พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๒ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๒๙๓-๒๙๔
ปฏิปทาสูตรที่ ๔
มรณสติ
[๑๗๑] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ที่พักก่อด้วยอิฐชื่อ นาทิกะ ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฯลฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย มรณสติอันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมมี ผลมาก มีอานิสงส์มาก หยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็นที่สุด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็มรณสติอันบุคคลเจริญแล้วอย่างไร กระทำให้มากแล้ว อย่างไร จึงมีผลมาก มีอานิสงส์มากหยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็นที่สุด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เมื่อกลางวันสิ้นไป กลางคืนเวียนมา ย่อมพิจารณา ดังนี้ว่า ปัจจัยแห่ง ความตายของเรามีมากหนอ คือ
- งูพึงกัดเราก็ได้ แมงป่องพึงต่อยเราก็ได้ ตะขาบพึง กัดเรา ก็ได้ เพราะเหตุนั้นเราพึง ทำกาลกิริยา อันตรายนั้นพึงมีแก่เรา
- เราพึงพลาด ล้มลงก็ได้
- อาหารที่เราบริโภคแล้วไม่ย่อยเสียก็ได้
- ดีของเราพึงซ่านก็ได้
- เสมหะของเรา พึงกำเริบก็ได้
- ลมมีพิษดังศาตราของเราพึงกำเริบ ก็ได้
- มนุษย์ทั้งหลายพึงเบียดเบียนเรา
ก็ได้
- พวกอมนุษย์พึงเบียดเบียนเราก็ได้
เพราะเหตุนั้น เราพึงทำกาลกิริยา อันตรายนั้น พึงมีแก่เรา
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้นพึงพิจารณาดังนี้ว่า ธรรมอันเป็นบาปอกุศล อันเรา ยังละ ไม่ได้ ที่จะพึงเป็นอันตรายแก่เราผู้ทำกาละในกลางคืน มีอยู่หรือหนอแล ถ้าภิกษุ พิจารณา อยู่รู้อย่างนี้ว่า ธรรมอันเป็นบาปอกุศลอันเรายังละไม่ได้ ที่จะพึงเป็น อันตราย แก่เรา ผู้ทำกาละ ในกลางคืน มีอยู่ ภิกษุนั้นพึงกระทำความพอใจ ความพยายาม ความอุตสาหะ ความเพียร ความไม่ท้อถอย สติและสัมปชัญญะให้ยิ่ง เพื่อละธรรม อันเป็นบาปอกุศลเหล่านั้นเสีย เปรียบเหมือนคนที่มีผ้าไฟไหม้ หรือศีรษะถูกไฟไหม้ พึงกระทำความพอใจ ความพยายาม ความอุตสาหะ ความเพียร ความไม่ท้อถอย สติและสัมปชัญญะให้ยิ่ง เพื่อดับไฟไหม้ผ้า หรือศีรษะนั้น ฉะนั้น
ดูกรภิกษุทั้งหลายถ้าแหละ ภิกษุพิจารณาอยู่รู้อย่างนี้ว่า ธรรมอันเป็นบาป อกุศลอันเรา ยังละไม่ได้ ที่จะเป็นอันตรายแก่เราผู้ทำกาละในกลางคืน ไม่มี ภิกษุนั้น พึงเป็นผู้มีปีติ และ ปราโมทย์ หมั่นศึกษาทั้งกลางวันและกลางคืน ในกุศลธรรม ทั้งหลายอยู่
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เมื่อกลางคืนสิ้นไป กลางวันเวียน มาถึง ย่อมพิจารณาดังนี้ว่า ปัจจัยแห่งความตายของเรามีมากหนอ คือ งูพึงกัดเราก็ได้ แมงป่องพึง ต่อยเราก็ได้ ตะขาบพึงกัดเราก็ได้ เพราะเหตุนั้นเราพึงทำกาลกิริยา อันตรายนั้น พึงมีแก่เรา เราพึงพลาดล้มลงก็ได้ อาหารที่เราบริโภคแล้วไม่ย่อยเสียก็ได้ ดีของเราพึงซ่านก็ได้ เสมหะ ของเราพึงกำเริบก็ได้ลมมีพิษดังศาตราของเรา พึงกำเริบ ก็ได้ มนุษย์ทั้งหลายพึง เบียดเบียนเรา ก็ได้ พวกอมนุษย์พึงเบียดเบียนเราก็ได้ เพราะเหตุนั้น เราพึงทำกาลกิริยา อันตรายนั้นพึงมีแก่เรา
-----------------------------------------------------------------------------------------------
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้นพึงพิจารณาดังนี้ว่า ธรรมอันเป็นบาปอกุศลอันเรา ยังละ ไม่ได้ที่จะพึงเป็นอันตรายแก่เราผู้ทำกาละในกลางวัน มีอยู่หรือหนอแล ถ้าภิกษุ พิจารณาอยู่รู้ อย่างนี้ว่า ธรรมอันเป็นบาปอกุศล อันเรายังละไม่ได้ที่จะพึงทำอันตราย แก่เรา ผู้ทำกาละ ในกลางวัน มีอยู่
ภิกษุนั้นพึงกระทำความพอใจความพยายาม ความ อุตสาหะ ความเพียร ความไม่ท้อถอย สติและสัมปชัญญะให้ยิ่ง เพื่อละธรรมอันเป็นบาป อกุศลเหล่านั้นเสีย เปรียบเหมือน บุคคลมีผ้าถูกไฟไหม้หรือศีรษะถูกไฟไหม้ พึงกระทำ ความพอใจ ความพยายาม ความอุตสาหะความเพียร ความไม่ท้อถอย สติและ สัมปชัญญะให้ยิ่ง เพื่อดับไฟไหม้ผ้าหรือ ศีรษะนั้น ฉะนั้น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าแหละภิกษุพิจารณาอยู่รู้อย่างนี้ว่า ธรรมอันเป็นบาป อกุศลอันเรา ยังละไม่ได้ที่จะพึงเป็นอันตรายแก่เรา ผู้ทำกาละในกลางวันไม่มี ภิกษุนั้น พึงเป็นผู้มีปีติและ ปราโมทย์ หมั่นศึกษาทั้งกลางวันกลางคืนในกุศลธรรมทั้งหลายอยู่
ดูกรภิกษุทั้งหลาย มรณสติ อันภิกษุเจริญแล้วอย่างนี้ กระทำให้มากแล้ว อย่างนี้ จึงมี ผลมาก มีอานิสงส์มาก หยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็นที่สุด
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๒ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๒๙๕
ปฏิปทาสูตรที่ ๕
ธรรม ๘ ประการของผู้ครองเรือน
[๑๗๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัมปทา ๘ ประการนี้ ๘ ประการเป็นไฉน คือ
๑ อุฏฐานสัมปทา (ขยัน ไม่เกียจคร้าน)
๒ อารักขสัมปทา (ได้ทรัพย์ด้วยความชอบธรรม)
๓ กัลยาณมิตตตา (เป็นมิตรที่ดีกับสังคมเพื่อนบ้าน)
๔ สมชีวิตา (ใช่ทรัพย์อย่างพอเหมาะ รายรับมากกว่ารายจ่าย)
๕ สัทธาสัมปทา (เชื่อการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า)
๖ ศีลสัมปทา (งดเว้นภัยเวร ๕ ประการ)
๗ จาคสัมปทา (มีจิตปราศจากมลทิน ละความตระหนี่)
๘ ปัญญาสัมปทา (เห็นความเกิดและความดับของขันธ์ทั้ง๕)
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัมปทา ๘ ประการนี้แล
คนหมั่นในการทำงาน ไม่ประมาท จัดการงานเหมาะสม เลี้ยงชีพพอเหมาะ รักษาทรัพย์ที่หามาได้ มีศรัทธา ถึง พร้อมด้วยศีล รู้ถ้อยคำ ปราศจากความตระหนี่ ชำระทาง สัมปรายิกัตถประโยชน์เป็นนิตย์
ธรรม ๘ ประการดังกล่าว นี้ ของผู้ครองเรือน ผู้มีศรัทธา อันพระพุทธเจ้า ผู้มีพระนาม อันแท้จริง ตรัสว่านำสุขมาให้ในโลกทั้งสอง คือ ประโยชน์ ในปัจจุบันนี้ และความสุขในภายหน้า บุญ คือ จาคะ นี้ ย่อม เจริญแก่คฤหัสถ์ ด้วยประการฉะนี้ |