิ่นหอมฟุ้งไป การเข้าไปซ่องเสพ นักปราชญ์ ย่อมเป็นเหมือนอย่างนั้น เพราะเหตุนั้น
บัณฑิตรู้ความ สำเร็จผลแห่งตนดุจห่อใบไม้แล้ว ไม่พึงเข้าไปเสพอสัตบุรุษ พึงเสพสัตบุรุษ เพราะว่าอสัตบุรุษย่อมนำไปสู่นรก สัตบุรุษ ย่อมให้ถึงสุคติ
เนื้อความแม้นี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้ว ฉะนี้แล |