พระไตรปิฎกไทย(ฉบับหลวง) เล่มที่๑๗ ข้อที่ ๓๕๔-๓๕๕ มิจฉาทิฏฐิสูตร ว่าด้วยเหตุแห่งมิจฉาทิฏฐิ สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาค ประทับอยู่ ณ วิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิก เศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี. ครั้งนั้นแลพระผู้มีพระภาค ได้ตรัสเรียกภิกขุทั้งหลายว่า ดูกรภิกขุทั้งหลาย ภิกขุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกขุทั้งหลาย เมื่ออะไรมีอยู่ เพราะอาศัยอะไร เพราะยึดมั่นอะไร จึงเกิดมีมิจฉาทิฏฐิ? ภิกขุเหล่านั้นกราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรมของพวกข้า พระองค์ทั้งหลาย มีพระผู้มีพระภาคเป็นรากฐาน มีพระผู้มีพระภาคเป็นผู้นำ มีพระผู้มี พระภาคเป็นที่พึ่งอาศัย ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอเนื้อความแห่งภาษิตนี้ จงแจ่มแจ้ง กับพระผู้มีพระภาคเถิด ภิกขุทั้งหลายได้สดับต่อพระผู้มีพระภาคแล้ว จะได้ทรงจำไว้ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกขุทั้งหลาย ถ้าเช่นนั้นเธอทั้งหลายจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว ภิกขุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกขุทั้งหลาย เมื่อรูปมีอยู่ เพราะอาศัยรูป เพราะยึดมั่นรูป จึงเกิดมีมิจฉาทิฏฐิ. ดูกรภิกขุทั้งหลาย เมื่อเวทนามีอยู่ เพราะอาศัยเวทนา เพราะยึดมั่นเวทนา จึงเกิดมีมิจฉาทิฏฐิ. ดูกรภิกขุทั้งหลาย เมื่อสัญญามีอยู่ เพราะอาศัยสัญญา เพราะยึดมั่นสัญญา จึงเกิดมีมิจฉาทิฏฐิ. ดูกรภิกขุทั้งหลาย เมื่อสังขารมีอยู่ เพราะอาศัยสังขาร เพราะยึดมั่นสังขาร จึงเกิดมีมิจฉาทิฏฐิ. ดูกรภิกขุทั้งหลาย เมื่อวิญญาณมีอยู่ เพราะอาศัยวิญญาณ เพราะยึดมั่นวิญญาณ จึงเกิดมีมิจฉาทิฏฐิ. พ. ดูกรภิกขุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน รูป เที่ยงหรือไม่เที่ยง? ภิ. ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า. พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า? ภิ. เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า. พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนธรรมดา พึงเกิดมีมิจฉาทิฏฐิ เพราะไม่อาศัยสิ่งนั้นบ้างหรือ? ภิกขุเหล่านั้นกราบทูลว่า ไม่ใช่เช่นนั้น พระเจ้าข้า. พระผู้มีพระภาคตรัสถามอีกว่า ดูกรภิกขุทั้งหลาย เวทนา เที่ยงหรือไม่เที่ยง? ภิ. ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า. พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า? ภิ. เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า. พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนธรรมดา พึงเกิดมีมิจฉาทิฏฐิ เพราะไม่อาศัยสิ่งนั้นบ้างหรือ? ภิกขุเหล่านั้นกราบทูลว่า ไม่ใช่เช่นนั้น พระเจ้าข้า. พระผู้มีพระภาคตรัสถามอีกว่า ดูกรภิกขุทั้งหลาย สัญญา เที่ยงหรือไม่เที่ยง? ภิ. ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า. พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า? ภิ. เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า. พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนธรรมดา พึงเกิดมีมิจฉาทิฏฐิ เพราะไม่อาศัยสิ่งนั้นบ้างหรือ? ภิกขุเหล่านั้นกราบทูลว่า ไม่ใช่เช่นนั้น พระเจ้าข้า. พระผู้มีพระภาคตรัสถามอีกว่า ดูกรภิกขุทั้งหลาย สังขาร เที่ยงหรือไม่เที่ยง? ภิ. ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า. พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า? ภิ. เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า. พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนธรรมดา พึงเกิดมีมิจฉาทิฏฐิ เพราะไม่อาศัยสิ่งนั้นบ้างหรือ? ภิกขุเหล่านั้นกราบทูลว่า ไม่ใช่เช่นนั้น พระเจ้าข้า. พระผู้มีพระภาคตรัสถามอีกว่า ดูกรภิกขุทั้งหลาย วิญญาณ เที่ยงหรือไม่เที่ยง? ภิ. ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า. พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า? ภิ. เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า. พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา พึงเกิดมีมิจฉาทิฏฐิ เพราะไม่อาศัยสิ่งนั้นบ้างหรือ? ภิกขุเหล่านั้นกราบทูลว่า ไม่ใช่เช่นนั้น พระเจ้าข้า. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่ายแม้ใน รูป ย่อมเบื่อหน่ายแม้ใน เวทนา ย่อมเบื่อหน่ายแม้ใน สัญญา ย่อมเบื่อหน่ายแม้ใน สังขาร ย่อมเบื่อหน่ายแม้ใน วิญญาณ เมื่อเบื่อหน่ายย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัดจึงหลุดพ้น เมื่อหลุดพ้นแล้วย่อมมีญาณหยั่งรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว อริยะสาวกนั้นย่อมรู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี. เมื่อพระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระภาษิตนี้แล้ว ภิกขุเหล่านั้นชื่นชม ยินดีพระภาษิตของพระผู้มีพระภาค ด้วยประการฉะนี้แล.