พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๔ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๒๓๓-๒๓๔
สคารวสูตร
อะไรหนอแลเป็นฝั่งนี้ อะไรเป็นฝั่งโน้น
[๑๑๗] ครั้งนั้นแล พราหมณ์ชื่อว่าสคารวะ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถึงที่ประทับ ได้ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกัน ไปแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ อะไรหนอแลเป็นฝั่งนี้ อะไรเป็นฝั่งโน้น พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
ดูกรพราหมณ์
มิจฉาทิฐิเป็นฝั่งนี้ สัมมาทิฐิเป็นฝั่งโน้น
มิจฉาสังกัปปะ เป็นฝั่งนี้ สัมมาสังกัปปะเป็นฝั่งโน้น
มิจฉาวาจาเป็นฝั่งนี้ สัมมาวาจาเป็นฝั่งโน้น
มิจฉากัมมันตะเป็นฝั่งนี้ สัมมากัมมันตะเป็นฝั่งโน้น
มิจฉาอาชีวะเป็นฝั่งนี้ สัมมาอาชีวะเป็นฝั่งโน้น
มิจฉาวายามะ เป็นฝั่งนี้ สัมมาวายามะเป็นฝั่งโน้น
มิจฉาสติเป็นฝั่งนี้ สัมมาสติเป็นฝั่งโน้น
มิจฉาสมาธิเป็นฝั่งนี้ สัมมาสมาธิเป็นฝั่งโน้น
มิจฉาญาณะเป็นฝั่งนี้ สัมมาญาณะเป็น ฝั่งโน้น
มิจฉาวิมุติเป็นฝั่งนี้ สัมมาวิมุติเป็นฝั่งโน้น
ดูกรพราหมณ์ นี้แลเป็นฝั่งนี้ นี้เป็นฝั่งโน้น
ในหมู่มนุษย์ เหล่าชนผู้ไปถึงฝั่งโน้นมีประมาณน้อย ส่วน หมู่สัตว์นอกนี้เลาะไป ตามฝั่งทั้งนั้น ส่วนชนเหล่าใดประ พฤติตามธรรมในธรรม อันพระตถาคตตรัสแล้ว โดยชอบ ชนเหล่านั้นจักข้ามพ้นวัฏฏะ อันเป็นบ่วงมารที่ข้ามพ้นได้แสนยาก แล้วจักถึง ฝั่งโน้น คือ นิพพาน บัณฑิตละธรรมดำเสียแล้ว พึงยังธรรมขาวให้เจริญ
บัณฑิตละ กามทั้งหลาย แล้ว เป็นผู้ไม่มีกังวล ออกจากความอาลัย อาศัยธรรม ที่ไม่มีความอาลัย พึงปรารถนาความยินดียิ่งในวิเวกที่ยินดี ได้แสนยาก บัณฑิตพึงชำระ ตน ให้ผ่องแผ้ว จากเครื่อง เศร้าหมองจิตทั้งหลาย บัณฑิตเหล่าใด อบรมโดยชอบใน องค์ธรรม เป็นเครื่อง ตรัสรู้ทั้งหลาย ไม่ถือมั่นแล้ว ยินดีใน นิพพาน เป็นที่สละความ ถือมั่น บัณฑิตเหล่านั้นสิ้นอาสวะ มีความรุ่งเรือง ดับสนิทแล้วในโลก
---------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๔ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๒๓๔-๒๓๕
โอริมสูตร
ธรรมฝั่งนี้ ธรรมฝั่งโน้น
[๑๑๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดง ฝั่งนี้ และ ฝั่งโน้น แก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว ภิกษุเหล่านั้นทูลรับแด่พระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฝั่งนี้เป็นไฉน และฝั่งโน้นเป็นไฉน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
มิจฉาทิฐิเป็นฝั่งนี้ สัมมาทิฐิเป็นฝั่งโน้น ฯลฯ
มิจฉาวิมุติเป็นฝั่งนี้ สัมมาวิมุติเป็นฝั่งโน้น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้แลเป็นฝั่งนี้นี้เป็นฝั่งโน้น
บรรดามนุษย์ทั้งหลาย เหล่าชนที่ไปถึงฝั่งโน้น มีประมาณน้อย ส่วนหมู่สัตว์ นอกนี้เลาะไปตามฝั่งทั้งนั้น ส่วนชนเหล่าใดเป็นผู้ประพฤติตามธรรม ในธรรมอัน พระตถาคต ตรัสแล้วโดยชอบ ชนเหล่านั้นจักข้ามพ้นวัฏฏะอันเป็น บ่วงมาร ที่ข้ามพ้น ได้แสนยาก แล้วจักถึงฝั่งโน้น คือ นิพพาน
บัณฑิตละธรรมดำเสียแล้ว พึงยังธรรมขาวให้เจริญ
บัณฑิตละกามทั้งหลาย แล้ว เป็นผู้ไม่มีกังวล ออกจาก ความอาลัย อาศัยธรรม ที่ไม่มีความอาลัย ปรารถนา ความยินดียิ่งในวิเวกที่ยินดีได้แสนยาก บัณฑิตพึงยังตน ให้ผ่องแผ้วจากเครื่องเศร้า หมองจิต ทั้งหลาย บัณฑิตเหล่าใด อบรมจิตแล้วโดยชอบ ในองค์ธรรมเป็นเครื่องตรัสรู้ ทั้งหลาย ไม่ถือมั่นแล้ว ยินดีในนิพพานเป็นที่สละ ความถือมั่น บัณฑิตเหล่านั้น สิ้นอาสวะ มีความรุ่งเรือง ดับสนิท แล้วในโลก
---------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๔ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๒๓๘
ปุพพังคสูตร
สัมมาทิฎฐิ...เป็นนิมิตเบื้องต้น
แห่งกุศลธรรม
[๑๒๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่งที่เริ่มต้นเป็นนิมิตเบื้องต้น แห่งดวงอาทิตย์ เมื่อจะอุทัย คือ แสงเงินแสงทอง ฉันใด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่งที่เริ่มต้นเป็นนิมิตเบื้องต้น แห่งกุศลธรรมทั้งหลาย คือ (๑) สัมมาทิฐิ ฉันนั้นเหมือนกันแล
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
(๒) สัมมาสังกัปปะ ย่อมเพียงพอแก่บุคคลผู้มีสัมมาทิฐิ
(๓) สัมมาวาจา ย่อมเพียงพอแก่บุคคลผู้มีสัมมาสังกัปปะ
(๔) สัมมากัมมันตะ ย่อมเพียงพอ แก่บุคคลผู้มีสัมมาวาจา
(๕) สัมมาอาชีวะ ย่อมเพียงพอแก่บุคคล ผู้มีสัมมากัมมันตะ
(๖) สัมมาวายามะ ย่อมเพียงพอแก่บุคคลผู้มีสัมมาอาชีวะ
(๗) สัมมาสติ ย่อมเพียงพอแก่บุคคล ผู้มีสัมมาวายามะ
(๘) สัมมาสมาธิ ย่อมเพียงพอ แก่บุคคลผู้มีสัมมาสติ
(๙) สัมมาญาณะ ย่อมเพียงพอแก่บุคคลผู้มีสัมมาสมาธิ
(๑๐) สัมมาวิมุติ ย่อมเพียงพอแก่บุคคลผู้มีสัมมาญาณะ
---------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๔ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๒๓๘
อาสวสูตร
ธรรมที่เป็นไปเพื่อสิ้นอาสวะ
[๑๒๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๑๐ ประการนี้ อันบุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย
ธรรม ๑๐ ประการ เป็นไฉน คือ
๑. สัมมาทิฏฐิ (เห็นชอบ)
๒. สัมมาสังกัปปะ (ดำริชอบ)
๓. สัมมาวาจา (เจรจาชอบ)
๔. สัมมากัมมันตะ (กระทำชอบ)
๕. สัมมาอาชีวะ (เลี้ยงชีพชอบ)
๖. สัมมาวายามะ (พยายามชอบ)
๗. สัมมาสติ (ระลึกชอบ)
๘. สัมมาสมาธิ (ตั้งจิตมั่นชอบ)
๙. สัมมาญาณะ (รู้ชอบ)
๑๐. สัมมาวิมุตติ (หลุดพ้นชอบ)
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๑๐ ประการนี้แล อันบุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไป เพื่อความสิ้นไป แห่งอาสวะทั้งหลาย |