พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๙  พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๗ 
                                มิจฉัตตสูตร 
                                ความเห็นผิด-ความเห็นถูก 
                             
                                          [๕๙] สาวัตถีนิทาน. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจะแสดงมิจฉัตตะ (ความผิด) และสัมมัตตะ (ความถูก) แก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟังเรื่องนั้น. 
                                 
                                           [๖๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็มิจฉัตตะเป็นไฉน? ความเห็นผิด ฯลฯ ความตั้งใจมั่นผิดนี้เรียกว่า มิจฉัตตะ. 
                                 
                                           [๖๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมัตตะเป็นไฉน? ความเห็นชอบ ฯลฯ ความตั้งใจมั่นชอบ นี้เรียกว่า สัมมัตตะ. 
                                 
                              พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๙  พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๗ 
                                อกุศลธรรมสูตร 
                                อกุศลธรรม-กุศลธรรม 
                               
                                          [๖๒] สาวัตถีนิทาน. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงอกุศลธรรม และกุศลธรรมแก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟังเรื่องนั้น. 
                                 
                                           [๖๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อกุศลธรรมเป็นไฉน? ความเห็นผิด ฯลฯ ความตั้งใจมั่นผิด นี้เรียกว่า อกุศลธรรม. 
                                 
                                           [๖๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็กุศลธรรมเป็นไฉน? ความเห็นชอบ ฯลฯ ความตั้งใจมั่นชอบ นี้เรียกว่า กุศลธรรม. 
                                 
                              พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๙  พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๗ - ๑๘ 
                                ปฏิปทาสูตรที่ ๑ 
                                มิจฉาปฏิปทา-สัมมาปฏิปทา 
                               
                                          [๖๕] สาวัตถีนิทาน. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงมิจฉาปฏิปทา และสัมมาปฏิปทาแก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟังเรื่องนั้น. 
                                          [๖๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็มิจฉาปฏิปทาเป็นไฉน? ความเห็นผิด ฯลฯ ความตั้งใจมั่นผิด นี้เรียกว่า มิจฉาปฏิปทา. 
                                          [๖๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาปฏิปทาเป็นไฉน? ความเห็นชอบ ฯลฯ ความตั้งใจมั่นชอบ นี้เรียกว่า สัมมาปฏิปทา. 
                                 
                              พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๙  พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๗ 
                                ปฏิปทาสูตรที่ ๒ 
                                ว่าด้วยญายธรรม 
                             
                                          [๖๘] สาวัตถีนิทาน. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราไม่สรรเสริญมิจฉาปฏิปทา ของคฤหัสถ์หรือบรรพชิต คฤหัสถ์หรือบรรพชิตปฏิบัติผิดแล้ว ย่อมไม่ยังญายธรรม อันเป็นกุศล ให้สำเร็จ เพราะความปฏิบัติผิดเป็นตัวเหตุ ก็มิจฉาปฏิปทาเป็นไฉน? ความเห็นผิด ฯลฯ ความตั้งใจมั่นผิดนี้เรียกว่า มิจฉาปฏิปทา  
                                 
                                           ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราไม่สรรเสริญมิจฉาปฏิปทาของคฤหัสถ์ หรือบรรพชิต คฤหัสถ์ หรือบรรพชิตปฏิบัติผิดแล้ว ย่อมไม่ยังญายธรรม อันเป็นกุศลให้สำเร็จ เพราะ ความปฏิบัติผิดเป็นตัวเหตุ. 
                                          [๖๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราสรรเสริญสัมมาปฏิปทาของคฤหัสถ์ หรือบรรพชิต คฤหัสถ์หรือบรรพชิต ปฏิบัติชอบแล้ว ย่อมยังญายธรรม อันเป็นกุศลให้สำเร็จ เพราะความปฏิบัติชอบเป็นตัวเหตุ  
                                 
                                           ก็สัมมาปฏิปทาเป็นไฉน? ความเห็นชอบ ฯลฯ ความตั้งใจมั่นชอบ นี้เรียกว่า สัมมาปฏิปทา  
                                 
                                           ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราสรรเสริญสัมมาปฏิปทาของคฤหัสถ์ หรือบรรพชิต คฤหัสถ์หรือบรรพชิต ปฏิบัติชอบแล้ว ย่อมยังญายธรรม อันเป็นกุศลให้สำเร็จ เพราะความปฏิบัติชอบเป็นตัวเหตุ. 
                                 
                              พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๙  พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๘-๑๙ 
                                อสัปปุริสสูตรที่ ๑ 
                                ว่าด้วยอสัตบุรุษ-สัตบุรุษ 
                               
                                          [๗๐] สาวัตถีนิทาน. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงอสัตบุรุษและสัตบุรุษ แก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟังเรื่องนั้น. 
                                          [๗๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อสัตบุรุษเป็นไฉน? บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้มี ความเห็นผิด ดำริผิด เจรจาผิด ทำการงานผิด เลี้ยงชีพผิด พยายามผิด ระลึกผิด ตั้งใจมั่นผิดบุคคลนี้เรียกว่า อสัตบุรุษ. 
                                          [๗๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัตบุรุษเป็นไฉน? บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้มี ความเห็นชอบ ดำริชอบ เจรจาชอบ ทำการงานชอบ เลี้ยงชีพชอบ พยายามชอบ ระลึกชอบตั้งใจมั่นชอบ บุคคลนี้เรียกว่า สัตบุรุษ. 
                                 
                              พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๙  พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๙ 
                                อสัปปุริสสูตรที่ ๒ 
                                ว่าด้วยอสัตบุรุษและสัตบุรุษที่ยิ่งกว่า 
                               
                                          [๗๓] สาวัตถีนิทาน. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงอสัตบุรุษ และอสัตบุรุษ ที่ยิ่งกว่าอสัตบุรุษ แก่เธอทั้งหลาย จักแสดงสัตบุรุษและสัตบุรุษผู้ยิ่งกว่าสัตบุรุษ แก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟังเรื่องนั้น. 
                                          [๗๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อสัตบุรุษเป็นไฉน? บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้มีความเห็นผิด ฯลฯ ตั้งใจมั่นผิด บุคคลเหล่านี้เรียกว่า อสัตบุรุษ. 
                                          [๗๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อสัตบุรุษผู้ยิ่งกว่าอสัตบุรุษเป็นไฉน? บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้มีความเห็นผิด ฯลฯ ตั้งใจมั่นผิด รู้ผิด พ้นผิด บุคคลนี้ เรียกว่า อสัตบุรุษผู้ยิ่งกว่าอสัตบุรุษ. 
                                 
                                           [๗๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัตบุรุษเป็นไฉน? บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้มีความเห็นชอบ ฯลฯ ตั้งใจมั่นชอบ บุคคลนี้เรียกว่า สัตบุรุษ. 
                                          [๗๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัตบุรุษผู้ยิ่งกว่าสัตบุรุษเป็นไฉน? บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้มีความเห็นชอบ ฯลฯ ตั้งใจมั่นชอบ รู้ชอบ พ้นชอบ บุคคลนี้เรียกว่า สัตบุรุษผู้ยิ่งกว่าสัตบุรุษ. 
                                 
                              พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๙  พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๙-๒๐ 
                                กุมภสูตร 
                                ธรรมเครื่องรองรับจิต 
                               
                                          [๗๘] สาวัตถีนิทาน. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนหม้อ ที่ไม่มีเครื่องรองรับ ย่อมกลิ้งไปได้ง่าย ที่มีเครื่องรองรับ ย่อมกลิ้งไปได้ยาก ฉันใด จิตก็ฉันนั้นเหมือนกัน ไม่มีเครื่องรองรับ ย่อมกลิ้งไปได้ง่าย ที่มีเครื่องรองรับ ย่อมกลิ้งไปได้ยาก. 
                                          [๗๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเป็นเครื่องรองรับจิต อริยมรรค อันประกอบ ด้วยองค์๘ นี้แล คือ สัมมาทิฏฐิ ฯลฯ สัมมาสมาธิ นี้เป็นเครื่องรองรับจิต. 
                                          [๘๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนหม้อ ที่ไม่มีเครื่องรองรับ ย่อมกลิ้งไป ได้ง่าย ที่มีเครื่องรองรับ ย่อมกลิ้งไปได้ยาก ฉันใด จิตก็ฉันนั้นเหมือนกัน ไม่มีเครื่อง รองรับ ย่อมกลิ้งไปได้ง่าย ที่มีเครื่องรองรับ ย่อมกลิ้งไปได้ยาก. 
                                 
                              พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๙  พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๒๐ 
                                สมาธิสูตร 
                                ว่าด้วยสัมมาสมาธิอันประเสริฐ 
                               
                                          [๘๑] สาวัตถีนิทาน. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงสัมมาสมาธิ อันประเสริฐ พร้อมทั้งเหตุ พร้อมทั้งเครื่องประกอบ แก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟังเรื่องนั้น. 
                                          [๘๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาสมาธิอันประเสริฐ พร้อมทั้งเหตุ พร้อมทั้ง เครื่องประกอบเป็นไฉน? คือความเห็นชอบ ฯลฯ ความตั้งใจมั่นชอบ. 
                                          [๘๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความที่จิตมีอารมณ์เป็นอันเดียว ความที่จิตมีเครื่อง ประกอบด้วยองค์ ๗ ประการเหล่านี้นั้น เรียกว่าสัมมาสมาธิอันประเสริฐ พร้อมทั้งเหตุบ้าง พร้อมทั้งเครื่องประกอบบ้าง.  
                                 
                              พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๙  พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๒๐ 
                                เวทนาสูตร 
                                เจริญอริยมรรคเพื่อกำหนดรู้เวทนา 
                                          [๘๔] สาวัตถีนิทาน. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เวทนา ๓ ประการนี้ ๓ ประการ เป็นไฉน?คือ สุขเวทนา ๑ ทุกขเวทนา ๑ อทุกขมสุขเวทนา ๑ เวทนา ๓ ประการนี้แล. 
                                          [๘๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ บุคคลพึงเจริญ เพื่อกำหนดรู้เวทนา ๓ ประการนี้ อริยมรรค อันประกอบด้วยองค์ ๘ เป็นไฉน? คือ ความเห็นชอบฯลฯ ความตั้งใจมั่นชอบ อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ บุคคลพึงเจริญ เพื่อกำหนดรู้เวทนา ๓ ประการนี้แล. 
                                 
                              พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๙  พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๒๑ 
                                อุตติยสูตร 
                                เจริญอริยมรรคเพื่อละกามคุณ ๕ 
                               
                                          [๘๖] สาวัตถีนิทาน. ครั้งนั้น ท่านพระอุตติยะเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถึงที่ประทับฯลฯ ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานพระวโรกาส ข้าพระองค์หลีกออกเร้น อยู่ในที่ลับ ได้เกิดความปริวิตกแห่งใจ อย่างนี้ว่า กามคุณ ๕ พระผู้มีพระภาคตรัสไว้แล้ว กามคุณ ๕ ที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้แล้วเป็นไฉนหนอ? 
                                          [๘๗] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดีละๆ อุตติยะ กามคุณ ๕ เหล่านี้ เรากล่าวไว้แล้ว กามคุณ ๕ เป็นไฉน? คือ รูปที่จะพึงรู้แจ้งได้ด้วยจักษุ น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ เป็นที่น่ารัก ยั่วยวน ชวนให้กำหนัด เสียงที่พึงรู้แจ้งด้วยหู ... กลิ่นที่พึงรู้แจ้งด้วยจมูก ... รสที่พึงรู้แจ้งด้วยลิ้น ... โผฏฐัพพะที่พึงรู้แจ้งด้วยกาย น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ เป็นที่น่ารัก ยั่วยวนชวนให้กำหนัด ดูกรอุตติยะ กามคุณ ๕ เหล่านี้แล เรากล่าวไว้แล้ว. 
                                          [๘๘] ดูกรอุตติยะ อริยมรรค อันประกอบด้วยองค์ ๘ บุคคลพึงเจริญ เพื่อละ กามคุณ ๕ เหล่านี้แล อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ เป็นไฉน? คือ ความเห็นชอบ ฯลฯ ความตั้งใจมั่นชอบ อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ บุคคลพึงเจริญ เพื่อละกามคุณ ๕ เหล่านี้แล. 
                               
                              
  |