เว็บไซต์ อนาคามี เผยแพร่คำพระศาสดา เผยแพร่คำสอนตถาคต เว็บไซต์เผยแพร่พระสุตรคำสอนของพระพุทธเจ้า คลิปคำสอน คลิปสาธยายธรรม
ค้นหาคำที่ต้องการ            

โพธิสูตร ทรงประทับนั่งเสวยวิมุติสุขด้วยบัลลังก์เดียวใต้โคนไม้โพธิ์ตลอด ๗ ราตรี ทรงมนสิการปฏิจจสมุปบาท 2389
 

พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕

โพธิสูตร
เป็นเหตุการณ์ ขณะพระผู้มีพระภาคประทับนั่งเสวยวิมุติสุขด้วยบัลลังก์อันเดียว อยู่ใต้โคนไม้โพธิ์ ใกล้ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ที่ตำบลอุรุเวลา ตลอด ๗ วัน (๗ ราตรี)

โพธิสูตรที่ ๑
ทรงมนสิการ ปฏิจจสมุปบาท อันเป็นอนุโลม ตลอดปฐมยาม ในยามแรกแห่งราตรี (รวม ๗ ราตรี)

โพธิสูตรที่ ๒
ทรงมนสิการ ปฏิจจสมุปบาท อันเป็นปฏิโลม ตลอดมัชฌิมยาม ในยามสองแห่งราตรี (รวม ๗ ราตรี)

โพธิสูตรที่
ทรงมนสิการปฏิจจสมุปบาท ทั้งอนุโลมและปฏิโลม ตลอดปัจฉิมยาม ในยามสาม (รวม ๗ ราตรี)


สมัยพุทธกาล ช่วงกลางคืนจะแบ่งเป็น ๓ คาบ นับจากหกโมงเย็นจนถึงหกโมงเช้า
ยามแรก (ปฐมยาม) แห่งราตรี คือ เวลา ๖ โมงเย็น - ๔ ทุ่ม (๔ ชั่วโมง)
ยามสอง (มัชฌิมยาม) คือ เวลา ๔ ทุ่ม - ตี ๒ (๔ ชั่วโมง)
ยามสาม (ปัจฉิมยาม) คือ เวลา ตี ๒ - ๖ โมงเช้า (๔ ชั่วโมง)

เรื่องสำคัญของพระพุทธเจ้า
การบำเพ็ญบารมีในอดีตชาติ
การประสูติ แสงสว่าง แผ่นดินไหว
แสวงหาสัจจะบำเพ็ญทุกรกิริยา
ปัญจวัคคีย์หลีก สิ่งที่ตรัสรู้
ตรัสรู้ แสดงเทศนาปัญจวัคคีย์
ปลงสังขาร ปรินิพพาน
ลำดับขั้นการปรินิพพาน
เทวดาแสดงฤทธิ์ขณะถวายเพลิง
แบ่งพระสรีระออกเป็น ๘ ส่วน
 
รวมพระสูตรบุคคลสำคัญ
พระโมคคัลลานะ
พระสารีบุตร
พระเทวทัต
นิครนถ์ปริพาชก
พระมหากัปปินะ
พระอนุรุทธะ
พระอุบาลี
(ดูทั้งหมด)
 
สารบาญพระไตรปิฎก
เล่มที่ ๘-๓๓ (๒๕ เล่ม) ทุกพระสูตร
1. ฉบับหลวง
2. ฉบับมหาจุฬาฯ
3. อรรถกถาไทย
4. ฉบับภาษาบาลี
5. อรรถกถา-บาลี
6. Pali Roman (Roman Script)
7. Atthakatha PaliRoman
 

 


 


พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๖๒

๑. โพธิสูตรที่ ๑
มนัสสิการปฏิจจ(กระทำไว้ในใจ)ในยามแรก

            [๓๘] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคตรัสรู้ใหม่ๆ ประทับอยู่ที่โคนไม้โพธิ์ใกล้ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ที่ตำบลอุรุเวลา ก็สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคประทับนั่งเสวยวิมุติสุขด้วยบัลลังก์ อันเดียว* ตลอด ๗ วัน
* (นั่งบัลลังก์เดียว หมายถึงนั่งขัดสมาธิโดยไม่ลุกขึ้นเลยตลอด ๗ วัน)

            ครั้งนั้นแล พอสัปดาห์นั้นล่วงไปพระผู้มีพระภาคเสด็จออกจากสมาธินั้น ได้ทรง มนสิการ ปฏิจจสมุปบาทอันเป็นอนุโลมด้วยดี ตลอดปฐมยามแห่งราตรี
ดังนี้ว่า
เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้ก็มี
เพราะสิ่งนี้เกิด สิ่งนี้จึงเกิด


คือ
เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยจึงมีสังขาร
เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ
เพราะวิญญาณเป็นปัจจัยจึงมีนามรูป
เพราะนามรูปเป็นปัจจัยจึงมีสฬายตนะ
เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัยจึงมีผัสสะ
เพราะผัสสะเป็นปัจจัยจึงมีเวทนา
เพราะเวทนาเป็นปัจจัยจึงมีตัณหา
เพราะตัณหาเป็นปัจจัยจึงมีอุปาทาน
เพราะอุปาทานเป็นปัจจัยจึงมีภพ
เพราะภพเป็นปัจจัยจึงมีชาติ
เพราะชาติเป็นปัจจัยจึงมีชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัสและอุปายาส
ความเกิดขึ้น แห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมีได้ด้วยประการอย่างนี้

            ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว ได้ทรงเปล่งอุทานนี้ ในเวลานี้ว่า ในกาลใดแล ธรรมทั้งหลายมาปรากฏแก่พราหมณ์ผู้มีเพียร เพ่งอยู่
ในกาลนั้น ความสงสัยทั้งปวงของพราหมณ์นั้น ย่อมสิ้นไป เพราะมารู้แจ้งธรรม พร้อมด้วยเหตุ


----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๖๒-๖๓

๒. โพธิสูตรที่ ๒
มนัสสิการปฏิจจในยามสอง

            [๓๙] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคตรัสรู้ใหม่ๆ ประทับอยู่ที่โคนไม้โพธิ์ใกล้ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ที่ตำบลอุรุเวลา

            ก็สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคประทับนั่ง เสวยวิมุติสุข ด้วยบัลลังก์อันเดียว ตลอด ๗ วัน พอล่วงสัปดาห์นั้นไป พระผู้มีพระภาค เสด็จออกจากสมาธินั้นแล้ว ทรง มนสิการ ปฏิจจสมุปบาท อันเป็นปฏิโลมด้วยดี ตลอดมัชฌิมยามแห่งราตรี
ดังนี้ว่า
เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ก็ไม่มี
เพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้ก็ดับ


คือ

พระอวิชชาดับสังขารจึงดับ เพราะสังขารดับวิญญาณจึงดับ
เพราะวิญญาณดับนามรูปจึงดับ เพราะนามรูปดับสฬายตนะจึงดับ
เพราะสฬายตนะดับผัสสะจึงดับ เพราะผัสสะดับเวทนาจึงดับ
เพราะเวทนาดับตัณหาจึงดับ เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ
เพราะอุปาทานดับภพจึงดับ เพราะภพดับชาติจึงดับ
เพราะชาติดับ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาสจึงดับ

ความดับ แห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้

            ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว จึงทรงเปล่งอุทาน ในเวลานั้นว่า ในกาลใดแลธรรมทั้งหลายมาปรากฏแก่พราหมณ์ผู้มีเพียรเพ่ง อยู่ ในกาลนั้น ความสงสัยทั้งปวงของพราหมณ์นั้น ย่อมสิ้นไป เพราะได้รู้แจ้งความสิ้นไป แห่งปัจจัยทั้งหลาย


----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๖๓-๖๔

๓. โพธิสูตรที่ ๓
มนัสสิการปฏิจจในยามสาม

            [๔๐] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคตรัสรู้ใหม่ๆ ประทับอยู่ที่โคนไม้โพธิ์ใกล้ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ที่ตำบลอุรุเวลา ก็สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคประทับนั่งเสวยวิมุติสุข ด้วยบัลลังก์อันเดียว ตลอด ๗ วัน

            ครั้งนั้นแล พอล่วงสัปดาห์นั้นไปพระผู้มีพระภาค เสด็จออกจากสมาธินั้นแล้ว ทรงมนสิการปฏิจจสมุปบาท ทั้งอนุโลม และปฏิโลมด้วยดี ตลอดปัจฉิมยามแห่งราตรี ดังนี้ว่า
เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้ก็มี
เพราะสิ่งนี้เกิด สิ่งนี้จึงเกิด
เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ก็ไม่มี
เพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้จึงดับ


คือ
เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร
เพราะสังขารเป็นปัจจัยจึงมีวิญญาณ
เพราะวิญญาณเป็นปัจจัยจึงมีนามรูป
เพราะนามรูปเป็นปัจจัยจึงมีสฬายตนะ
เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัยจึงมีผัสสะ
เพราะผัสสะเป็นปัจจัยจึงมีเวทนา
เพราะเวทนาเป็นปัจจัยจึงมีตัณหา
เพราะตัณหาเป็นปัจจัยจึงมีอุปาทาน
เพราะอุปาทานเป็นปัจจัยจึงมีภพ เพราะภพเป็นปัจจัยจึงมีชาติ เพราะชาติเป็นปัจจัยจึงมีชรา มรณะโสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส ความเกิดขึ้น แห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมีได้ด้วยประการอย่างนี้

เพราะอวิชชานั้นแลดับ โดยสำรอกไม่เหลือสังขารจึงดับ
เพราะสังขารดับวิญญาณจึงดับ เพราะวิญญาณดับนามรูปจึงดับ
เพราะนามรูปดับสฬายตนะจึงดับ เพราะสฬายตนะดับผัสสะจึงดับ
เพราะผัสสะดับเวทนาจึงดับเพราะเวทนาดับตัณหาจึงดับ
เพราะตัณหาดับอุปาทานจึงดับ เพราะอุปาทานดับภพจึงดับ
เพราะภพดับชาติจึงดับ เพราะชาติดับ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะทุกข์ โทมนัส และอุปายาสจึงดับ
ความดับ แห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้

            ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว ได้ทรงเปล่งอุทานนี้ ในเวลานั้นว่า ในกาลใดแล ธรรมทั้งหลายมาปรากฏแก่พราหมณ์ผู้มีเพียร เพ่งอยู่ ในกาลนั้น พราหมณ์นั้นย่อมกำจัดมารและเสนามาร เสียได้ ดุจพระอาทิตย์กำจัดมืด ส่องแสงสว่างอยู่ในอากาศ ฉะนั้น

 





หนังสือพุทธวจน ธรรมะของพระศาสดา
90 90 90 90
พุทธประวัติ ขุมทรัพย์ อริยสัจ
ภาคต้น
อริยสัจ
ภาคปลาย
ปฏิจจ ปฐมธรรม ตถาคต อนาคามี อินทรีย์
สังวร
สัตว์
สัตตานัง
ทาน
สกทาคามี
ฆราวาส
ชั้นเลิศ
มรรควิธี
ที่ง่าย
อริยวินัย เดรัจฉานวิชา กรรม สมถะ
วิปัสสนา
โสดาบัน นา
ปานสติ
จิต มโน
วิญญาณ
ก้าวย่าง
อย่างพุทธะ
ตามรอย
ธรรม
ภพ ภูมิ
พุทธวจน
สาธยาย
ธรรม
สังโยชน์