พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๓ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๓๙๔-๓๙๖
อานันทสูตร
(พระอานนท์แสดงธรรมแก่ภิกษุทั้งหลาย)
[๒๔๑] สมัยหนึ่ง ท่านพระอานนท์อยู่ ณ โฆสิตาราม ใกล้กรุงโกสัมพีณ ที่นั้นแล ท่านพระอานนท์เรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรอาวุโสทั้งหลายภิกษุเหล่านั้นรับคำ ท่านพระอานนท์แล้ว ท่านพระอานนท์กล่าวว่า
ดูกรอาวุโสทั้งหลาย น่าอัศจรรย์ ไม่เคยมีมาแล้ว ที่พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ผู้ทรงรู้ทรงเห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ตรัสรู้การบรรลุโอกาส *เพื่อความ บริสุทธิ์แห่งสัตว์ทั้งหลาย เพื่อก้าวล่วงความโศกความร่ำไร เพื่อดับเสียซึ่ง ทุกข์ และ โทมนัส เพื่อบรรลุญายธรรม(อริยมัคคธรรม) เพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งนิพพาน
* ได้ตรัสรู้การบรรลุโอกาส ฉบับมหาจุฬาแปลว่า ช่องว่างในที่แคบ
จักษุ ชื่อว่าจักเป็นจักษุนั้นแล คือ รูปเหล่านั้นจักไม่เสวยอายตนะนั้น และ อายตนะนั้น จักไม่เสวยรูปเหล่านั้น
หู ชื่อว่าจักเป็นหูนั้นแล คือ เสียงเหล่านั้นจักไม่เสวยอายตนะนั้น และ อายตนะ นั้น จักไม่เสวยเสียงเหล่านั้น
จมูก ชื่อว่าจักเป็นจมูกนั้นแล คือกลิ่นเหล่านั้นจักไม่เสวยอายตนะนั้น และ อายตนะนั้น จักไม่เสวยกลิ่นเหล่านั้น
ลิ้น ชื่อว่าจักเป็นลิ้นนั้นแล คือ รสเหล่านั้นจักไม่เสวยอายตนะนั้น และ อายตนะ นั้น จักไม่เสวยรสเหล่านั้น
กาย ชื่อว่าจักเป็นกายนั้นแล คือ โผฏฐัพพะเหล่านั้นจักไม่เสวยอายตนะนั้น และ อายตนะนั้น จักไม่เสวยโผฏฐัพพะเหล่านั้น
เมื่อท่านพระอานนท์กล่าวอย่างนี้แล้ว ท่านพระอุทายีได้ถามท่านพระอานนท์ว่า
ดูกรอาวุโสอานนท์ ผู้มีสัญญาหรือไม่มีสัญญาหนอ ย่อมไม่เสวยอายตนะนั้น ท่านพระอานนท์ตอบว่า ดูกรอาวุโส ผู้มีสัญญาแล ย่อมไม่เสวยอายตนะนั้น ผู้ไม่มีสัญญา ไม่เสวยอายตนะนั้น
อุ. ดูกรอาวุโส ก็ผู้มีสัญญาอย่างไร จึงไม่เสวยอายตนะนั้น
อา. ดูกรอาวุโส ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เพราะล่วงรูปสัญญาโดยประการทั้งปวง เพราะดับปฏิฆสัญญา เพราะไม่ใส่ใจถึงนานัตตสัญญา บรรลุอากาสานัญจายตนฌาน โดยคำนึงเป็นอารมณ์ว่า อากาศไม่มีที่สุด ดูกรอาวุโส แม้ผู้มีสัญญาอย่างนี้ ก็ไม่เสวย อายตนะนั้น
อีกประการหนึ่ง ภิกษุ เพราะล่วงอากาสานัญจายตนฌานโดยประการทั้งปวง บรรลุวิญญาณัญจายตนฌาน โดยคำนึงเป็นอารมณ์ว่า วิญญาณไม่มีที่สุด ดูกรอาวุโส แม้ผู้มีสัญญาอย่างนี้ก็ไม่เสวยอายตนะนั้น
อีกประการหนึ่ง ภิกษุ เพราะล่วงวิญญาณัญจายตนฌานโดยประการทั้งปวง บรรลุอากิญจัญญายตนฌาน โดยคำนึงเป็นอารมณ์ว่า อะไรหน่อยหนึ่งไม่มี ดูกรอาวุโส แม้ผู้มีสัญญาอย่างนี้ก็ไม่เสวยอายตนะนั้น
ดูกรอาวุโส สมัยหนึ่ง ผมอยู่ ณ อัญชนมิคทายวัน ใกล้เมืองสาเกตครั้งนั้นแล ภิกษุณีชื่อชฎิลภาคิกา เข้าไปหาผมถึงที่อยู่ ไหว้แล้วยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว ได้ถามผมว่า
ข้าแต่ท่านพระอานนท์ผู้เจริญ สมาธิใดอันบุคคลยังไม่น้อมไปแล้ว ไม่นำไป ปราศแล้ว มีการข่มการห้ามซึ่งธรรมอันเป็นไปกับสังขารไม่ได้ ตั้งมั่นแล้วเพราะ หลุดพ้น จากกิเลส เป็นสันโดษเพราะตั้งมั่น ไม่สะดุ้งเพราะเป็นสันโดษ สมาธินี้ พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า มีอะไรเป็นผล เมื่อชฎิลภาคิกาภิกษุณีกล่าวอย่างนี้แล้ว ผมได้กล่าวกะภิกษุณี นั้น ว่า
ดูกรน้องหญิงสมาธิใดอันบุคคลไม่น้อมไปแล้ว ไม่นำไปปราศแล้ว มีการข่ม การห้าม ซึ่งธรรมอันเป็นไปกับสังขารไม่ได้ ตั้งมั่นแล้วเพราะหลุดพ้นจากกิเลส เป็น สันโดษ เพราะตั้งมั่น ไม่สะดุ้งเพราะเป็นสันโดษ สมาธินี้ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า มีอรหัตเป็นผล
ดูกรอาวุโส แม้ผู้ที่มีสัญญาอย่างนี้แล ก็ไม่เสวยอายตนะนั้น |