พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๘ พระสุตตันตปิฎก หน้า ๑๒๐-๑๒๑
สังโยชนสูตร
[๑๘๙] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงธรรมอันเป็น ที่ตั้งแห่งสังโยชน์และสังโยชน์ เธอทั้งหลายจงฟังธรรมนั้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ธรรม อันเป็นที่ตั้งแห่งสังโยชน์ และสังโยชน์เป็นไฉน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งสังโยชน์และสังโยชน์นั้น คือรูป ที่จะ พึงรู้แจ้งด้วยจักษุ อันน่า ปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ น่ารัก ชักให้ใคร่ ชวนให้กำหนัด เหล่านี้ เรียกว่าธรรมเป็นที่ตั้ง แห่งสังโยชน์ ความกำหนัดด้วยอำนาจความพอใจ ในรูป นั้น เป็นตัวสังโยชน์ ในรูปนั้น ฯลฯ
ธรรมารมณ์ที่จะพึงรู้แจ้งด้วยใจ อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ น่ารัก ชักให้ ใคร่ ชวนให้กำหนัด เหล่านี้เรียกว่าธรรมเป็นที่ตั้งแห่งสังโยชน์ ความกำหนัดด้วยอำนาจ ความพอใจในธรรมารมณ์นั้น เป็นตัวสังโยชน์ในธรรมารมณ์นั้น
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๘ พระสุตตันตปิฎก หน้า ๑๒๑
อุปาทานสูตร
[๑๙๐] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดง
(๑) ธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งอุปาทาน และ
(๒) อุปาทาน เธอทั้งหลายจงฟังธรรมนั้น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งอุปาทาน และอุปาทานเป็นไฉน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งอุปาทานและอุปาทานนั้น คือรูป ที่จะพึงรู้แจ้ง ด้วย จักษุ อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ น่ารัก ชักให้ใคร่ ชวนให้กำหนัด เหล่านี้ เรียกว่า ธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งอุปาทาน
ความกำหนัดด้วยอำนาจความพอใจในรูปนั้น เป็นตัวอุปาทานในรูปนั้น ฯลฯ ธรรมารมณ์ที่จะพึงรู้แจ้งด้วยใจอันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ น่ารัก ชักให้ใคร่ ชวนให้ กำหนัด เหล่านี้เรียกธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งอุปาทาน
ความกำหนัดด้วยอำนาจความพอใจในธรรมารมณ์นั้น เป็นตัวอุปาทานในธรรมารมณ์ นั้น
|