|
อริยสัจจากพระโอษฐ์
หน้า 111-114
อริยสัจ หลายนัยยะ
1) ประเภทหรือเค้าโครงของอริยสัจ
หลักอริยสัจมีอย่างเดียว แต่คำอธิบายมีปริยายมากมาย
ภิกษุ ท. ! ความจริงอันประเสริฐ ว่า “ นี้เป็น ทุกข์.. นี้เป็น เหตุให้เกิดทุกข์.. นี้เป็น ความดับไม่เหลือของทุกข์.. และนี้เป็นทาง ดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือ ของทุกข์..” ดังนี้
เป็นสิ่งที่เราได้บัญญัติแล้ว : แต่ในความจริงนั้น การพรรณาความ การกำหนด บทพยัญชนะ และการจำแนกเพื่อพิสดาร มีมากจนประมาณไม่ได้ (อปริมาณา วณฺณา อปริมาณา พฺยญฺชนาอปริมาณา สงฺกาสนา) ว่าปริยายเช่นนี้ๆ เป็นความจริงคือทุกข์ ถึงแม้เช่นนี้ก็เป็นความจริงคือทุกข์ ฯลฯ.
ภิกษุ ท. ! เพราะเหตุนั้นในกรณีนี้ พวกเธอพึงทำความเพียรเพื่อให้รู้ตามเป็นจริง ว่า “นี้เป็นทุกข์ นี้เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ นี้เป็น ความดับไม่เหลือของทุกข์ และนี้เป็นทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์ ” ดังนี้เถิด.
2) อริยสัจสี่โดยสังเขป
(นัยทั่วไป)
ภิกษุ ท. ! นี้แลคือ ความจริงอันประเสริฐ เรื่องความทุกข์ คือ ความเกิด ก็เป็นทุกข์ ความแก่ ก็เป็นทุกข์ ความเจ็บไข้ ก็เป็นทุกข์ ความตาย ก็เป็นทุกข์, ความประจวบกับสิ่งที่ไม่รัก เป็นทุกข์ ความพลัดพรากจากสิ่งที่รัก เป็นทุกข์ ความปรารถนาสิ่งใดแล้วไม่ได้สิ่งนั้น เป็นทุกข์, กล่าวโดยย่อ
ขันธ์ห้าที่ประกอบด้วย อุปาทาน เป็นทุกข์.
ภิกษุ ท. ! นี้แลคือ ความจริงอันประเสริฐ เรื่องแดนเกิดของความทุกข์ คือ ตัณหา
อันเป็นเครื่องทำให้มีการเกิดอีก อันประกอบอยู่ด้วยความกำหนัด ด้วยอำนาจ ความเพลิน อันเป็นเครื่องให้เพลิดเพลินอย่างยิ่งในอารมณ์นั้นๆ ได้แก่ตัณหาในกาม ตัณหาในความมีความเป็น ตัณหาในความไม่มีไม่เป็น
ภิกษุ ท. ! นี้แลคือ ความจริงอันประเสริฐ เรื่องความดับไม่เหลือของความทุกข์ คือความดับสนิท เพราะจางไป โดยไม่มีเหลือ ของตัณหานั้นนั่นเอง คือความสละทิ้ง ความสลัดคืน ความปล่อย ความทำไม่ให้มีที่อาศัย ซึ่งตัณหานั้น.
ภิกษุ ท. ! นี้แลคือ ความจริงอันประเสริฐ เรื่องข้อปฏิบัติอันทำสัตว์ให้ลุถึง ความดับ ไม่เหลือของความทุกข์ คือข้อปฏิบัติ อันเป็นหนทางอันประเสริฐ อันประกอบด้วย องค์แปดประการนี้ ได้แก่ความเห็นที่ถูกต้อง ความดำริที่ถูกต้อง การ พูดจาที่ถูกต้อง การทำการงานที่ถูกต้อง การอาชีพที่ถูกต้อง ความพากเพียร ที่ถูกต้อง ความรำลึกที่ถูกต้อง ความตั้งใจมั่น ที่ถูกต้อง.
3) อริยสัจสี่โดยสังเขป(อีกนัยหนึ่ง)
(ทรงแสดงด้วยปัญจุปาทานขันธ์)
ภิกษุ ท. ! ความจริงอันประเสริฐมีสี่อย่างเหล่านี้. สี่อย่างเหล่าไหนเล่า ? สี่อย่างคือ ความจริงอันประเสริฐ คือทุกข์, ความจริงอัน ประเสริฐคือเหตุให้เกิดทุกข์, ความจริงอันประเสริฐ คือความดับไม่เหลือของทุกข์, และความจริงอันประเสริฐ คือทางดำเนินให้ถึง ความดับไม่เหลือของทุกข์.
ภิกษุ ท. ! ความจริงอันประเสริฐ คือทุกข์ เป็นอย่างไรเล่า? คำตอบคือ ขันธ์อันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่นถือมั่นห้าอย่าง. ห้าอย่างนั้น อะไรเล่า ? ห้าอย่างคือ ขันธ์อันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่นถือมั่น ได้แก่ รูป เวทนาสัญญา สังขาร และ วิญญาณ. ภิกษุ ท. ! อันนี้ เรากล่าวว่า ความจริงอันประเสริฐ คือทุกข์.
ภิกษุ ท. ! ความจริงอันประเสริฐ คือเหตุให้เกิดทุกข์ เป็นอย่างไรเล่า ? คือตัณหาอันใดนี้ ที่เป็นเครื่องนำให้มีการเกิดอีก อันประกอบด้วยความกำหนัด เพราะอำนาจความเพลิน มักทำให้เพลิดเพลินยิ่งในอารมณ์นั้น ๆ ได้แก่ตัณหาในกาม, ตัณหาใน ความมีความเป็น, ตัณหาในความไม่มีไม่เป็น. ภิกษุ ท. ! อันนี้ เรากล่าวว่า ความจริงอันประเสริฐ คือ เหตุให้เกิด ทุกข์.
ภิกษุ ท. ! ความจริงอันประเสริฐ คือความดับไม่เหลือของทุกข์เป็นอย่างไรเล่า ? คือความดับสนิทเพราะความจางคลายไป โดยไม่เหลือของตัณหานั้น ความสละ ลงเสีย ความสลัดทิ้งไป ความปล่อยวาง ความไม่อาลัยถึงซึ่งตัณหานั่นเอง อันใด. ภิกษุ ท. ! อันนี้ เรากล่าวว่าความจริงอันประเสริฐคือความดับไม่เหลือ ของทุกข์.
ภิกษุ ท. ! ความจริงอันประเสริฐ คือทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือ ของทุกข์ เป็นอย่างไรเล่า ? คือหนทาง อันประเสริฐ ประกอบด้วยองค์๘ นี้นั่นเอง ได้แก่สิ่งเหล่านี้คือ ความเห็นชอบ ความดำริชอบ การพูดจาชอบ การทำการงานชอบ การเลี้ยง ชีวิตชอบ ความพากเพียรชอบ ความระลึกชอบ ความตั้งใจมั่นชอบ
ภิกษุ ท. ! อันนี้ เรากล่าวว่า ความจริงอันประเสริฐ คือทางดำเนินให้ถึง ความดับ ไม่เหลือของทุกข์. ภิกษุ ท. ! เหล่านี้แลคือ ความจริงอันประเสริฐสี่อย่าง. ภิกษุ ท. ! เพราะเหตุนั้น ในกรณีนี้ พวกเธอพึงทำความเพียรเพื่อให้รู้ตามเป็นจริงว่า “นี้เป็นทุกข์ นี้เป็นเหตุให้เกิดขึ้นแห่งทุกข์ นี้เป็นความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ นี้เป็นทางดำเนินให้ถึง ความดับไม่เหลือ แห่งทุกข์ ”ดังนี้เถิด
4) อริยสัจสี่โดยสังเขป (อีกนัยหนึ่ง)
(ทรงแสดงด้วยอายตนะหก)
ภิกษุ ท. ! อริยสัจมีสี่อย่างเหล่านี้.. สี่อย่างเหล่าไหนเล่า ? สี่อย่างคือ อริยสัจคือทุกข์ อริยสัจคือทุกขสมุทัย อริยสัจคือ ทุกขนิโรธ อริยสัจคือทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา.
ภิกษุ ท. ! อริยสัจคือทุกข์ เป็นอย่างไรเล่า ? ควรจะกล่าวว่าได้แก่อายตนะภายในหก. อายตนะภายในหก เหล่าไหนเล่า ? คือจักขุอายตนะโสตะอายตนะ ฆานะอายตนะ ชิวหาอายตนะ กายะอายตนะ มนะอายตนะ. ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่า อริยสัจ คือทุกข์.
ภิกษุ ท. ! อริยสัจคือทุกขสมุทัย เป็นอย่างไรเล่า ? คือตัณหาอันใดนี้ ที่เป็นเครื่องนำให้มีการเกิดอีก อันประกอบด้วย ความกำหนัดเพราะอำนาจ ความเพลิน มักทำให้เพลิดเพลินยิ่งในอารมณ์นั้น ๆ ได้แก่ กามตัณหาภวตัณหา วิภวตัณหา ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่า อริยสัจคือทุกขสมุทัย
ภิกษุ ท. ! อริยสัจคือทุกขนิโรธ เป็นอย่างไรเล่า ? คือความดับสนิท เพราะความ จางคลายไปโดยไม่เหลือของตัณหานั้น ความสละทิ้ง ความสลัดคืน ความปล่อยวาง ความไม่อาลัยถึง ซึ่งตัณหานั่นเอง ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่า อริยสัจคือทุกขนิโรธ
ภิกษุ ท. ! อริยสัจคือทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา เป็นอย่างไรเล่า? คือหนทางอันประเสริฐ ประกอบด้วย องค์แปดประการนี้นั่นเอง ได้แก่สิ่งเหล่านี้คือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ. ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่า อริยสัจคือทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา
ภิกษุ ท. ! เหล่านี้แล อริยสัจ ๔ อย่าง.
ภิกษุ ท. ! เพราะเหตุนั้น ในเรื่องนี้ เธอพึงประกอบโยคกรรมอันเป็นเครื่องกระทำ ให้รู้ว่า “ทุกข์ เป็นอย่างนี้, ทุกขสมุทัย เป็นอย่างนี้ ทุกข-นิโรธ เป็นอย่างนี้ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา เป็นอย่างนี้ ” ดังนี้.
5) ทรงวางลำดับแห่งอริยสัจ อย่างตายตัว
....แน่ะภิกษุ ! ถูกแล้ว, ถูกแล้ว. แน่ะภิกษุ ! เธอจำอริยสัจสี่ประการ อันเราแสดงไว้แล้วโดยถูกต้อง คือ :
เราแสดงอริยสัจ คือทุกข์ ไว้เป็นข้อที่หนึ่ง
แสดงอริยสัจ คือเหตุให้เกิดทุกข์ ไว้เป็นข้อที่สอง
แสดงอริยสัจ คือความดับไม่เหลือของทุกข์ ไว้เป็นข้อที่สาม
และแสดงอริยสัจ คือทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์ ไว้เป็นข้อที่สี่ แน่ะภิกษุ ! เธอจงทรงจำ
อริยสัจสี่ไว้โดยประการที่เราแสดงนั้นๆ เถิด. แน่ะภิกษุ ! เพราะเหตุนั้น ในกรณีนี้ พวกเธอพึง ทำความเพียร เพื่อให้รู้ตามเป็นจริงว่า “นี้เป็นทุกข์ นี้เป็นเหตุให้เกิดขึ้น แห่งทุกข์ นี้เป็นความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ นี้เป็นทางดำเนิน ให้ถึงความดับไม่เหลือ แห่งทุกข์ ”ดังนี้เถิด.
6) อริยสัจสี่ในรูปแบบพิเศษ
ภิกษุ ท. ! ธรรม ๔ ประการเหล่านี้ มีอยู่.
สี่ประการคืออะไรเล่า? สี่ประการคือ
ธรรมที่ควรรอบรู้ ด้วยปัญญาอันยิ่ง มีอยู่
ธรรมที่ควรละ ด้วยปัญญาอันยิ่ง มีอยู่
ธรรมที่ควรกระทำให้เจริญ ด้วยปัญญาอันยิ่ง มีอยู่
ธรรมที่ควรกระทำให้แจ้ง ด้วยปัญญาอันยิ่ง มีอยู่.
ภิกษุ ท. ! ธรรมที่ควรรอบรู้ ด้วยปัญญาอันยิ่ง เป็นอย่างไรเล่า? อุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้เรากล่าวว่า เป็นธรรมที่ควรรอบรู้ ด้วยปัญญาอันยิ่ง.
ภิกษุ ท. ! ธรรมที่ควรละ ด้วยปัญญาอันยิ่ง เป็นอย่างไรเล่า? อวิชชา และ ภวตัณหา เหล่านี้เรากล่าวว่า เป็นธรรมที่ควรละด้วยปัญญาอันยิ่ง.
ภิกษุ ท. ! ธรรมที่ควรกระทำให้เจริญ ด้วยปัญญาอันยิ่ง เป็นอย่างไรเล่า? สมถะ และ วิปัสสนา เหล่านี้เรากล่าวว่า เป็นธรรมที่ควรกระทำให้เจริญด้วยปัญญาอันยิ่ง.
ภิกษุ ท. ! ธรรมที่ควรกระทำให้แจ้ง ด้วยปัญญาอันยิ่ง เป็นอย่างไรเล่า? วิชชา และ วิมุตติ เหล่านี้เรากล่าวว่า เป็นธรรมที่ควรกระทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่ง.
ภิกษุ ท. ! ธรรม ๔ ประการเหล่านี้แล มีอยู่.
|