พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๔ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๙๖-๙๘
สจิตตสูตร
ว่าด้วยวาระจิตของตน
แสดงธรรมโดยพระศาสดา
[๕๑] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวันอารามของท่าน อนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุ ทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย หากว่าภิกษุไม่เป็นผู้ฉลาดในวาระจิตของผู้อื่นไซร้ เมื่อเป็นเช่นนั้น เธอทั้งหลายพึงศึกษาว่า เราทั้งหลายจักเป็นผู้ฉลาดในวาระจิตของตน ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้แล
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมเป็นผู้ฉลาดในวาระจิตของตนอย่างไร ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนสตรีหรือบุรุษที่เป็นหนุ่มสาว มีปรกติชอบแต่งตัว ส่องดูเงาหน้าของตนในคันฉ่องอันบริสุทธิ์หมดจด หรือในภาชนะน้ำอันใส ถ้าเห็นธุลี หรือจุดดำที่หน้านั้น ก็พยายามเพื่อขจัดธุลีหรือจุดดำนั้นเสีย หากว่าเราไม่เห็นธุลีหรือ จุดดำที่หน้านั้น ก็ย่อมดีใจ มีความดำริอันบริบูรณ์ด้วยเหตุนั้นแลว่า เป็นลาภของเราหนอ หน้าของเราบริสุทธิ์แล้วหนอ แม้ฉันใด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย การพิจารณาของภิกษุว่า
เราเป็นผู้มีอภิชฌาอยู่โดยมาก หรือหนอ หรือว่า เราไม่เป็นผู้มีอภิชฌาอยู่โดยมาก
เราเป็นผู้มีจิตพยาบาทอยู่โดยมาก หรือหนอ หรือว่าเราไม่เป็นผู้มีจิตไม่พยาบาท อยู่โดยมาก
เราเป็นผู้อันถีนมิทธะกลุ้มรุมอยู่โดยมาก หรือหนอ หรือว่าเราเป็นผู้ปราศจาก ถีนมิทธะ อยู่โดยมาก
เราเป็นผู้ฟุ้งซ่านอยู่โดยมาก หรือหนอ หรือว่าเราเป็นผู้ไม่ฟุ้งซ่านอยู่โดยมาก
เราเป็นผู้มีความสงสัยอยู่โดยมาก หรือหนอ หรือว่าเราเป็นผู้ข้ามพ้นความสงสัย ได้โดยมาก
เราเป็นผู้โกรธอยู่โดยมาก หรือหนอ หรือว่าเราเป็นผู้ไม่โกรธอยู่โดยมาก
เราเป็นผู้มีจิตเศร้าหมองอยู่โดยมาก หรือหนอ หรือว่าเราเป็นผู้มีจิตไม่เศร้าหมอง อยู่โดยมาก
เราเป็นผู้มีกายอันปรารภแรงกล้าอยู่โดยมาก หรือหนอ หรือว่าเราเป็นผู้มีกายอัน มิได้ปรารภ แรงกล้าอยู่โดยมาก
เราเป็นผู้เกียจคร้านอยู่โดยมาก หรือหนอ หรือว่าเราเป็นผู้ปรารภความเพียร อยู่โดยมาก
เราเป็นผู้มีจิตไม่ตั้งมั่นอยู่โดยมาก หรือหนอ หรือว่าเราเป็นผู้มีจิตตั้งมั่นอยู่ โดยมาก ดังนี้
ย่อมเป็นอุปการะมากในกุศลธรรมทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าว่าภิกษุเมื่อพิจารณาอยู่ ย่อมรู้อย่างนี้ว่า เราเป็นผู้มีอภิชฌาอยู่โดยมาก เป็นผู้มีจิตพยาบาทอยู่โดยมาก
เป็นผู้อันถีนมิทธะกลุ้มรุมอยู่โดยมาก เป็นผู้ฟุ้งซ่านอยู่โดยมาก
เป็นผู้มีความสงสัยอยู่โดยมาก เป็นผู้มีความโกรธอยู่โดยมาก
เป็นผู้มีจิตเศร้าหมองอยู่โดยมาก เป็นผู้มีกายอันปรารภแรงกล้าอยู่โดยมาก
เป็นผู้เกียจคร้านอยู่โดยมาก เป็นผู้มีจิตไม่ตั้งมั่นอยู่โดยมาก ดังนี้ไซร้
ภิกษุนั้นควรทำความพอใจ ความพยายาม ความอุตสาหะความขะมักเขม้น ความไม่ท้อถอย สติและสัมปชัญญะ ให้มีประมาณยิ่ง เพื่อละธรรมทั้งหลาย ที่เป็นบาป อกุศลเหล่านั้น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนบุคคลผู้มีผ้าอันไฟไหม้ หรือมีศีรษะ อันไฟไหม้ พึงทำความพอใจ ความพยายาม ความอุตสาหะ ความขะมักเขม้น ความ ไม่ท้อถอย สติและสัมปชัญญะ ให้มีประมาณยิ่ง เพื่อดับไฟไหม้ผ้า หรือไฟไหม้ศีรษะนั้น ฉันใด
ภิกษุนั้น ก็พึงทำความพอใจ ความพยายาม ความอุตสาหะ ความขะมักเขม้น ความไม่ท้อถอย สติและสัมปชัญญะ ให้มีประมาณยิ่งเพื่อละธรรมทั้งหลาย ที่เป็นบาป เป็น อกุศลเหล่านั้น ฉันนั้นเหมือนกัน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ถ้าว่าภิกษุเมื่อพิจารณาอยู่ ย่อมรู้อย่างนี้ว่า
เราเป็นผู้ไม่มีอภิชฌาอยู่โดยมาก เป็นผู้มีจิตไม่พยาบาทอยู่โดยมาก
เป็นผู้ปราศจากถีนมิทธะอยู่โดยมาก เป็นผู้ไม่ฟุ้งซ่านอยู่โดยมาก
เป็นผู้ข้ามพ้นความสงสัยอยู่โดยมาก เป็นผู้ไม่โกรธอยู่โดยมาก
เป็นผู้มีจิตไม่เศร้าหมองอยู่โดยมาก เป็นผู้มีกายอันมิได้ปรารภแรงกล้าอยู่โดยมาก
เป็นผู้ปรารภความเพียรอยู่โดยมาก เป็นผู้มีจิตตั้งมั่นอยู่โดยมากดังนี้ไซร้
ภิกษุนั้นควรตั้งอยู่ในกุศลธรรมเหล่านั้นแล้ว พึงทำความเพียรเพื่อความสิ้นไปแห่ง อาสวะทั้งหลายให้ยิ่งขึ้นไป
|