|   | 
                      พระไตรปิฎก ฉบับหลวง  เล่มที่  ๑๓ หน้า ๓๔๙ ข้อ (๕๑๑) 
                         
                        เปรียบบุคคลด้วยดอกบัว ๓ เหล่า 
                         
                                     [๕๑๑]  ดูกรราชกุมาร ครั้นอาตมภาพทราบว่า ท้าวสหัมบดีพรหม อาราธนา และอาศัยความกรุณาในสัตว์ทั้งหลาย  จึงตรวจดูโลกด้วยพุทธจักษุ.  
   
                        เมื่ออาตมภาพตรวจดูโลกด้วยพุทธจักษุ ก็ได้เห็นหมู่สัตว์ซึ่งมีกิเลสดุจธุลี ในจักษุน้อยก็มี  มีกิเลสดุจธุลีในจักษุมากก็มี มีอินทรีย์แก่กล้าก็มีมีอินทรีย์อ่อนก็มี  มีอาการดีก็มี มีอาการเลวก็มี จะพึงสอนให้รู้ได้ง่ายก็มี จะพึงสอนให้รู้ได้ยากก็มี  บางพวกมีปกติ เห็นโทษในปรโลกโดยเป็นภัยอยู่ก็มี  
                         
                        เปรียบเหมือน ในกอบัวขาบ ในกอบัวหลวง  หรือในกอบัวขาว  
                        ดอกบัวขาบ ดอกบัวหลวง หรือดอกบัวขาว ซึ่งเกิดในน้ำ เจริญในน้ำ  
                               * บางเหล่ายังไม่พ้นน้ำ  จมอยู่ในน้ำ น้ำหล่อเลี้ยงไว้  
                               * บางเหล่าตั้งอยู่เสมอน้ำ  
                               * บางเหล่าตั้งขึ้นพ้นน้ำ  น้ำไม่ติด ฉันใด  
   
                        ดูกรราชกุมาร เมื่ออาตมภาพตรวจดูโลกด้วยพุทธจักษุ ก็ฉันนั้น
                        ได้เห็นหมู่สัตว์ซึ่งมี 
                        กิเลสดุจธุลีในจักษุน้อยก็มี  
                        มีกิเลสดุจธุลีในจักษุมากก็มี มีอินทรีย์แก่กล้าก็มี มีอินทรีย์อ่อนก็มี  มีอาการดีก็มี มีอาการเลวก็มี จะพึงสอนให้รู้ได้ง่ายก็มี จะพึงสอน ให้รู้ได้ยากก็มี  บางพวกมีปกติเห็นโทษในปรโลกโดยเป็นภัยอยู่ก็มี.  
   
                        ดูกรราชกุมาร ครั้งนั้นอาตมภาพได้กล่าวรับท้าวสหัมบดีพรหมด้วยคาถาว่า 
                        ดูกรพรหม เราเปิดประตูอมตนิพพานแล้ว เพื่อสัตว์ทั้งหลายผู้มีโสต จงปล่อยศรัทธามาเถิด เราสำคัญว่าจะลำบาก จึงไม่กล่าวธรรมอันคล่องแคล่ว  ประณีต ในมนุษย์ทั้งหลาย. 
   
                        ลำดับนั้น ท้าวสหัมบดีพรหมทราบว่า  พระผู้มีพระภาคทรงเปิดโอกาส เพื่อจะแสดง ธรรมแล้ว จึงอภิวาทอาตมภาพ ทำประทักษิณแล้ว  หายไปในที่นั้นเอง. 
                         
                        ........................................................................................................................................  
                         
                        บัว 4 เหล่า (บุคคล 4 จำพวก) ตามพระไตรปิฎกฉบับอรรถกถา เป็นการบัญญัติเพิ่ม จากคำสอนของพระศาสดาที่บัญญัติไว้เพียง 3 เหล่า (อุปมาบุคลล 3 จำพวก) ซึ่งปรากฎตามหนังสือเรียนระดับประถมศึกษา ของกระทรวงศึกษา และหนังสือ
                         พจนานุกรมพุทธศาสน์ 
                         ฉบับประมวลศัพท์ โดย
                         พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)  
                         http://84000.org/tipitaka/dic/v_seek.php?text=%BA%D8%A4%A4%C5_%F4_1 
                          
                         บัว 4 เหล่า ตามอรรถกถา ประกอบด้วย 
                         ๑. ดอกบัวที่ตั้งขึ้นพ้นน้ำ รอสัมผัสแสงอาทิตย์ก็จะบานในวันนี้ 
๒. ดอกบัวที่ตั้งอยู่เสมอน้ำ จักบานในวันพรุ่งนี้ 
๓. ดอกบัวที่ยังอยู่ในน้ำ ยังไม่โผล่พ้นน้ำจักบานในวันต่อๆ ไป 
๔. ดอกบัวจมอยู่ในน้ำที่กลายเป็นภักษาแห่งปลาและเต่า 
 
ตัวอักษรสีแดง คือคำแต่งใหม่ ที่ไม่มีในคำสอน ซึ่งความหมายของบัว 3 เหล่า เป็นอุปมาของผู้มีอินทรีย์ แก่-อ่อน ต่างกันเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับแสงอาทิตย์ และพระองค์ไม่ได้นะบุว่าจะบาน วันนี้ พรุ่งนี้ หรือวันไหนๆ  
 
การบัญญัติเพิ่ม พระศาสดาห้ามกระทำ ตามที่พระองค์บัญญัติไว้แล้ว  
 
ภิกษุทั้งหลาย !  ภิกษุทั้งหลาย จักไม่บัญญัติสิ่งที่ไม่เคยบัญญัติ จักไม่เพิกถอน สิ่งที่บัญญัติ ไว้แล้ว, จักสมา ทานศึกษาในสิกขาบท ที่บัญญัติ ไว้แล้วอย่างเคร่งครัด อยู่เพียงใด, ความเจริญ ก็เป็นสิ่ง ที่ภิกษุทั้งหลาย หวังได้ ไม่มีความเสื่อมเลย อยู่เพียงนั้น. 
มหาปรินิพพานสูตร มหา. ที. ๑๐ / ๘๙ / ๖๙ 
พุทธประวัติจากพระโอษฐ์ น. ๔๖๕ 
 
 
                          
                           |