เว็บไซต์ อนาคามี เผยแพร่คำพระศาสดา เผยแพร่คำสอนตถาคต เว็บไซต์เผยแพร่พระสุตรคำสอนของพระพุทธเจ้า คลิปคำสอน คลิปสาธยายธรรม
ค้นหาคำที่ต้องการ            

โสณสูตร ว่าด้วยพระโสณะ เธอจงตั้งความเพียรให้สม่ำเสมอ ดุจตั้งสายพิณให้พอดี ไม่ตึงเกินไป ไม่หย่อนเกินไป 2200
 

พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๒

โสณสูตร ว่าด้วยพระโสณะ
ท่านพระโสณะหลีกออกเร้นอยู่ในที่ลับ เกิดปริวิตกเราเป็นผู้ปรารภความเพียรอยู่ แต่ว่าจิตของเรา ยังไม่หลุดพ้นจากอาสวะ เราพึงบอกคืนสิกขา สึกมาเป็นคฤหัสถ์เถิด ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาค ทรงทราบปริวิตกแห่งใจของท่านพระโสณะด้วยพระทัย (ญาณ) แล้วทรงหายจากภูเขาคิชฌกูฏ ไปปรากฏตรงหน้าท่านพระโสณะ ที่ป่าสีตะวัน

เธอเมื่อก่อนยังอยู่ครองเรือน เป็นผู้ฉลาด ในการดีดพิณ มิใช่หรือ... ทรงอุปมาการปรารภความเพียร เช่นเดียวกับการตั้งสายพิณให้มีเสียงไพเราะด้วยการตั้งให้พอดี ไม่หย่อนเกินไป ไม่ตึงเกินไป
ดูกรโสณะ ฉันนั้นเหมือนกันแล ความเพียรที่ปรารภมากเกินไปย่อมเป็นไป เพื่อความฟุ้งซ่าน ความเพียรที่หย่อนเกินไป ย่อมเป็นไปเพื่อความเกียจคร้าน ดูกรโสณะ เพราะเหตุนั้นแหละ เธอจงตั้ง ความเพียรให้สม่ำเสมอจงตั้งอินทรีย์ให้สม่ำเสมอ และ จงถือนิมิตในความสม่ำเสมอนั้น

สมัยต่อมา พระโสณะได้ตั้งความเพียรให้สม่ำเสมอ ก็แลท่านพระโสณะ ได้เป็นพระอรหันต์รูปหนึ่ง

เรื่องสำคัญของพระพุทธเจ้า
การบำเพ็ญบารมีในอดีตชาติ
การประสูติ แสงสว่าง แผ่นดินไหว
แสวงหาสัจจะบำเพ็ญทุกรกิริยา
ปัญจวัคคีย์หลีก สิ่งที่ตรัสรู้
ตรัสรู้ แสดงเทศนาปัญจวัคคีย์
ปลงสังขาร ปรินิพพาน
ลำดับขั้นการปรินิพพาน
เทวดาแสดงฤทธิ์ขณะถวายเพลิง
แบ่งพระสรีระออกเป็น ๘ ส่วน
 
รวมพระสูตรบุคคลสำคัญ
พระโมคคัลลานะ
พระสารีบุตร
พระเทวทัต
นิครนถ์ปริพาชก
พระมหากัปปินะ
พระอนุรุทธะ
พระอุบาลี
(ดูทั้งหมด)
 
สารบาญพระไตรปิฎก
เล่มที่ ๘-๓๓ (๒๕ เล่ม) ทุกพระสูตร
1. ฉบับหลวง
2. ฉบับมหาจุฬาฯ
3. อรรถกถาไทย
4. ฉบับภาษาบาลี
5. อรรถกถา-บาลี
6. Pali Roman (Roman Script)
7. Atthakatha PaliRoman
 

 


 


พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๒ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๓๘๖-๓๙๐

๑. โสณสูตร
ว่าด้วยพระโสณะ

            [๓๒๖] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ภูเขาคิชฌกูฏใกล้กรุงราชคฤห์ ก็สมัยนั้น ท่านพระโสณะ อยู่ที่ป่าชื่อ สีตะวัน ใกล้กรุงราชคฤห์ครั้งนั้น ท่านพระโสณะ หลีกออกเร้นอยู่ในที่ลับ เกิดปริวิตกแห่งใจอย่างนี้ว่า สาวกของพระผู้มีพระภาค เหล่าใด เหล่าหนึ่ง เป็นผู้ปรารภความเพียรอยู่ เราก็เป็นผู้หนึ่งในจำนวนสาวกเหล่านั้น ก็แต่ว่าจิตของเรายังไม่หลุดพ้นจากอาสวะ เพราะไม่ถือมั่น ก็โภคทรัพย์ย่อมมีอยู่ในสกุล ของเรา เราอาจเพื่อใช้สอยโภคทรัพย์ และทำบุญได้ ผิฉะนั้น เราพึงบอกคืนสิกขา สึกมาเป็น คฤหัสถ์ ใช้สอยโภคทรัพย์และพึงทำบุญเถิด

            ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาค ทรงทราบปริวิตกแห่งใจของท่านพระโสณะ ด้วย พระทัย(เจโตปริยญาณ) แล้วทรงหายจากภูเขาคิชฌกูฏ ไปปรากฏตรงหน้าท่าน พระโสณะ ที่ป่าสีตะวัน เปรียบเหมือนบุรุษ ผู้มีกำลังพึงเหยียดแขนที่คู้ หรือพึงคู้แขน ที่เหยียดฉะนั้น ทรงประทับ นั่ง บนอาสนะที่ได้ปูแล้ว แม้ท่านพระโสณะถวายบังคม พระผู้มีพระภาค แล้วได้นั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสถาม ท่าน พระโสณะว่า

            ดูกรโสณะ เธอหลีกออกเร้นอยู่ในที่ลับ เกิดปริวิตกแห่งใจอย่างนี้มิใช่หรือว่า สาวกของพระผู้มีพระภาค เหล่าใดเหล่าหนึ่ง เป็นผู้ปรารภความเพียรอยู่ เราก็เป็นผู้หนึ่ง ในจำนวนสาวกเหล่านั้น ก็แต่ว่าจิต ของเรา ยังไม่หลุดพ้นจากอาสวะ เพราะไม่ถือมั่น ก็โภคทรัพย์ย่อมมีอยู่ในสกุลของเรา เราอาจเพื่อใช้สอยโภคทรัพย์และทำบุญได้ มิฉะนั้น เราพึงบอกคืนสิกขาสึกมาเป็นคฤหัสถ์ ใช้สอยโภคทรัพย์ และพึงทำบุญเถิด ท่านพระโสณะทูลว่า อย่างนั้นพระเจ้าข้า

            พ. ดูกรโสณะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เธอเมื่อก่อนยังอยู่ครองเรือน เป็นผู้ฉลาด ในการดีดพิณ มิใช่หรือ
            ส. อย่างนั้น พระเจ้าข้า

            พ. ดูกรโสณะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ก็สมัยใดสายพิณของเธอตึง เกินไป สมัยนั้น พิณของเธอย่อมมีเสียงไพเราะหรือ ย่อมควรแก่การใช้หรือไม่
            ส. ไม่เป็นเช่นนั้น พระเจ้าข้า

            พ. ดูกรโสณะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน สมัยใดสายพิณของเธอ หย่อนเกินไป สมัยนั้น พิณของเธอย่อมมีเสียงไพเราะ หรือย่อมควรแก่การใช้หรือไม่
            ส. ไม่เป็นเช่นนั้น พระเจ้าข้า

            พ. ดูกรโสณะ ก็สมัยใด สายพิณของเธอไม่ตึงเกินไป ไม่หย่อนเกินไป ตั้งอยู่ใน ขนาดกลาง สมัยนั้น พิณของเธอย่อมมีเสียงไพเราะ หรือย่อมควรแก่การใช้หรือไม่
            ส. อย่างนั้น พระเจ้าข้า

            พ. ดูกรโสณะ ฉันนั้นเหมือนกันแล ความเพียรที่ปรารภมากเกินไปย่อมเป็นไป เพื่อความฟุ้งซ่าน ความเพียรที่หย่อนเกินไป ย่อมเป็นไปเพื่อความเกียจคร้าน ดูกรโสณะ เพราะเหตุนั้นแหละ เธอจงตั้งความเพียรให้สม่ำเสมอจงตั้งอินทรีย์ให้สม่ำเสมอ และ จงถือนิมิตในความสม่ำเสมอนั้น ท่านพระโสณะทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว

            ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงกล่าวสอนท่านพระโสณะด้วยพระโอวาทนี้ แล้วทรง หายจากป่าสีตวัน ไปปรากฏที่ภูเขาคิชฌกูฏ เปรียบเหมือนบุรุษผู้มีกำลังพึงเหยียดแขน ที่คู้ หรือพึงคู้แขนที่เหยียด ฉะนั้น

            ครั้นสมัยต่อมา ท่านพระโสณะได้ตั้งความเพียรให้สม่ำเสมอ ได้ตั้งอินทรีย์ให้ สม่ำเสมอ และได้ถือนิมิต ในความสม่ำเสมอนั้นต่อมา ท่านพระโสณะหลีกออกจากหมู่ อยู่ผู้เดียว ไม่ประมาท มีความเพียร ตั้งใจแน่วแน่อยู่ ได้ทำให้แจ้งซึ่งที่สุดแห่ง พรหมจรรย์ อันยอดเยี่ยม ที่กุลบุตรทั้งหลายผู้ออกบวช เป็นบรรพชิตโดยชอบ ต้องการนั้น ในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ต่อกาลไม่นานเลย ได้ทราบชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี ก็แลท่านพระโสณะ ได้เป็นพระอรหันต์รูปหนึ่ง ในจำนวนพระอรหันต์ทั้งหลาย

            ครั้งนั้น ท่านพระโสณะบรรลุอรหัตแล้ว ได้คิดอย่างนี้ว่าไฉนหนอ เราพึงเข้าไป เฝ้าพระผู้มีพระภาค ถึงที่ประทับ แล้วพึงพยากรณ์อรหัตผลในสำนักพระผู้มีพระภาคเถิด ลำดับนั้น ท่านพระโสณะ ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า

            ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุผู้เป็นพระอรหันตขีณาสพ อยู่จบพรหมจรรย์ ได้ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ปลงภาระลงได้แล้ว บรรลุประโยชน์ของตนแล้ว หมดสิ้น กิเลส เครื่องประกอบในภพ หลุดพ้นเพราะรู้ โดยชอบ
ภิกษุนั้นย่อมเป็นผู้น้อมไปยังเหตุ ๖ ประการ คือ
๑ เป็นผู้น้อมไปยังเนกขัมมะ (ออกจากกาม)
๒ เป็นผู้น้อมไปยังความสงัด
๓ เป็นผู้น้อมไปยังความไม่เบียดเบียน
๔ เป็นผู้น้อมไปยังความสิ้นตัณหา
๕ เป็นผู้น้อมไปยังความสิ้นอุปาทาน
๖ เป็นผู้น้อมไปยังความไม่หลงใหล

            ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็ท่านผู้มีอายุบางรูปในธรรมวินัยนี้ พึงมีความคิดเห็น อย่างนี้ว่า ท่านผู้มีอายุรูปนี้ อาศัยคุณเพียงศรัทธาอย่างเดียวเป็นแน่ เป็นผู้น้อมไปยัง เนกขัมมะ แต่ข้อนั้นไม่พึงเห็นอย่างนี้ เพราะว่าภิกษุขีณาสพ อยู่จบพรหมจรรย์ ได้ทำกิจ ที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว ไม่พิจารณาเห็นกิจ ที่ตน จะต้องทำหรือไม่พิจารณาเห็นการ เพิ่มพูนกิจที่ทำแล้วอยู่ ย่อมเป็นผู้น้อมไปยังเนกขัมมะเพราะสิ้นราคะ เพราะเป็นผู้ ปราศจาก ราคะ เพราะสิ้นโทสะ เพราะเป็นผู้ปราศจากโทสะ เพราะสิ้นโมหะ เพราะเป็นผู้ปราศจากโมหะ

            ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็ท่านผู้มีอายุบางรูปในธรรมวินัยนี้ พึงมีความคิดเห็น อย่างนี้ว่า ท่านผู้มีอายุรูปนี้ มุ่งหวังลาภ สักการะและการสรรเสริญเป็นแน่จึงน้อมไป ยังความสงัด แต่ข้อนั้นไม่พึงเห็นอย่างนี้ เพราะว่าภิกษุขีณาสพ อยู่พรหมจรรย์ได้ทำกิจ ที่ควรเสร็จแล้ว ไม่พิจารณาเห็นกิจที่ตนจะต้องทำ หรือไม่พิจารณาเห็นการเพิ่มพูนกิจ ที่ทำแล้วอยู่ ย่อมเป็นผู้น้อมไปยังความสงัด เพราะสิ้นราคะ เพราะเป็นผู้ปราศจากราคะ เพราะสิ้นโทสะ เพราะเป็นผู้ปราศจากโทสะ เพราะสิ้นโมหะ เพราะเป็นผู้ปราศจากโมหะ

            ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็ท่านผู้มีอายุบางรูปในธรรมวินัยนี้ พึงมีความคิดเห็น อย่างนี้ว่า ท่านผู้มีอายุรูปนี้ ละสีลัพพัตตปรามาส กลับให้เป็นแก่นสารเป็นแน่ จึงเป็น ผู้น้อมไปยังความไม่เบียดเบียน แต่ข้อนั้น ไม่พึงเห็นอย่างนี้ เพราะว่าภิกษุขีณาสพ ฯลฯ เป็นผู้น้อมไปยังความไม่เบียดเบียน เพราะสิ้นโมหะ เพราะเป็นผู้ปราศจากโมหะ ฯลฯ ย่อมเป็นผู้น้อมไปยังความสิ้นตัณหา เพราะสิ้นโมหะ เพราะเป็นผู้ ปราศจากโมหะ ฯลฯ ย่อมเป็นผู้น้อมไปยังความสิ้นอุปาทานเพราะสิ้นโมหะ เพราะเป็นผู้ ปราศจากโมหะ

            ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็ท่านผู้มีอายุบางรูปในธรรมวินัยนี้พึงมีความคิดเห็น อย่างนี้ว่า ท่านผู้มีอายุรูปนี้ ละสีลัพพัตตปรามาสกลับให้เป็นแก่นสาร เป็นแน่จึงเป็น ผู้น้อมไปยังความไม่หลงใหล แต่ข้อนั้นไม่พึงเห็นอย่างนี้ เพราะว่าภิกษุขีณาสพอยู่จบ พรหมจรรย์ ได้ทำกิจ ที่ควรทำเสร็จแล้ว ไม่พิจารณาเห็นในกิจที่ตนจะต้องทำ หรือไม่ พิจารณาเห็นการ เพิ่มพูนกิจ ที่ทำแล้วอยู่ ย่อมเป็นผู้น้อมไปยังความไม่หลงใหล เพราะสิ้นราคะ เพราะเป็นผู้ปราศจากราคะ เพราะสิ้นโทสะ เพราะเป็นผู้ปราศจากโทสะ เพราะสิ้นโมหะ เพราะเป็นผู้ปราศจากโมหะ

            ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้ารูปที่พึงเห็นแจ้งด้วยจักษุแม้ดีเยี่ยมมาสู่คลองจักษุ ของภิกษุผู้มีจิต หลุดพ้นแล้วโดยชอบ อย่างนี้ไซร้ รูปนั้นไม่ครอบงำจิตของท่าน ได้จิต ของท่านย่อมเป็นจิตไม่เจือ ด้วยกิเลส เป็นจิตตั้งมั่น ถึงความไม่หวั่นไหวและท่าน ย่อม พิจารณาเห็นความเกิดขึ้น และความเสื่อมไป แห่งจิตนั้น ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าเสียง ที่พึงรู้แจ้งด้วยหู ฯลฯ

            กลิ่นที่พึงรู้แจ้งด้วยจมูก ฯลฯ รสที่พึงรู้แจ้งด้วยลิ้น ฯลฯ โผฏฐัพพะที่พึงรู้แจ้ง ด้วยกาย ฯลฯ ธรรมารมณ์ที่พึงรู้แจ้งด้วยใจ แม้ดีเยี่ยม มาสู่คลองจักษุแห่งภิกษุ ผู้มีจิต หลุดพ้นแล้ว โดยชอบ อย่างนี้ไซร้ ธรรมารมณ์นั้นย่อมไม่ครอบงำจิตของท่านได้ จิตของท่านย่อมเป็นจิตไม่เจือด้วยกิเลส เป็นจิตตั้งมั่นถึงความไม่หวั่นไหว และท่าน พิจารณาเห็นความเกิดขึ้นความเสื่อมไปแห่งจิตนั้น เปรียบเหมือนภูเขาศิลาที่ไม่มีช่อง ไม่มีโพรงเป็นแท่งทึบ ถึงแม้ลมฝนอันแรงกล้า พึงพัดมาจากทิศ บูรพาไซร้ ก็ไม่พึง ยังภูเขาศิลานั้นให้หวั่นไหว ให้สะเทือนสะท้านได้ ถึงแม้ลมฝนอันแรงกล้า พึงพัดมาจาก ทิศประจิมฯลฯ พึงพัดมาจากทิศอุดร ฯลฯ พึงพัดมาจากทิศทักษิณไซร้ ก็ไม่พึงยัง ภูเขาศิลานั้น ให้หวั่นไหว ให้สะเทือนสะท้านได้ ฉะนั้น

            ท่านพระโสณะครั้นกล่าวดังนี้แล้ว จึงได้กล่าวคาถาประพันธ์ดังต่อไปอีกว่า จิตของภิกษ ุผู้น้อมไป ยังเนกขัมมะ ผู้น้อมไปยังความสงัดแห่ง ใจ ผู้น้อมไปยัง ความไม่เบียดเบียน ผู้น้อมไปยังความสิ้น ตัณหา ผู้น้อมไปยังความสิ้นอุปาทาน และ ผู้น้อมไปยังความ ไม่หลงใหลแห่งใจ ย่อมหลุดพ้นโดยชอบ เพราะเห็นความเกิด ขึ้นและความเสื่อมไป แห่งอายตนะทั้งหลาย กิจที่ควรทำและ การเพิ่มพูนกิจ ที่ทำแล้ว ย่อมไม่มีแก่ภิกษุนั้น ผู้หลุดพ้นแล้ว โดยชอบมีจิตสงบ

            ภูเขาศิลาเป็นแท่งทึบ ย่อมไม่หวั่นไหว ด้วยลม ฉันใด รูปเสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และธรรมารมณ์ ทั้งสิ้น ทั้งที่เป็นอิฏฐารมณ์ และอนิฏฐารมณ์ ย่อมยังจิต อันตั้ง มั่นหลุดพ้นวิเศษแล้ว ของภิกษุผู้คง ที่ให้หวั่นไหวไม่ได้ ฉันนั้นและภิกษุนั้น ย่อมพิจารณา เห็นความเกิดขึ้น และ ความเสื่อมไปแห่งจิตนั้น ดังนี้

 





หนังสือพุทธวจน ธรรมะของพระศาสดา
90 90 90 90
พุทธประวัติ ขุมทรัพย์ อริยสัจ
ภาคต้น
อริยสัจ
ภาคปลาย
ปฏิจจ ปฐมธรรม ตถาคต อนาคามี อินทรีย์
สังวร
สัตว์
สัตตานัง
ทาน
สกทาคามี
ฆราวาส
ชั้นเลิศ
มรรควิธี
ที่ง่าย
อริยวินัย เดรัจฉานวิชา กรรม สมถะ
วิปัสสนา
โสดาบัน นา
ปานสติ
จิต มโน
วิญญาณ
ก้าวย่าง
อย่างพุทธะ
ตามรอย
ธรรม
ภพ ภูมิ
พุทธวจน
สาธยาย
ธรรม
สังโยชน์