พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๔ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๓๕๔-๓๕๖
นันทิยสูตร
เจ้าศากยะพระนามว่านันทิยะเข้าเฝ้าฯ
[๒๒๐] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ นิโครธารามใกล้พระนคร กบิลพัสดุ์ แคว้นสักกะ ก็สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคมีพระประสงค์จะเข้าจำพรรษา ณ พระนครสาวัตถี เจ้าศากยะพระนามว่านันทิยะ ได้ทราบข่าวว่าพระผู้มีพระภาค มีพระประสงค์ จะเข้าจำพรรษา ณ พระนครสาวัตถี ครั้งนั้นแลเจ้าศากยะพระนามว่า นันทิยะ ทรงมีพระดำริว่า ไฉนหนอ แม้เราก็พึงเข้าจำพรรษา ณ พระนครสาวัตถี เราจักประกอบการงาน และจักได้เฝ้าพระผู้มีพระภาคตามกาลอันสมควร ณ พระนครสาวัตถี นั้น
ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงจำพรรษา ณ พระนครสาวัตถี เจ้าศากยะ พระนามว่านันทิยะ ก็เข้าจำพรรษา ณ พระนครสาวัตถี ได้ทรงประกอบการงาน และได้ เฝ้า พระผู้มีพระภาคตามกาลอันสมควร ณ พระนครสาวัตถีนั้น ก็สมัยนั้นแลภิกษุ เป็นอันมาก ย่อมกระทำจีวรกรรม เพื่อพระผู้มีพระภาค ด้วยหวังว่า พระผู้มีพระภาค ผู้มีจีวรสำเร็จแล้ว จักเสด็จจาริกโดยล่วงไป ๓ เดือน เจ้าศากยะพระนามว่านันทิยะ ได้ทรงทราบข่าวว่า ภิกษุเป็นอันมากกระทำจีวรกรรม เพื่อพระผู้มีพระภาค ด้วยหวังว่า พระผู้มีพระภาคผู้มีจีวรสำเร็จแล้ว จักเสด็จจาริกโดยล่วงไป ๓ เดือน
ครั้งนั้นแล เจ้าศากยะพระนามว่านันทิยะ ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถึงที่ประทับทรงถวายบังคมแล้วประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ทูลถาม พระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันได้ทราบข่าวมาว่า ภิกษุเป็นอันมาก กระทำจีวรกรรมเพื่อพระผู้มีพระภาค ด้วยหวังว่า พระผู้มีพระภาคผู้มีจีวรสำเร็จแล้ว จักเสด็จจาริกโดยล่วงไป ๓ เดือน ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันผู้อยู่ด้วยธรรมเครื่อง อยู่ต่างๆ พึงอยู่ด้วยธรรมเครื่องอยู่อะไร พระเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดีละๆ บพิตร การที่บพิตรเสด็จมาหาตถาคต แล้วตรัส ถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันผู้อยู่ด้วยธรรมเครื่องอยู่ต่าง ๆ พึงอยู่ด้วยธรรม เครื่องอยู่อะไร ดังนี้ เป็นการสมควรแก่บพิตร ผู้เป็นกุลบุตรแล
ดูกรบพิตร กุลบุตร
๑ ผู้มีศรัทธาย่อมเป็นผู้บริบูรณ์ ..
ผู้ไม่มีศรัทธา ย่อมไม่เป็นผู้บริบูรณ์
๒ ผู้มีศีล ย่อมเป็นผู้บริบูรณ์ ..
ผู้ทุศีลย่อมไม่เป็นผู้บริบูรณ์
๓ ผู้ปรารภความเพียร ย่อมเป็นผู้บริบูรณ์ ..
ผู้เกียจคร้านย่อมไม่เป็นผู้บริบูรณ์
๔ ผู้มีสติตั้งมั่นย่อมเป็นผู้บริบูรณ์ ..
ผู้มีสติหลงลืม ย่อมไม่เป็นผู้บริบูรณ์
๕ ผู้มีสมาธิย่อมเป็นผู้บริบูรณ์ ..
ผู้ไม่มีสมาธิย่อมไม่เป็นผู้บริบูรณ์
๖ ผู้มีปัญญาย่อมเป็นผู้บริบูรณ์ ..
ผู้มีปัญญาทรามย่อมไม่เป็นผู้บริบูรณ์
ดูกรบพิตร บพิตรทรงตั้งอยู่ในธรรม ๖ ประการนี้แล้ว พึงเข้าไปตั้งสติไว้ ภายใน ในธรรม ๕ ประการ
ดูกรบพิตร ในธรรม ๕ ประการนี้
๑ บพิตรพึงทรงระลึกถึงพระตถาคต ว่า แม้ด้วยเหตุนี้ๆ พระผู้มีพระภาค พระองค์ นั้น เป็นพระอรหันต์ ...เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรม ดูกรบพิตร บพิตรพึงเข้าไป ตั้งสติไว้ในภายใน ปรารภพระตถาคต ด้วยประการดังนี้แล
๒ อีกประการหนึ่ง บพิตรพึงทรงระลึกถึงพระธรรมว่า พระธรรมอันพระผู้มี พระภาคตรัสดีแล้ว ... อันวิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน ดูกรบพิตร บพิตรพึงเข้าไปตั้งสติไว้ ในภายใน ปรารภพระธรรมด้วยประการดังนี้แล
๓ อีกประการหนึ่ง บพิตรพึงทรงระลึกถึง กัลยาณมิตร ทั้งหลาย ว่า เป็นลาภ ของเรา หนอ เราได้ดีแล้วหนอ ที่เรามีกัลยาณมิตรผู้เอ็นดู ผู้ใคร่ประโยชน์ ผู้กล่าวสอน ผู้พร่ำสอน ดูกรบพิตร บพิตรพึงเข้าไปตั้งสติไว้ในภายใน ปรารภกัลยาณมิตร ด้วยประการ ดังนี้แล
๔ อีกประการหนึ่ง บพิตรพึงทรงระลึกถึงจาคะของตน ว่า เป็นลาภของเรา หนอ เราได้ดีแล้วหนอ ที่เรามีจิตปราศจากมลทินคือความตระหนี่ มีจาคะอันปล่อยแล้ว มีฝ่ามืออันชุ่ม ยินดีในการสละ ควรแก่การขอ ยินดีในการจำแนกทาน อยู่ครองเรือน ในหมู่สัตว์ผู้ถูกมลทินคือความตระหนี่ กลุ้มรุมแล้วดูกรบพิตร บพิตรพึงเข้าไปตั้งสติไว้ ในภายใน ปรารภจาคะด้วยประการดังนี้แล
๕ อีกประการหนึ่ง บพิตรพึงทรงระลึกถึงเทวดาทั้งหลาย ว่าเทวดาเหล่านั้น ได้ก้าวล่วงความเป็นสหายแห่งเทวดา ผู้มีคำข้าวเป็นภักษาแล้ว เข้าถึงกายอันสำเร็จ ด้วยใจอย่างใดอย่างหนึ่ง เทวดาเหล่านั้นย่อมไม่พิจารณา เห็นกิจที่ควรทำของตน หรือการสั่งสมกิจที่ตนทำแล้ว
ดูกรบพิตร ภิกษุผู้เป็นอสมยวิมุต(ผู้หลุดพ้นด้วยปัญญา) ย่อมไม่พิจารณากิจ ที่ไม่ควรทำของตน หรือการสั่งสมกิจที่ทำแล้ว แม้ฉันใด ดูกรบพิตร เทวดาเหล่าใด ก้าวล่วงซึ่งความเป็นสหายแห่งเทวดาผู้มีคำข้าวเป็นภักษา เข้าถึงกายอันสำเร็จ ด้วยใจอย่างใดอย่างหนึ่ง เทวดาเหล่านั้น ย่อมไม่พิจารณาเห็นกิจที่ควรทำของตน หรือการสั่งสมกิจที่ตนทำแล้ว ฉันนั้นเหมือนกันแล
* น่าแปลกว่า เทวดาบางพวกมีคำข้าว(กวฬีการาหาร) เป็นภักษาด้วยหรือ จึงมีเทวดาที่ก้าวล่วงเทวดา พวกนี้ ...(เทวดาชั้นกามภพจะมีอาหารทิพย์ ชั้นรูปภพหรือชั้นพรหมจะมีปีติเป็นอาหาร)
ดูกรบพิตร บพิตรพึงเข้าไปตั้งสติไว้ในภายใน ปรารภเทวดาทั้งหลาย ด้วยประการดังนี้แล
ดูกรบพิตร อริยสาวกผู้ประกอบด้วยธรรม ๑๑ ประการนี้แล ย่อมละซึ่ง อกุศลธรรม ทั้งหลายอันลามก ย่อมไม่ถือมั่น
ดูกรบพิตร หม้อที่คว่ำย่อมไม่กลับถูกต้อง สิ่งที่คายแล้ว ไฟที่ไหม้ลามไปจาก หญ้า ย่อมไหม้ของที่ควรไหม้ ย่อมไม่กลับมาไหม้ สิ่งที่ไหม้แล้ว แม้ฉันใด อริยสาวก ผู้ประกอบด้วยธรรม ๑๑ ประการนี้ ย่อมละ อกุศลธรรม ทั้งหลายอันลามก ย่อมไม่ถือมั่น (อกุศลธรรมอันชั่วช้าเหล่านั้น) ฉันนั้นเหมือนกันแล |