เว็บไซต์ อนาคามี เผยแพร่คำพระศาสดา เผยแพร่คำสอนตถาคต เว็บไซต์เผยแพร่พระสุตรคำสอนของพระพุทธเจ้า คลิปคำสอน คลิปสาธยายธรรม
ค้นหาคำที่ต้องการ            

ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ และความดับลงแห่งกองทุกข์ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้ 1723
  (ย่อ)

(ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้)

เจตนาสูตร (ฉบับหลวง) ภิกษุย่อมจงใจ ย่อมดำริ และครุ่นคิดถึงสิ่งใด สิ่งนั้นเป็นอารัมณปัจจัย เพื่อความตั้งอยู่แห่งวิญญาณ ...

ความเกิดขึ้นแห่งภพใหม่ (จากพระโอษฐ์) ถ้าบุคคลคิดถึงสิ่งใด ดําริ ถึงสิ่งใด และมีจิตฝังลง ไปในสิ่งใด สิ่งนั้นย่อมเป็นอารมณ์เพื่อการตั้งอยู่แห่งวิญญาณ เมื่อวิญญาณนั้นตั้งขึ้นเฉพาะ เจริญ งอกงามแล้ว ความเกิดขึ้นแห่งภพใหม่ต่อไปย่อมมี..ชาติชรามรณะย่อมมี ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ ย่อมมีขึ้นด้วยอาการอย่างนี้
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

(ความดับลงแห่งกองทุกข์ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้)

เจตนาสูตร (ฉบับหลวง) ภิกษุย่อมไม่จงใจ ย่อมไม่ดำริ และไม่ครุ่นคิดถึงสิ่งใด สิ่งนั้นไม่เป็นอารัมณ ปัจจัย เพื่อความตั้งอยู่แห่งวิญญาณ ...

ความเกิดขึ้นแห่งภพใหม่ (จากพระโอษฐ์) ถ้าไม่คิด ไม่ดําริ ไม่มีจิตฝังลงไปในสิ่งใด สิ่งนั้นย่อม ไม่เป็นอารมณ์เพื่อการตั้งอยู่แห่งวิญญาณ เมื่ออารมณ์ไม่มี ความตั้งขึ้นแห่งวิญญาณย่อมไม่มี เมื่อวิญญาณไม่ตั้งขึ้น ไม่เจริญงอกงาม ภพใหม่ต่อไปย่อมไม่มี เมื่อภพใหม่ไม่มี ชาติชรามรณะ โสกะ...ทุกขะโทมนัส อุปายาส จึงดับสิ้น ความดับลงแห่งกองทุกข์ ย่อมมีขึ้นด้วยอาการอย่างนี้
เรื่องสำคัญของพระพุทธเจ้า
การบำเพ็ญบารมีในอดีตชาติ
การประสูติ แสงสว่าง แผ่นดินไหว
แสวงหาสัจจะบำเพ็ญทุกรกิริยา
ปัญจวัคคีย์หลีก สิ่งที่ตรัสรู้
ตรัสรู้ แสดงเทศนาปัญจวัคคีย์
ปลงสังขาร ปรินิพพาน
ลำดับขั้นการปรินิพพาน
เทวดาแสดงฤทธิ์ขณะถวายเพลิง
แบ่งพระสรีระออกเป็น ๘ ส่วน
 
รวมพระสูตรบุคคลสำคัญ
พระโมคคัลลานะ
พระสารีบุตร
พระเทวทัต
นิครนถ์ปริพาชก
พระมหากัปปินะ
พระอนุรุทธะ
พระอุบาลี
(ดูทั้งหมด)
 
สารบาญพระไตรปิฎก
เล่มที่ ๘-๓๓ (๒๕ เล่ม) ทุกพระสูตร
1. ฉบับหลวง
2. ฉบับมหาจุฬาฯ
3. อรรถกถาไทย
4. ฉบับภาษาบาลี
5. อรรถกถา-บาลี
6. Pali Roman (Roman Script)
7. Atthakatha PaliRoman
 

 

 

อาการของจิต
(ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์)

อาการของจิต
(ความดับลงแห่งกองทุกข์)

เมื่อคิด ถึงสิ่งใดอยู่ 
ดําริ ถึงสิ่งใด
มีจิตฝังลงไป ในสิ่งใด

เมื่อไม่คิด ถึงสิ่งใดอยู่ 
ไม่ดําริ ถึงสิ่งใด
ไม่มีจิตฝังลงไป ในสิ่งใด

สิ่งนั้น
ย่อมเป็นอารมณ์
เพื่อการตั้งอยู่แห่งวิญญาณ

สิ่งนั้น
ย่อมไม่เป็นอารมณ์
เพื่อการตั้งอยู่แห่งวิญญาณ

เมื่ออารมณ์มีอยู่ ความตั้งขึ้นเฉพาะ
แห่งวิญญาณ
ย่อมมี

เมื่ออารมณ์ไม่มีอยู่ ความตั้งขึ้นเฉพาะ
แห่งวิญญาณ
ย่อมไม่มี

เมื่อวิญญาณนั้นตั้งขึ้นเฉพาะ
เจริญงอกงามแล้ว

เมื่อวิญญาณไม่ตั้งขึ้นเฉพาะ
ไม่เจริญงอกงามแล้ว

ความเกิดขึ้น แห่งภพใหม่ต่อไป
ย่อมมี

ความเกิดขึ้น แห่งภพใหม่ต่อไป
ย่อมไม่มี

เมื่อความเกิดขึ้นแห่งภพใหม่ต่อไป
มีอยู่

เมื่อความเกิดขึ้นแห่งภพใหม่ต่อไป
ไม่มี

ชาติชรามรณะ โสกะปริเทวะ ทุกขะโทมนัส
อุปายาส ทั้งหลาย
จึงเกิดขึ้น ครบถ้วน

ชาติชรามรณะ โสกะปริเทวะ ทุกขะโทมนัส
อุปายาส ทั้งหลาย
จึงดับสิ้น

ความเกิดขึ้น
แห่งกองทุกข์
ทั้งสิ้นนี้
ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้

ความดับลง
แห่งกองทุกข์
ทั้งสิ้นนี้
ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้
ทุกข์เกิดอันเนื่องมาจาก การคิด การดำริ การที่มีจิตฝั่งในสิ่งนั้น
พระศาสดาให้เราเอาจิตมาตั้งไว้ที่กาย หรือลมหายใจ ซึ่งเป็นเสาเขื่อนเสาหลัก

พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๖ พระสุตตันตปิฎก หน้า ๗๑

เจตนาสูตรที่ ๑


            [๑๔๕] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถ บิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ... พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมจงใจ ย่อมดำริ และครุ่นคิดถึงสิ่งใด สิ่งนั้นเป็นอารัมณปัจจัย เพื่อความตั้งอยู่แห่งวิญญาณ
เมื่อมีอารัมณปัจจัย ความตั้งมั่นแห่งวิญญาณจึงมี
เมื่อวิญญาณนั้นตั้งมั่นแล้ว เจริญขึ้นแล้ว
ความบังเกิดคือภพใหม่ต่อไปจึงมี
เมื่อมีความบังเกิด คือภพใหม่ต่อไป
ชาติ ชราและมรณะ โสกปริเทวทุกขโทมนัส และ อุปายาส จึงมีต่อไป
ความเกิดขึ้น แห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่จงใจ ไม่ดำริ แต่ ยังครุ่นคิดถึงสิ่งใด สิ่งนั้นเป็น อารัมณปัจจัย เพื่อความตั้งอยู่แห่งวิญญาณ
เมื่อมีอารัมณปัจจัย ความตั้งมั่นแห่ง วิญญาณ จึงมี
เมื่อวิญญาณนั้นตั้งมั่นแล้ว เจริญขึ้นแล้ว
ความบังเกิดคือภพใหม่ ต่อไปจึงมี
เมื่อมีความบังเกิดคือภพใหม่ต่อไป
ชาติชราและมรณะ โสกปริเทวทุกข โทมนัส และ อุปายาส จึงมีต่อไป
ความเกิด แห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้

            [๑๔๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุ ไม่จงใจ ไม่ดำริ และไม่ครุ่นคิดถึง สิ่งใด สิ่งนั้นย่อมไม่เป็นอารัมณปัจจัย เพื่อความตั้งอยู่แห่งวิญญาณ
เมื่อไม่มีอารัมณปัจจัย ความตั้งมั่นแห่งวิญญาณจึงไม่มี
เมื่อวิญญาณนั้นไม่ตั้งมั่นแล้ว ไม่เจริญขึ้นแล้ว
ความบังเกิด คือภพใหม่ต่อไปจึงไม่มี
เมื่อความบังเกิดคือภพใหม่ ต่อไปไม่มี
ชาติชรา และมรณะ โสกปริเทวทุกขโทมนัส และ อุปายาส ต่อไปจึงดับ
ความดับ แห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้



พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๖ พระสุตตันตปิฎก หน้า ๗๒

เจตนาสูตรที่ ๒

            [๑๔๗] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถ บิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ... พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมจงใจ ย่อมดำริ และครุ่นคิดถึงสิ่งใด สิ่งนั้นย่อมเป็นอารัมณปัจจัย เพื่อความตั้งอยู่แห่งวิญญาณ
เมื่อมีอารัมณปัจจัย ความตั้งมั่นแห่งวิญญาณจึงมี
เมื่อวิญญาณนั้นตั้งมั่นแล้วเจริญขึ้นแล้ว ความหยั่งลงแห่งนามรูป จึงมี
เพราะนามรูป เป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ
เพราะสฬายตนะ เป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ
เพราะผัสสะ เป็นปัจจัย จึงมีเวทนา
เพราะเวทนา เป็นปัจจัย จึงมีตัณหา
เพราะตัณหา เป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน
เพราะอุปาทาน เป็นปัจจัย จึงมีภพ
เพราะภพ เป็นปัจจัย จึงมีชาติ
เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ โสกปริเทว ทุกขโทมนัส และ อุปายาส
ความเกิดขึ้น แห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่จงใจ ไม่ดำริ แต่ยังครุ่นคิดถึงสิ่งใด
สิ่งนั้น ย่อมเป็นอารัมณปัจจัย เพื่อความตั้งอยู่แห่งวิญญาณ

เมื่อมีอารัมณปัจจัย ความตั้งมั่น แห่งวิญญาณจึงมี
เมื่อวิญญาณนั้นตั้งมั่นแล้ว เจริญขึ้นแล้ว ความหยั่งลงแห่งนามรูป จึงมี
เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ
เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ
เพราะ ผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา
เพราะเวทนาเป็นปัจจัยจึงมีตัณหา
เพราะตัณหา เป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน
เพราะอุปาทานเป็นปัจจัยจึงมีภพ
เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ
เพราะชาติ เป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ โสกปริเทว ทุกขโทมนัส และ อุปายาส ความเกิดขึ้น แห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้

            [๑๔๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุไม่จงใจ ไม่ดำริ และไม่ครุ่นคิดถึง สิ่งใด สิ่งนั้นย่อมไม่เป็นอารัมณปัจจัย เพื่อความตั้งอยู่แห่งวิญญาณ
เมื่อไม่มีอารัมณ ปัจจัย ความตั้งมั่นแห่งวิญญาณจึงไม่มี เมื่อวิญญาณนั้นไม่ตั้งมั่นแล้วไม่เจริญขึ้นแล้ว ความหยั่งลงแห่งนามรูปจึงไม่มี เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ
เพราะสฬายตนะ ดับ ผัสสะจึงดับ
เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ
เพราะเวทนาดับ ภพจึงดับ
เพราะภพดับ ชาติจึงดับ
เพราะชาติดับ ชราและมรณะ โสกปริเทว ทุกขโทมนัส และอุปายาส ต่อไป จึงดับ ความดับ แห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้



พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๖ พระสุตตันตปิฎก หน้า ๗๓

เจตนาสูตรที่ ๓

            [๑๔๙] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถ บิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ... พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมจงใจ ย่อมดำริ และย่อมครุ่นคิดถึงสิ่งใด สิ่งนั้น ย่อมเป็นอารัมณปัจจัย เพื่อความตั้งอยู่แห่งวิญญาณ
เมื่อมีอารัมณปัจจัย ความตั้งมั่น แห่งวิญญาณจึงมี
เมื่อวิญญาณนั้นตั้งมั่นแล้ว เจริญขึ้นแล้ว ตัณหาจึงมี
เมื่อมีตัณหา คติในการเวียนมา จึงมี
เมื่อมีคติในการเวียนมา จุติและอุปบัติ จึงมี
เมื่อมีจุติและอุปบัติ ชาติ ชราและมรณะ โสกปริเทว ทุกขโทมนัสและอุปายาส จึงมี
ความเกิดขึ้น แห่งกองทุกข์ ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่จงใจ ไม่ดำริ แต่ยังครุ่นคิดถึงสิ่งใด
สิ่งนั้น ย่อมเป็นอารัมณปัจจัย เพื่อความตั้งอยู่แห่งวิญญาณ
เมื่อมีอารัมณปัจจัย ความตั้งมั่นแห่ง วิญญาณจึงมี
เมื่อวิญญาณนั้นตั้งมั่นแล้ว เจริญขึ้นแล้ว ตัณหาจึงมี
เมื่อมีตัณหา คติในการเวียนมาจึงมี
เมื่อมีคติในการเวียนมา จุติและอุปบัติจึงมี
เมื่อมีจุติและอุปบัติ ชาติชราและมรณะ
โสกปริเทว ทุกขโทมนัสและอุปายาสจึงมี
ความเกิดขึ้น แห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้

            [๑๕๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุไม่จงใจ ไม่ดำริ และไม่ครุ่นคิดถึง สิ่งใด สิ่งนั้นย่อมไม่เป็นอารัมณปัจจัย เพื่อความตั้งอยู่แห่งวิญญาณ
เมื่อ
ไม่มีอารัมณปัจจัย ความตั้งมั่นแห่งวิญญาณจึงไม่มี
เมื่อวิญญาณนั้นไม่ตั้งมั่นแล้วไม่เจริญขึ้นแล้ว ตัณหา จึงไม่มี
เมื่อไม่มีตัณหา คติในการเวียนมาจึงไม่มี
เมื่อไม่มีคติในการเวียนมา จุติและ อุปบัติจึงไม่มี
เมื่อไม่มีจุติและอุปบัติ ชาติ ชราและมรณะ โสกปริเทว ทุกขโทมนัส และอุปายาส ต่อไปจึงดับ
ความดับ แห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้



(ชุด 5 เล่มจากพระโอษฐ์)

ความเกิดขึ้นแห่งภพใหม่


ภิกษุทั้งหลาย !
ถ้าบุคคลย่อมคิด (เจเตติ) ถึงสิ่งใดอยู่ ย่อมดําริ (ปกปุเปติ) ถึงสิ่งใดอยู่ และย่อม มีจิตฝังลงไป (อนุเสติ) ในสิ่งใดอยู่ สิ่งนั้นย่อมเป็นอารมณ์เพื่อการตั้งอยู่แห่ง วิญญาณ เมื่ออารมณ์มีอยู่ ความตั้งขึ้นเฉพาะแห่งวิญญาณ ย่อมมี เมื่อวิญญาณนั้น ตั้งขึ้นเฉพาะเจริญงอกงามแล้ว ความเกิดขึ้นแห่งภพใหม่ต่อไปย่อมมี เมื่อความเกิดขึ้น แห่งภพใหม่ ต่อไป มีอยู่ ชาติชรามรณะ โสกะปริเทวะ ทุกขะโทมนัส อุปายาส ทั้งหลาย จึงเกิดขึ้น ครบถ้วน ความเกิดขึ้นพร้อมแห่ง กองทุกข์ ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการ อย่างนี้

ภิกษุทั้งหลาย !
ถ้าบุคคล ย่อมไม่คิด (โนเจเตติ) ถึงสิ่งใด ย่อมไม่ดําริ (โน ปกปเปติ) ถึงสิ่งใด แต่เขายังมีจิตฝังลงไป (อนุเสติ) ในสิ่งใดอยู่ สิ่งนั้นย่อมเป็นอารมณ์ เพื่อการตั้งอยู่ แห่ง วิญญาณ เมื่ออารมณ์ มีอยู่ ความตั้งขึ้นเฉพาะแห่งวิญญาณ ย่อมมี เมื่อวิญญาณ นั้น ตั้งขึ้นเฉพาะ เจริญงอกงามแล้ว ความเกิดขึ้นแห่งภพใหม่ต่อไป ย่อมมี เมื่อความ เกิดขึ้นแห่ง ภพใหม่ต่อไป มีอยู่ ชาติชรามรณะ โสกะปริเทวะ ทุกขะโทมนัส อุปายาส ทั้งหลาย ย่อมเกิดขึ้นครบถ้วน ความเกิดขึ้นพร้อม แห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วย อาการอย่างนี้

ภิกษุทั้งหลาย !
ก็ถ้าว่าบุคคล ย่อมไม่คิดถึงสิ่งใดด้วย ย่อมไม่ดําริถึงสิ่งใดด้วย และย่อมไม่มีจิต ฝังลงไป (โน อนุเสติ) ในสิ่ง ใดด้วย ในกาลใด ในกาลนั้น สิ่งนั้น ย่อมไม่เป็นอารมณ์ เพื่อการตั้งอยู่แห่ง วิญญาณได้เลย เมื่ออารมณ์ไม่มี ความตั้งขึ้นเฉพาะแห่งวิญญาณ ย่อมไม่มี เมื่อวิญญาณนั้น ไม่ตั้งขึ้นเฉพาะ ไม่เจริญงอกงามแล้ว ความเกิดขึ้นแห่ง ภพใหม่ต่อไป ย่อมไม่มี เมื่อความเกิดขึ้น แห่งภพใหม่ ต่อไป ไม่มี ชาติชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัส อุปายาสทั้งหลาย จึงดับสิ้น ความดับลงแห่งกองทุกข์ ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้ ดังนี้แล.
นิทาน. ส. ๑๖/๒๘/๑๔๔.

 





พุทธวจน : อ่านคำสอนพระศาสดา อ่านแบบสบายตา โดยคัดลอกหนังสือทั้งเล่มมาจัดทำเป็นเว็บเพจ (คลิกอ่านพร้อมดาวน์โหลดไฟล์ pdf)
90 90 90 90
พุทธประวัติ ขุมทรัพย์ อริยสัจ
ภาคต้น
อริยสัจ
ภาคปลาย
ปฏิจจ ปฐมธรรม ตถาคต อนาคามี อินทรีย์
สังวร
สัตว์
สัตตานัง
ทาน
สกทาคามี
ฆราวาส
ชั้นเลิศ
มรรควิธี
ที่ง่าย
อริยวินัย เดรัจฉานวิชา กรรม สมถะ
วิปัสสนา
โสดาบัน นา
ปานสติ
จิต มโน
วิญญาณ
ก้าวย่าง
อย่างพุทธะ
ตามรอย
ธรรม
ภพ ภูมิ
พุทธวจน
สาธยาย
ธรรม
สังโยชน์