เว็บไซต์ อนาคามี เผยแพร่คำพระศาสดา เผยแพร่คำสอนตถาคต เว็บไซต์เผยแพร่พระสุตรคำสอนของพระพุทธเจ้า คลิปคำสอน คลิปสาธยายธรรม
ค้นหาคำที่ต้องการ            

(พุทธอุทาน) ปปัญจขยสูตร มหากัจจานสูตร อุทปานสูตร อุทนสูตร อุทาน.. สัตว์โลกมีโมหะเป็นเครื่องผูกพัน 2411
 

พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕

๗. ปปัญจขยสูตร ทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า
ผู้ใดไม่มีกิเลสเครื่องให้เนิ่นช้าและความตั้งอยู่ (ในสงสาร) ก้าวล่วงซึ่งที่ต่อ คือ ตัณหาทิฐิ และลิ่ม คือ อวิชชาได้ แม้ สัตว์โลกพร้อมทั้งเทวโลกย่อมไม่ดูหมิ่นผู้นั้น ผู้ไม่มีตัณหา เป็นมุนี เที่ยวไปอยู่

๘. มหากัจจานสูตร ทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า
ผู้ใดพึงตั้งกายคตาสติไว้มั่นแล้วเนืองๆ ในกาลทุกเมื่อว่า อะไรๆ อันพ้นจาก ขันธปัญจกไม่พึงมี อะไรๆ ที่ชื่อว่าเป็น ของเราก็ไม่พึงมี อะไรๆ ที่ชื่อว่าตนอันพ้นจาก ขันธ์ จักไม่มี และอะไรๆ ที่เนื่องในตน จักไม่มีแก่เรา ผู้นั้น มีปกติอยู่ด้วยอนุปุพพวิหาร ตามเห็นอยู่ในสังขารนั้น พึงข้าม ตัณหาได้โดยกาลเกิดขึ้น แห่งอริยมรรคแล

๙. อุทปานสูตร ทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า
 ถ้าว่าน้ำพึงมีในกาลทุกเมื่อไซร้ บุคคลจะพึงกระทำประโยชน์ อะไรด้วย บ่อน้ำ พระพุทธเจ้าตัดราก แห่งตัณหาได้แล้ว จะ พึงเที่ยวแสวงหาน้ำเพราะเหตุอะไร

๑๐. อุเทนสูตร ทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า
สัตว์โลกมีโมหะเป็นเครื่องผูกพัน ย่อมปรากฏเหมือน สมบูรณ์ด้วยเหตุ คนพาล มีอุปธิเป็นเครื่อง ผูกพัน ถูก ความมืดหุ้มห่อไว้ ย่อมปรากฏเหมือนว่า เที่ยงยั่งยืน กิเลส เครื่องกังวลย่อมไม่มีแก่ ผู้พิจารณา เห็นอยู่

เรื่องสำคัญของพระพุทธเจ้า
การบำเพ็ญบารมีในอดีตชาติ
การประสูติ แสงสว่าง แผ่นดินไหว
แสวงหาสัจจะบำเพ็ญทุกรกิริยา
ปัญจวัคคีย์หลีก สิ่งที่ตรัสรู้
ตรัสรู้ แสดงเทศนาปัญจวัคคีย์
ปลงสังขาร ปรินิพพาน
ลำดับขั้นการปรินิพพาน
เทวดาแสดงฤทธิ์ขณะถวายเพลิง
แบ่งพระสรีระออกเป็น ๘ ส่วน
 
รวมพระสูตรบุคคลสำคัญ
พระโมคคัลลานะ
พระสารีบุตร
พระเทวทัต
นิครนถ์ปริพาชก
พระมหากัปปินะ
พระอนุรุทธะ
พระอุบาลี
(ดูทั้งหมด)
 
สารบาญพระไตรปิฎก
เล่มที่ ๘-๓๓ (๒๕ เล่ม) ทุกพระสูตร
1. ฉบับหลวง
2. ฉบับมหาจุฬาฯ
3. อรรถกถาไทย
4. ฉบับภาษาบาลี
5. อรรถกถา-บาลี
6. Pali Roman (Roman Script)
7. Atthakatha PaliRoman
 

 


 


พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๗๐

๗. ปปัญจขยสูตร


           [๑๕๓] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถ บิณฑิก เศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคประทับนั่งพิจารณาการละ ส่วนสัญญาอันสหรคต ด้วยธรรมเครื่องเนิ่นช้า ของพระองค์อยู่

           ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาค ทรงทราบการละ ส่วนสัญญาอันสหรคตด้วย ธรรมเครื่องเนิ่นช้าของพระองค์แล้ว ได้ทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า

            ผู้ใดไม่มีกิเลสเครื่องให้เนิ่นช้าและความตั้งอยู่ (ในสงสาร) ก้าวล่วงซึ่งที่ต่อ คือ ตัณหาทิฐิ และลิ่ม คือ อวิชชาได้ แม้ สัตว์โลกพร้อมทั้งเทวโลกย่อมไม่ดูหมิ่นผู้นั้น ผู้ไม่มีตัณหา เป็นมุนี เที่ยวไปอยู่


---------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๗๐-๑๗๑

๘. มหากัจจานสูตร

           [๑๕๔] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิก เศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี

           ก็สมัยนั้นแล ท่านพระมหากัจจานะนั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง มีกายคตาสติ ตั้งมั่นดีแล้ว เฉพาะหน้าในภายใน ในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ได้ทรงเห็น ท่านพระมหากัจจานะ นั่งคู้บัลลังก์ตั้งกายตรง มีกายคตาสติ ตั้งมั่นดีแล้ว เฉพาะหน้า ในภายใน ในที่ไม่ไกล

           ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาค ทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว ทรงเปล่งอุทานนี้ ในเวลานั้นว่า

            ผู้ใดพึงตั้งกายคตาสติไว้มั่นแล้วเนืองๆ ในกาลทุกเมื่อว่า อะไรๆ อันพ้นจาก ขันธปัญจกไม่พึงมี อะไรๆ ที่ชื่อว่าเป็น ของเราก็ไม่พึงมี อะไรๆ ที่ชื่อว่าตนอันพ้นจาก ขันธ์ จักไม่มี และอะไรๆ ที่เนื่องในตน จักไม่มีแก่เรา ผู้นั้น มีปกติอยู่ด้วยอนุปุพพวิหาร ตามเห็นอยู่ในสังขารนั้น พึงข้าม ตัณหาได้โดยกาลเกิดขึ้น แห่งอริยมรรคแล


---------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๗๑-๑๗๒

๙. อุทปานสูตร

           [๑๕๕] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาค เสด็จจาริกไปในมัลลชนบท พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ได้เสด็จถึงพราหมณคามชื่อถูนะ ของมัลลกษัตริย์ทั้งหลาย พราหมณ์และคฤหบดี ชาวถูนคาม ได้สดับข่าวว่า แนะท่านผู้เจริญทั้งหลาย พระสมณโคดมศากยบุตร เสด็จ ออกบวชจากศากยตระกูล เสด็จจาริกไปในมัลลชนบท พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ เสด็จถึงถูนพราหมณคาม โดยลำดับ พราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย เอาหญ้า และแกลบ ถมบ่อน้ำจนเต็มถึงปากบ่อ ด้วยตั้งใจว่า สมณะโล้นทั้งหลายอย่าได้ดื่มน้ำ

           [๑๕๖] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาค ทรงแวะออกจากทางแล้ว เสด็จเข้าไปยัง โคนต้นไม้ต้นหนึ่ง ประทับนั่งบนอาสนะ ที่ท่านพระอานนท์จัดถวาย ครั้นแล้ว ตรัสกะ ท่านพระอานนท์ว่า ดูกรอานนท์ เร็วเถิด เธอจงไปนำน้ำ มาจากบ่อนั่นเพื่อเรา เมื่อพระผู้มีพระภาค ตรัสอย่างนี้แล้ว ท่านพระอานนท์ได้กราบทูล พระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บัดนี้ บ่อน้ำนั้นพวกพราหมณ์ และคฤหบดีชาวถูนคาม เอาหญ้า และแกลบ ถมจนเต็มถึงปากบ่อ ด้วยตั้งใจว่า สมณะโล้นทั้งหลายอย่าได้ดื่มน้ำ พระเจ้าข้า

           แม้ครั้งที่ ๒ ...

           แม้ครั้งที่ ๓ พระผู้มีพระภาค ตรัสกะท่านพระอานนท์ว่า ดูกรอานนท์เร็วเถิด เธอจงไปนำน้ำมาจากบ่อนั้นเพื่อเรา ท่านพระอานนท์ทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว ถือบาตรเดินเข้าไปยังบ่อน้ำนั้น

           ลำดับนั้นแล เมื่อท่านพระอานนท์เดินเข้าไป บ่อน้ำล้นขึ้นพาเอาหญ้าและแกลบ ทั้งหมดนั้น ออกไปจากปากบ่อ เต็มไปด้วยน้ำใสแจ๋ว ไม่ขุ่นมัว จนถึงปากบ่อ ดุจไหล ไปขังอยู่

           ลำดับนั้นแล ท่านพระอานนท์ดำริว่า ท่านผู้เจริญ น่าอัศจรรย์หนอ ท่านผู้เจริญ ไม่เคยมีมาหนอ ความที่พระตถาคต ทรงมีฤทธิ์มีอานุภาพมาก เมื่อเราเดินเข้าไป บ่อน้ำ นั้นแลล้นขึ้นพาเอาหญ้าและแกลบทั้งหมดนั้น ออกไปจากปากบ่อ เต็มไปด้วยน้ำใสแจ๋ว ไม่ขุ่นมัวจนถึงปากบ่อ ดุจไหลไปขังอยู่ ท่านพระอานนท์เอาบาตรตักน้ำ แล้วเข้าไป ถวายพระผู้มีพระภาค

           ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญน่าอัศจรรย์ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ไม่เคยมีมา ความที่พระตถาคต ทรงมีฤทธิ์มีอานุภาพมาก เมื่อข้าพระองค์เดินเข้าไป บ่อน้ำนั้นแลล้นขึ้นพาเอาหญ้าและแกลบทั้งหมด นั้นออกไป จากปากบ่อ เต็มไปด้วยน้ำใสแจ๋ว ไม่ขุ่นมัว จนถึงปากบ่อ ดุจไหลไปขังอยู่ ขอพระผู้มีพระภาค ทรงดื่มน้ำเถิด ขอพระสุคตจงทรง ดื่มน้ำเถิด

           ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว ทรงเปล่งอุทานนี้ ในเวลานั้นว่า

           ถ้าว่าน้ำพึงมีในกาลทุกเมื่อไซร้ บุคคลจะพึงกระทำประโยชน์ อะไรด้วย บ่อน้ำ พระพุทธเจ้าตัดรากแห่งตัณหาได้แล้ว จะ พึงเที่ยวแสวงหาน้ำเพราะเหตุอะไร


---------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๗๓-๑๗๔

๑๐. อุเทนสูตร

            [๑๕๗] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ โฆสิตาราม ใกล้พระนครโกสัมพี ก็สมัยนั้นแล เมื่อพระเจ้าอุเทน เสด็จประพาสพระราชอุทยาน ภายในพระราชวังถูกไฟไหม้ หญิง ๕๐๐ มีพระนางสามาวดี เป็นประมุขทำกาละ ครั้งนั้นแล เป็นเวลาเช้า ภิกษุมากรูปด้วยกัน นุ่งแล้ว ถือบาตรและจีวรเข้าไปบิณฑบาต ยังพระนครโกสัมพี

           ครั้นเที่ยวบิณฑบาต ในพระนครโกสัมพี กลับจากบิณฑบาต ภายหลังภัตแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่ง ณที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ทูลถาม พระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานพระวโรกาส เมื่อพระเจ้าอุเทน เสด็จประพาสพระราชอุทยาน ภายในพระราชวังถูกไฟไหม้ หญิง ๕๐๐ มีพระนางสามาวดี เป็นประมุขทำกาละ คติแห่งอุบาสิกาเหล่านั้นเป็นอย่างไร ภพหน้า เป็นอย่างไร

           พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาอุบาสิกาเหล่านั้น อุบาสิกา ที่เป็นพระโสดาบัน มีอยู่เป็นพระสกทาคามินีมีอยู่ เป็นพระอนาคามินีมีอยู่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย อุบาสิกาทั้งหมดนั้น เป็นผู้ไม่ไร้ผลทำกาละ

           ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาค ทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว ทรงเปล่งอุทานนี้ ในเวลานั้นว่า

            สัตว์โลกมีโมหะเป็นเครื่องผูกพัน ย่อมปรากฏเหมือน สมบูรณ์ด้วยเหตุ คนพาล มีอุปธิเป็นเครื่องผูกพัน ถูก ความมืดหุ้มห่อไว้ ย่อมปรากฏเหมือนว่า เที่ยงยั่งยืน กิเลส เครื่องกังวลย่อมไม่มีแก่ผู้พิจารณาเห็นอยู่

 





หนังสือพุทธวจน ธรรมะของพระศาสดา
90 90 90 90
พุทธประวัติ ขุมทรัพย์ อริยสัจ
ภาคต้น
อริยสัจ
ภาคปลาย
ปฏิจจ ปฐมธรรม ตถาคต อนาคามี อินทรีย์
สังวร
สัตว์
สัตตานัง
ทาน
สกทาคามี
ฆราวาส
ชั้นเลิศ
มรรควิธี
ที่ง่าย
อริยวินัย เดรัจฉานวิชา กรรม สมถะ
วิปัสสนา
โสดาบัน นา
ปานสติ
จิต มโน
วิญญาณ
ก้าวย่าง
อย่างพุทธะ
ตามรอย
ธรรม
ภพ ภูมิ
พุทธวจน
สาธยาย
ธรรม
สังโยชน์