เว็บไซต์ อนาคามี เผยแพร่ พุทธวจน คำสอนของพระศาสดา คำสอนตถาคต รวมพระสูตรสำคัญ อนาคามี เว็บไซต์เผยแพร่คำสอนของพระพุทธเจ้า
 
ค้นหาคำที่ต้องการ          

 
  ปฏิจจสมุปบาท ที่ตรัสระคนกับปัญจุปาทานขันธ์ 1110
 
 

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! เธอทั้งหลาย จะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร
รูปเที่ยง หรือ ไม่เที่ยง?
ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า !
ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้น เป็นทุกข์หรือ ?
เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า !
ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือหนอที่จะตามเห็น สิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา?
ข้อนั้น หามิได้ พระเจ้าข้า !
(ในกรณีแห่งเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็มีการถามตอบด้วยข้อความ อย่างเดียวกัน ทุกตัวอักษร กับในกรณีแห่งรูป ต่างกันแต่ชื่อแห่งขันธ์ แต่ละขันธ์ เท่านั้น.)


ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! เพราะเหตุนั้น ในเรื่องนี้
รูปอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็น อดีต อนาคต และปัจจุบัน อันมีอยู่ในภายในหรือ ภายนอกก็ดี หยาบหรือละเอียดก็ดี เลวหรือปราณีตก็ดี อยู่ห่างไกลหรืออยู่ใกล้ก็ดี รูปทั้งหมดนั้น อันเธอ ทั้งหลาย พึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบตรงตามที่เป็นจริง อย่างนี้ว่า “นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตน ของเรา” ดังนี้
(ในกรณีแห่งเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็มีการถามตอบด้วยข้อความ อย่างเดียวกัน ทุกตัวอักษร)


ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย !
อริยสาวก ผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่าย แม้ในรูป แม้ในเวทนา แม้ในสัญญา แม้ในสังขารทั้งหลาย แม้ในวิญญาณ

อริยสาวก นั้น
เมื่อเบื่อหน่าย- ย่อมคลายกำหนัด
เพราะความคลายกำหนัด- ย่อมหลุดพ้น
เมื่อหลุดพ้นแล้ว- ย่อมมีญาณหยั่งรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว

อริยสาวกนั้น ย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า
“ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์ อันเราอยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ได้ทำสำเร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็น อย่างนี้ มิได้มีอีก” ดังนี้ แล

   เรื่องสำคัญของพระพุทธเจ้า
   การบำเพ็ญบารมีในอดีตชาติ
   การประสูติ แสงสว่าง แผ่นดินไหว
   แสวงหาสัจจะ บำเพ็ญทุกรกิริยา
   ปัญจวัคคีย์หลีก สิ่งที่ตรัสรู้
   ตรัสรู้ แสดงเทศนาปัญจวัคคีย์
   ปลงสังขาร ปรินิพพาน
   ลำดับขั้นการปรินิพพาน
   เทวดาแสดงฤทธิ์ขณะถวายเพลิง
   แบ่งพระสรีระออกเป็น ๘ ส่วน
 


ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ์ หน้า 141 สูตรที่ ๘ ขัชชนิยวรรค ขันธสังยุตต์ ขนฺธ. สํ. ๑๗/๑๑๓/๑๖๗, ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลาย ที่นิโครธารามใกล้เมืองกบิลพัสดุ์.


ปฏิจจสมุปบาท ที่ตรัสระคนกับปัญจุปาทานขันธ์


      เรื่องในนครกบิลพัสดุ์  

     เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงขับภิกษุสงฆ์หมู่หนึ่ง ผู้ละโมบในลาภสักการะ ให้ออกไปพ้นแล้ว ภายหลังทรงรำพึง เมื่อภิกษุเหล่านี้มิได้เห็นพระศาสดาก็จะหมุน ไปผิด เหมือนลูกโคไร้แม่ จึงน้อมพระทัยไปในทางที่จะ ว่ากล่าวตักเตือน ด้วยพระทัย อันอนุเคราะห์ ในลักษณะที่บาลีใช้สำนวนว่า สหัมบดีพรหม เข้ามาอ้อนวอนให้ทรง กระทำเช่นนั้น จึงทรงบันดาล ด้วยอิทธาภิสังขาร ให้ภิกษุเหล่านั้น กล้าเข้ามาเฝ้า พระองค์ ทีละรูปสองรูป จนกระทั่งครบถ้วนแล้ว จึงตรัสพระพุทธพจน์นี้

     ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! อาชีพต่ำที่สุดในบรรดาอาชีพทั้งหลาย คือการขอทาน

     ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! คำสาปแช่งอย่างยิ่งในโลกนี้คือ คำสาปแช่งว่า “แกถือกระเบื้องในมือเที่ยวขอทานเถอะ” ดังนี้

     ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! กุลบุตรทั้งหลาย เข้าถึงอาชีพนี้ เป็นผู้เป็นไปในอำนาจ แห่ง ประโยชน์ เพราะอาศัยอำนาจแห่งประโยชน์ ไม่ใช่เป็นคนหนีราชทัณฑ์ ไม่ใช่เป็น ขอให้โจรปล่อยตัวไปบวช ไม่ใช่เป็นคนหนีหนี้ ไม่ใช่เป็นคนหนีภัย ไม่ใช่เป็นคนไร้ อาชีพ จึงบวช อีกอย่างหนึ่ง กุลบุตรนี้บวชแล้ว โดยที่คิดเช่นนี้ว่า เราทั้งหลาย เป็นผู้ถูก หยั่งเอาแล้ว โดยชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาสทั้งหลาย เป็นผู้อันความทุกข์หยั่งเอาแล้ว มีความทุกข์เป็นเบื้องหน้า แล้ว ทำไฉน การทำที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ จะพึงปรากฏแก่เรา ดังนี้.

     ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! แต่ว่า กุลบุตรผู้บวชแล้วอย่างนี้ กลับเป็นผู้มากไปด้วย อภิชฌา(โลภ) มีราคะแก่กล้าในกามทั้งหลาย มีจิตพยาบาท มีความดำริแห่งใจเป็นไป ในทางประทุษร้าย มีสติอันลืมหลงแล้ว ไม่มีสัมปชัญญะ มีจิตไม่ตั้งมั่นแล้ว มีจิตหมุน ไปผิดแล้ว มีอินทรีย์อันตนไม่สำรวมแล้ว.

     ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! เปรียบเหมือนดุ้นฟืนจากเชิงตะกอนที่เผาศพ ยังมีไฟติดอยู่ ทั้งสอง ตรงกลางก็เปื้อนอุจจาระ ย่อมใช้ประโยชน์เป็นไม้ในบ้านเรือนก็ไม่ได้ ย่อมใช้ประโยชน์เป็นไม้ในป่าก็ไม่ได้ ข้อนี้ฉันใด

     ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! เรากล่าวบุคคลนี้ว่ามีอุปมาเช่นนั้น คือ เป็นผู้เสื่อมจาก โภคะ แห่ง คฤหัสถ์ ด้วย ไม่ทำประโยชน์แห่งสมณะให้บริบูรณ์ ด้วย.

     ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! อกุศลวิตก (ความตริตรึกอันเป็นอกุศล) ๓ อย่างเหล่านี้ มีอยู่ กล่าวคือ กามวิตก (ความตริตรึกในทางกาม) พยาบาทวิตก (ความตริตรึก ในทางพยาบาท) วิหิงสาวิตก (ความตริตรึกในทางทำผู้อื่นให้ลำบากโดยไม่เจตนา)

     ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! อกุศลวิตกทั้ง ๓ อย่างนี้ ย่อมดับไปโดยไม่เหลือ เมื่อบุคคลมีจิตตั้งมั่นแล้วด้วยดี ในสติปัฎฐานทั้ง ๔  หรือว่า เมื่อบุคคลเจริญอยู่ซึ่ง สมาธิ อันหานิมิตมิได้.  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ประโยชน์เพียงเท่านี้ก็พอแล้ว เพื่อการเจริญสมาธิอันหานิมิต มิได้.

      ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! อนิมิตตสมาธิ(สมาธิที่ไม่มีนิมิต) อันบุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นสมาธิ มีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่.

     ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! ทิฏฐิทั้งหลาย ๒ อย่างเหล่านี้ มีอยู่ กล่าวคือ ภวทิฏฐิ และ วิภาวทิฏฐิ

     ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! ในกรณีแห่งทิฏฐิทั้งสองอย่างนั้น อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว ย่อมพิจารณาด้วยอาการอย่างนี้ว่า “ในโลกนี้ มีสิ่งใด ๆ บ้างไหมหนอ ที่เมื่อเรา ยึดถืออยู่ เราจักเป็นผู้หาโทษมิได้ ? ” ดังนี้

     อริยสาวกนั้น ย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า “ในโลกนี้ ไม่มีสิ่งใด ๆ เลย ที่เมื่อเรายึดถืออยู่ เราจักเป็นผู้หาโทษมิได้” (นตฺถิ นุ โข ตํ กิญฺจิ โลกสฺมึ ยมหํ อุปาทิยมาโน นวชฺชวา อสฺสํ) ดังนี้

     อริยสาวกนั้น ย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า “เราเมื่อยึดถือ ก็ยึดถือซึ่งรูปนั่นเอง ซึ่งเวทนา นั่นเอง ซึ่งสัญญานั่นเอง ซึ่งสังขารทั้งหลายนั่นเอง ซึ่งวิญญาณนั่นเอง เพราะความ ยึดถือ (อุปาทาน) ของเรานั้นเป็นปัจจัย ก็จะพึงมีภพ เพราะมีภพเป็นปัจจัย ก็จะพึงมี ชาติ เพราะมีชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาส ทั้งหลาย ก็จะพึงมี ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ พึงมี ด้วยอาการอย่างนี้”.

     ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! เธอทั้งหลาย จะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร

รูปเที่ยง หรือ ไม่เที่ยง?
ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า !

ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้น เป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า?
เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า !

ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือหนอที่จะตามเห็น สิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา?
ข้อนั้น หามิได้ พระเจ้าข้า !

(ในกรณีแห่งเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็มีการถามตอบด้วยข้อความ อย่างเดียวกัน ทุกตัวอักษร กับในกรณีแห่งรูป ต่างกันแต่ชื่อแห่งขันธ์ แต่ละขันธ์ เท่านั้น.)

     ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! เพราะเหตุนั้น ในเรื่องนี้

รูปอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีตอนาคต และปัจจุบัน อันมีอยู่ในภายในหรือ ภายนอกก็ดี หยาบหรือละเอียดก็ดี เลวหรือปราณีตก็ดี อยู่ห่างไกลหรืออยู่ใกล้ก็ดี รูปทั้งหมดนั้น อันเธอทั้งหลายพึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบตรงตามที่เป็นจริง (ยถาภูตสัมมัปปัญญา) อย่างนี้ว่า “นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตน ของเรา” ดังนี้

เวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน อันมีอยู่ในภายใน หรือ ภายนอกก็ดี หยาบหรือละเอียดก็ดี เลวหรือปราณีตก็ดี อยู่ห่างไกลหรืออยู่ใกล้ก็ดี เวทนาทั้งหมดนั้น อันเธอทั้งหลาย พึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบตรงตามที่เป็นจริง อย่างนี้ว่า “นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา”ดังนี้.

สัญญา อย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน อันมีอยู่ในภายใน หรือภายนอกก็ดี หยาบหรือละเอียดก็ดี เลวหรือปราณีตก็ดี อยู่ห่างไกลหรืออยู่ใกล้ก็ดี สัญญาทั้งหมดนั้นอันเธอทั้งหลาย พึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบตรงตามที่เป็นจริง อย่างนี้ว่า “นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา” ดังนี้

สังขารทั้งหลาย เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน อันมีอยู่ใน ภายในหรือภายนอกก็ดี หยาบหรือละเอียดก็ดี เลวหรือปราณีตก็ดี อยู่ห่างไกล หรืออ ยู่ใกล้ก็ดี สังขารทั้งหมดนั้นอันเธอทั้งหลาย พึงเห็นด้วยปัญญา อันชอบตรงตามที่ เป็นจริง อย่างนี้ ว่า “นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา” ดังนี้.

วิญญาณ อย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน อันมีอยู่ในภายใน หรือภายนอกก็ดี หยาบหรือละเอียดก็ดี เลวหรือปราณีตก็ดี อยู่ห่างไกลหรืออยู่ใกล้ก็ดี วิญญาณทั้งหมดนั้น อันเธอทั้งหลายพึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบตรงตามที่เป็นจริง อย่างนี้ว่า “นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา” ดังนี้.

     ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! อริยสาวก ผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่าย แม้ในรูป แม้ในเวทนา แม้ในสัญญา แม้ในสังขารทั้งหลาย แม้ในวิญญาณ อริยสาวก นั้น เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด เพราะความคลายกำหนัด ย่อมหลุดพ้น เมื่อหลุดพ้นแล้ว ย่อมมีญาณหยั่งรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว

     อริยสาวกนั้น ย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า “ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์ อันเราอยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ได้ทำสำเร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้ มิได้มีอีก” ดังนี้ แล.

ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ์ หน้า 141
สูตรที่ ๘ ขัชชนิยวรรค ขันธสังยุตต์ ขนฺธ. สํ. ๑๗/๑๑๓/๑๖๗, ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลาย ที่นิโครธารามใกล้เมืองกบิลพัสดุ์.


 
พุทธวจน : อ่านคำสอนพระศาสดา อ่านแบบสบายตา โดยคัดลอกหนังสือทั้งเล่มมาจัดทำเป็นเว็บเพจ (คลิกอ่านพร้อมดาวน์โหลดไฟล์ pdf)
90 90 90 90
พุทธประวัติ ขุมทรัพย
อริยสัจ
ภาคต้น
อริยสัจ
ภาคปลาย
ปฏิจจ ปฐมธรรม ตถาคต อนาคามี อินทรีย์
สังวร
สัตว์
สัตตานัง
ทาน
สกทาคามี
ฆราวาส
ชั้นเลิศ
มรรควิธี
ที่ง่าย
 
อริยวินัย เดรัจฉานวิชา กรรม สมถะ
วิปัสสนา
โสดาบัน นา
ปานสติ
จิต มโน
วิญญาณ
ก้าวย่าง
อย่างพุทธะ
ตามรอย
ธรรม
ภพ ภูมิ
พุทธวจน
สาธยาย
ธรรม
สังโยชน์