พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๔ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๘๑
วิวาทสูตร
เหตุแห่งการวิวาทเกิดขึ้นในสงฆ์
(ตรัสกับอุบาลี)
[๔๑] ครั้งนั้นแล ท่านพระอุบาลีได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอแลเป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้ความหมายมั่น การทะเลาะ การแก่งแย่ง และการวิวาทเกิดขึ้นในสงฆ์ ที่เป็นเหตุให้ภิกษุทั้งหลาย อยู่ไม่สำราญ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรอุบาลี ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมแสดงสิ่งที่ไม่เป็นธรรมว่าเป็นธรรม
ย่อมแสดงสิ่งที่เป็นธรรมว่าไม่เป็นธรรม
ย่อมแสดงสิ่งที่ ไม่เป็นวินัยว่าเป็นวินัย
ย่อมแสดงสิ่งที่เป็นวินัยว่าไม่เป็นวินัย
ย่อมแสดงสิ่งที่ตถาคตไม่ได้กล่าวไว้ ไม่ได้บอกไว้ว่า
ตถาคตได้กล่าวไว้ ได้บอกไว้
ย่อมแสดงสิ่งที่ตถาคตได้กล่าวไว้ ได้บอกไว้ว่า ตถาคตไม่ได้กล่าวไว้ ไม่ได้บอกไว้
ย่อมแสดงสิ่งที่ตถาคต ไม่เคยประพฤติมาว่า ตถาคตเคยประพฤติมา ย่อมแสดงสิ่งที่ตถาคต เคยประพฤติมาว่า ตถาคตไม่เคยประพฤติมา
ย่อมแสดงสิ่งที่ตถาคตไม่ได้บัญญัติไว้ว่า ตถาคตได้บัญญัติไว้
ย่อมแสดงสิ่งที่ตถาคตได้บัญญัติไว้ว่า ตถาคตไม่ได้บัญญัติไว้
ดูกรอุบาลี นี้แลเป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้ความหมายมั่น การทะเลาะการแก่งแย่ง และการวิวาทเกิดขึ้นในสงฆ์ ที่เป็นเหตุให้ภิกษุทั้งหลายอยู่ไม่สำราญ
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๔ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๘๑-๘๒
วิวาทมูลสูตรที่ ๑
เหตุแห่งการวิวาทเกิดขึ้นในสงฆ์
(ตรัสกับอุบาลี)
[๔๒] อุ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ มูลเหตุแห่งการวิวาท มีเท่าไร หนอแล
พ. ดูกรอุบาลี มูลเหตุแห่งการวิวาทมี ๑๐ ประการ ๑๐ ประการเป็นไฉน
ดูกรอุบาลี ภิกษุในธรรมวินัยนี้
ย่อมแสดงสิ่งที่ไม่เป็นธรรมว่าเป็นธรรม
ย่อมแสดงสิ่งที่เป็นธรรม ว่าไม่เป็นธรรม ...
ย่อมแสดงสิ่งที่ตถาคตไม่ได้บัญญัติไว้ว่า ตถาคตได้บัญญัติไว้ ย่อมแสดงสิ่งที่ตถาคตได้บัญญัติไว้ว่า ตถาคตไม่ได้บัญญัติไว้
ดูกรอุบาลี มูลเหตุแห่งการวิวาทมี ๑๐ ประการนี้แล
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๔ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๘๒
วิวาทมูลสูตรที่ ๒
เหตุแห่งการวิวาทเกิดขึ้นในสงฆ์
(ตรัสกับอุบาลี)
[๔๓] อุ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ มูลเหตุแห่งการวิวาท มีเท่าไร หนอแล
พ. ดูกรอุบาลี มูลเหตุแห่งการวิวาทมี ๑๐ ประการ ๑๐ ประการเป็นไฉน ดูกรอุบาลี ภิกษุในธรรมวินัยนี้
๑ ย่อมแสดงสิ่งที่ไม่เป็นอาบัติว่าเป็นอาบัติ
๒ ย่อมแสดงสิ่งที่เป็นอาบัติ ว่าไม่เป็นอาบัติ
๓ ย่อมแสดงอาบัติเบาว่า เป็นอาบัติหนัก
๔ ย่อมแสดงอาบัติหนัก ว่าเป็นอาบัติเบา
๕ ย่อมแสดงอาบัติชั่วหยาบว่า ไม่เป็นอาบัติชั่วหยาบ
๖ ย่อมแสดงอาบัติไม่ชั่วหยาบว่า เป็นอาบัติชั่วหยาบ
๗ ย่อมแสดงอาบัติมีส่วนเหลือว่าเป็นอาบัติไม่มีส่วนเหลือ
๘ ย่อมแสดงอาบัติไม่มีส่วนเหลือว่า เป็นอาบัติมีส่วนเหลือ
๙ ย่อมแสดงอาบัติที่ทำคืนได้ว่า เป็นอาบัติที่ทำคืนไม่ได้
๑๐ ย่อมแสดงอาบัติที่ทำคืนไม่ได้ว่า เป็นอาบัติทำคืนได้
ดูกรอุบาลี มูลเหตุแห่งการวิวาทมี ๑๐ ประการนี้แล
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๔ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๙๑
อภิณหปัจจเวกขณธรรมสูตร
ธรรมอันบรรพชิตพึงพิจารณาเนืองๆ
(ตรัสกับภิกษุทั้งหลาย)
[๔๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๑๐ ประการนี้ อันบรรพชิตพึงพิจารณา เนืองๆ ๑๐ ประการเป็นไฉน คือ
๑ บรรพชิตพึงพิจารณาเนืองๆ ว่าเราเป็นผู้มีเพศต่างจากคฤหัสถ์
๒ บรรพชิตพึงพิจารณาเนืองๆ ว่า การเลี้ยงชีพของเราเนื่องด้วยผู้อื่น
๓ บรรพชิตพึงพิจารณาเนืองๆ ว่า อากัปกิริยาอย่างอื่นอันเราควรทำมีอยู่
๔ บรรพชิตพึงพิจารณาเนืองๆ ว่า เราย่อมติเตียนตนเองได้โดยศีลหรือไม่
๕ บรรพชิตพึงพิจารณาเนืองๆ ว่า เพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลายผู้เป็นวิญญูชน พิจารณาแล้ว ติเตียนเราได้โดยศีลหรือไม่
๖ บรรพชิตพึงพิจารณาเนืองๆ ว่าเราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งสิ้น
๗ บรรพชิตพึงพิจารณาเนืองๆ ว่า เราเป็นผู้มีกรรมเป็นของตน เป็นทายาทของกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย เราจักทำกรรมใดดีหรือ ชั่ว ก็ตาม เราจักต้องเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น
๑๐ บรรพชิตพึงพิจารณาเนืองๆว่า ญาณทัสนะวิเศษอันสามารถกำจัดกิเลส เป็นอริยะ คือ อุตริมนุสธรรมอันเราได้บรรลุแล้วมีอยู่หรือหนอ ที่เป็นเหตุให้เราผู้ อันเพื่อน พรหมจรรย์ถามแล้วจักไม่เป็นผู้เก้อเขินในกาลภายหลัง
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๑๐ ประการนี้แล อันบรรพชิตพึงพิจารณาเนืองๆ
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๔ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๙๒
สรีรัฏฐธรรมสูตร
ธรรมอันตั้งอยู่ในสรีระ
(ตรัสกับภิกษุทั้งหลาย)
[๔๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมอันตั้งอยู่ในสรีระ ๑๐ ประการนี้อันบรรพชิต พึง พิจารณาเนืองๆ ๑๐ ประการเป็นไฉน คือ
๑ ความหนาว
๒ ความร้อน
๓ ความหิว
๔ ความกระหาย
๕ ความปวดอุจจาระ
๖ ความปวดปัสสาวะ
๗ ความสำรวมกาย
๘ ความสำรวมวาจา
๙ ความสำรวมอาชีพ
๑๐ ธรรมเป็นเครื่องปรุงแต่งภพ อันเป็นเหตุให้เกิดในภพต่อไป
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมอันตั้งอยู่ในสรีระ ๑๐ ประการนี้แล อันบรรพชิตพึง พิจารณาเนืองๆ |