พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๖ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑-๒
อภิสมัยสังยุตต์
พุทธวรรคที่ ๑
๑. เทศนาสูตร
[๑] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ณ ที่นั้น พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้น ทูลรับพระผู้มีพระภาคว่า พระพุทธเจ้าข้า พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสพระพุทธดำรัสนี้ว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงปฏิจจสมุปบาท แก่พวกเธอ พวกเธอจงฟัง ปฏิจจสมุปบาทนั้น จงใส่ใจให้ดีเถิด เราจักกล่าว ภิกษุเหล่านั้นทูลรับ พระผู้มีพระภาค แล้ว
[๒] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ปฏิจจสมุปบาทเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมี วิญญาณ เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ เพราะสฬายตนะ เป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา เพราะเวทนา เป็นปัจจัย จึงมีตัณหา เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ เพราะภพเป็นปัจจัยจึงมีชาติ เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ โสกปริเทว ทุกขโทมนัส และอุปายาส ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ นี้เราเรียกว่าปฏิจจสมุปบาท
[๓] ก็เพราะอวิชชานั่นแหละ ดับด้วยการสำรอกโดยไม่เหลือ สังขารจึงดับ เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ เพราะผัสสะดับเวทนาจึงดับ เพราะเวทนาดับ ตัณหาจึงดับ เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดับเพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ เพราะภพดับ ชาติจึงดับ เพราะชาติดับ ชราและมรณะโสกปริเทวทุกขโทมนัส และอุปายาสจึงดับ ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธภาษิตนี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นมีใจยินดีชื่นชมภาษิต ของพระผู้มีพระภาคแล้ว
จบสูตรที่ ๑
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๖ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๒-๔
๒. วิภังคสูตร
[๔] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ... พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายเราจักแสดง จักจำแนกปฏิจจสมุปบาทแก่พวกเธอ พวกเธอจงฟัง ปฏิจจสมุปบาทนั้น จงใส่ใจให้ดีเถิด เราจักกล่าว ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว
[๕] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ปฏิจจสมุปบาทเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา เพราะตัณหาเป็นปัจจัยจึงมีอุปาทาน เพราะอุปาทาน เป็นปัจจัย จึงมีภพ เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติเพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ โสกปริเทวทุกข์โทมนัสและอุปายาสความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้
[๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ชราและมรณะเป็นไฉน ความแก่ ภาวะของความแก่ ฟันหลุด ผมหงอก หนังเหี่ยว ความเสื่อมแห่งอายุ ความแก่หง่อมแห่งอินทรีย์ ในหมู่สัตว์ นั้นๆ ของเหล่าสัตว์นั้นๆ นี้เรียกว่าชรา ก็มรณะเป็นไฉน ความเคลื่อน ภาวะของความเคลื่อน ความทำลาย ความอันตรธานมฤตยู ความตาย กาลกิริยา ความแตกแห่งขันธ์ ความทอดทิ้งซากศพ ความขาดแห่งชีวิตินทรีย์ จากหมู่สัตว์นั้นๆ ของเหล่าสัตว์นั้นๆ นี้เรียกว่ามรณะ ชราและมรณะ ดังพรรณนามาฉะนี้ เรียกว่า ชราและมรณะ
[๗] ก็ชาติเป็นไฉน ความเกิด ความบังเกิด ความหยั่งลง ๑- เกิด ๒- เกิดจำเพาะ ๓- ความปรากฏแห่งขันธ์ ความได้อายตนะครบ ในหมู่สัตว์นั้นๆ ของเหล่าสัตว์นั้นๆ นี้เรียกว่าชาติ
[๘] ก็ภพเป็นไฉน ภพ ๓ เหล่านี้คือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ นี้เรียกว่าภพ
[๙] ก็อุปาทานเป็นไฉน อุปาทาน ๔ เหล่านี้คือ กามุปาทาน ทิฏฐุปาทาน สีลพัตตุปาทาน อัตตวาทุปาทาน นี้เรียกว่า อุปาทาน
[๑๐] ก็ตัณหาเป็นไฉน ตัณหา ๖ หมวดเหล่านี้คือ รูปตัณหา สัททตัณหา คันธตัณหา รสตัณหา โผฏฐัพพตัณหา ธัมมตัณหา นี้เรียกว่าตัณหา
[๑๑] ก็เวทนาเป็นไฉน เวทนา ๖ หมวดเหล่านี้คือ จักขุสัมผัสสชาเวทนา โสตสัมผัสสชาเวทนา ฆานสัมผัสสชาเวทนา ชิวหาสัมผัสสชาเวทนา
กายสัมผัสสชาเวทนา มโนสัมผัสสชาเวทนา นี้เรียกว่าเวทนา
[๑๒] ก็ผัสสะเป็นไฉน ผัสสะ ๖ หมวดเหล่านี้คือ จักขุสัมผัสโสตสัมผัส ฆานสัมผัส ชิวหาสัมผัส กายสัมผัส มโนสัมผัส นี้เรียกว่าผัสสะ
[๑๓] ก็สฬายตนะเป็นไฉน อายตนะคือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจนี้เรียกว่า สฬายตนะ
@
๑. คือเป็นชลาพุชะหรืออัณฑชปฏิสนธิ
๒. คือเป็นสังเสทชปฏิสนธิ
๓. คือเป็น
@อุปปาติกปฏิสนธิ ฯ
[๑๔] ก็นามรูปเป็นไฉน เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการนี้ เรียกว่านาม มหาภูตรูป ๔ และรูปที่อาศัยมหาภูตรูป ๔ นี้เรียกว่ารูป นามและรูปดังพรรณนามาฉะนี้ เรียกว่านามรูป
[๑๕] ก็วิญญาณเป็นไฉน วิญญาณ ๖ หมวดเหล่านี้คือ จักขุวิญญาณโสต วิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ มโนวิญญาณ นี้เรียกว่าวิญญาณ
[๑๖] ก็สังขารเป็นไฉน สังขาร ๓ เหล่านี้คือ กายสังขาร วจีสังขารจิตสังขาร นี้เรียกว่าสังขาร
[๑๗] ก็อวิชชาเป็นไฉน ความไม่รู้ในทุกข์ ความไม่รู้ในเหตุเกิดแห่งทุกข์ ความไม่รู้ในความดับทุกข์ ความไม่รู้ในปฏิปทา ที่จะให้ถึงความดับทุกข์นี้ เรียกว่าอวิชชา ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ ... ดังพรรณนามาฉะนี้ ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมม ีด้วยประการอย่างนี้
[๑๘] ก็เพราะอวิชชานั่นแหละ ดับด้วยการสำรอก โดยไม่เหลือ สังขารจึงดับ เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ ... ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการ อย่างนี้
จบสูตรที่ ๒
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๖ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๔
๓. ปฏิปทาสูตร
[๑๙] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ... พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายเราจักแสดงมิจฉาปฏิปทา และสัมมาปฏิปทา พวกเธอจงฟังปฏิปทา ทั้ง ๒ นั้น จงใส่ใจให้ดีเถิดเราจักกล่าว ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว
[๒๐] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็มิจฉาปฏิปทาเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ ... ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ นี้เรียกว่ามิจฉาปฏิปทา
[๒๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาปฏิปทาเป็นไฉน เพราะอวิชชานั่นแหละ ดับด้วยการสำรอกโดยไม่เหลือ สังขารจึงดับ เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ ... ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ นี้เรียกว่าสัมมาปฏิปทา
จบสูตรที่ ๓
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๖ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๕- ๗
๔ วิปัสสีสูตร
[๒๒] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่าน อนาถบิณฑิก เศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ... พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่าวิปัสสี ก่อนแต่ตรัสรู้ เมื่อครั้งเป็นพระโพธิสัตว์ยังมิได้ตรัสรู้ ได้ปริวิตกว่า โลกนี้ถึงความยากแล้วหนอ ย่อมเกิด แก่ ตาย จุติ และอุปบัติ และเมื่อเป็นเช่นนั้นก็ยังไม่รู้ธรรมอันออกจากทุกข์ คือชราและ มรณะนี้ เมื่อไรเล่าความออกจากทุกข์ คือชราและมรณะนี้ จักปรากฏ
[๒๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระวิปัสสีโพธิสัตว์ ได้มีความปริวิตกดังนี้ว่า เมื่ออะไรหนอมีอยู่ ชราและมรณะจึงมี ชราและมรณะย่อมมี เพราะอะไรเป็นปัจจัย ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระวิปัสสีโพธิสัตว์ เพราะกระทำไว้ในใจโดยแยบคาย จึงได้รู้ด้วยปัญญาว่า เมื่อชาติมีอยู่ ชราและมรณะจึงมี ชราและมรณะย่อมมี เพราะชาติเป็นปัจจัย ...
เมื่ออะไรหนอมีอยู่ ชาติจึงมี ชาติย่อมมี เพราะอะไรเป็นปัจจัย ... เมื่อภพมีอยู่ ชาติจึงมี ชาติย่อมมีเพราะภพเป็นปัจจัย ... เมื่ออะไรหนอมีอยู่ ภพจึงมี ภพย่อมมี เพราะอะไรเป็นปัจจัย ...เมื่ออุปาทานมีอยู่ ภพจึงมี ภพย่อมมี เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ...
เมื่ออะไรหนอมีอยู่ อุปาทานจึงมี อุปาทานย่อมมี เพราะอะไรเป็นปัจจัย ... เมื่อตัณหามีอยู่อุปาทานจึงมี อุปาทานย่อมมี เพราะตัณหาเป็นปัจจัย ... เมื่ออะไรหนอ มีอยู่ ตัณหาจึงมี ตัณหาย่อมมี เพราะอะไรเป็นปัจจัย ... เมื่อเวทนามีอยู่ ตัณหาจึงมี ตัณหาย่อมมี เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ...
เมื่ออะไรหนอมีอยู่ เวทนาจึงมี เวทนาย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย ... เมื่อผัสสะ มีอยู่ เวทนาจึงมี เวทนาย่อมมีเพราะผัสสะเป็นปัจจัย ...
เมื่ออะไรหนอมีอยู่ ผัสสะจึงมี ผัสสะย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย ... เมื่อสฬายตนะ มีอยู่ ผัสสะจึงมี ผัสสะย่อมมี เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย ...
เมื่ออะไรหนอมีอยู่ สฬายตนะจึงจะมี สฬายตนะย่อมมี เพราะอะไรเป็นปัจจัย ... เมื่อนามรูปมีอยู่ สฬายตนะจึงมี สฬายตนะย่อมมี เพราะนามรูปเป็นปัจจัย ...
เมื่ออะไรหนอมีอยู่ นามรูปจึงมี นามรูปย่อมมี เพราะอะไรเป็นปัจจัย ...เมื่อวิญญาณ มีอยู่ นามรูปจึงมี นามรูปย่อมมี เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย ...
เมื่ออะไรหนอมีอยู่ วิญญาณจึงมี วิญญาณย่อมมี เพราะอะไรเป็นปัจจัย ... เมื่อสังขารมีอยู่ วิญญาณจึงมี วิญญาณย่อมมี เพราะสังขารเป็นปัจจัย ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแลพระวิปัสสีโพธิสัตว์ได้มีความปริวิตกดังนี้ว่า
เมื่ออะไรหนอมีอยู่ สังขารจึงมี สังขารย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระวิปัสสีโพธิสัตว์ เพราะกระทำไว้ในใจ โดยแยบคาย จึงได้รู้ด้วยปัญญาว่า เมื่ออวิชชามีอยู่ สังขารจึงมี สังขารย่อมมี เพราะ อวิชชา เป็นปัจจัย เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยจึงมีสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ ... ดังพรรณนามาฉะนี้ ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมี ด้วยประการอย่างนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย จักษุญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ได้บังเกิดขึ้น แก่พระวิปัสสีโพธิสัตว์ในธรรมที่ไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า ฝ่ายข้างเกิด ฝ่ายข้างเกิด ดังนี้
[๒๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระวิปัสสีโพธิสัตว์ ได้มีความปริวิตกดังนี้ว่า เมื่ออะไรหนอไม่มี ชราและมรณะจึงไม่มี เพราะอะไรดับ ชราและมรณะจึงดับ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระวิปัสสีโพธิสัตว์ เพราะกระทำไว้ในใจ โดยแยบคาย จึงได้รู้ด้วยปัญญาว่า เมื่อชาติไม่มี ชราและมรณะจึงไม่มี เพราะชาติดับ ชราและมรณะจึงดับ ...
เมื่ออะไรหนอไม่มี ชาติจึงไม่มีเพราะอะไรดับ ชาติจึงดับ เมื่อภพไม่มี ชาติจึง ไม่มี เพราะภพดับ ชาติจึงดับ ...
เมื่ออะไรหนอไม่มี ภพจึงไม่มี เพราะอะไรดับ ภพจึงดับ เมื่ออุปาทานไม่มี ภพจึง ไม่มี เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ ...
เมื่อไรหนอไม่มี อุปาทานจึงไม่มีเพราะอะไรดับ อุปาทานจึงดับ ... เมื่อตัณหา ไม่มี อุปาทานจึงไม่มี เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ ...
เมื่ออะไรหนอไม่มี ตัณหาจึงไม่มี เพราะอะไรดับ ตัณหาจึงดับ ... เมื่อเวทนาไม่มี ตัณหาจึงไม่มี เพราะเวทนาดับ ตัณหาจึงดับ ...
เมื่ออะไรหนอไม่มี เวทนาจึงไม่มี เพราะอะไรดับ เวทนาจึงดับ ... เมื่อผัสสะไม่มี เวทนาจึงไม่มี เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ ...
เมื่ออะไรหนอไม่มี ผัสสะจึงไม่มี เพราะอะไรดับ ผัสสะจึงดับ ... เมื่อสฬายตนะ ไม่มี ผัสสะจึงไม่มี เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ ...
เมื่ออะไรหนอไม่มี สฬายตนะจึงไม่มี เพราะอะไรดับ สฬายตนะจึงดับ ... เมื่อ นามรูป ไม่มี สฬายตนะจึงไม่มี เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ ...
เมื่ออะไรหนอไม่มี นามรูปจึงไม่มี เพราะอะไรดับนามรูปจึงดับ ... เมื่อวิญญาณ ไม่มี นามรูปจึงไม่มี เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ ...
เมื่ออะไรหนอไม่มี วิญญาณจึงไม่มี เพราะอะไรดับ วิญญาณจึงดับ เมื่อสังขาร ไม่มี วิญญาณจึงไม่มี เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระวิปัสสีโพธิสัตว์ ได้มีความปริวิตกดังนี้ว่า เมื่ออะไรหนอไม่มี สังขารจึงไม่มี เพราะอะไรดับ สังขารจึงดับ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแลพระวิปัสสีโพธิสัตว์ เพราะกระทำไว้ในใจโดยแยบคาย จึงได้รู้ด้วยปัญญาว่า เมื่ออวิชชาไม่มี สังขารจึงไม่มี เพราะอวิชชาดับ สังขารจึงดับ เพราะอวิชชาดับสังขาร จึงดับ เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ ...
ดังพรรณนามาฉะนี้ ความดับแห่งกองทุกข์ ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย จักษุ ญาณปัญญา วิชชา แสงสว่าง ได้บังเกิดขึ้น แก่พระวิปัสสีโพธิสัตว์ ในธรรมที่ไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า ฝ่ายข้างดับ ฝ่ายข้างดับ ดังนี้
จบสูตรที่ ๔
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๖ พระสุตตันตปิฎก หน้า ๗
๕. สิขีสูตร - ๙. กัสสปสูตร
[๒๕] พระปริวิตก ของพระพุทธเจ้าแม้ทั้ง ๗ พระองค์ ก็พึงให้พิศดาร เหมือนอย่างนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า สีขี ... ทรงพระนามว่าเวสสภู ... ทรงพระนามว่ากกุสันธะ ... ทรงพระนามว่าโกนาคมนะ ... ทรงพระนามว่ากัสสป ... ๑-
@ ๑. เหมือนข้อ ๒๒-๒๔
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๖ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๘-๑๐
๑๐. มหาศักยมุนีโคตมสูตร
[๒๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อเรายังเป็นพระโพธิสัตว์ ก่อนตรัสรู้ยังมิได้ตรัสรู้ ได้มีความปริวิตกดังนี้ว่า โลกนี้ถึงความยากแล้วหนอ ย่อมเกิด แก่ตาย จุติ และอุปบัติ และเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็ยังไม่รู้ธรรมอันออกจากทุกข์ คือชราและมรณะนี้ เมื่อไรเล่า ความออกจากทุกข์ คือชราและมรณะนี้จักปรากฏ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรานั้นได้มีความปริวิตก ดังนี้ว่า เมื่ออะไรหนอมีอยู่ ชราและ มรณะจึงมี ชราและมรณะย่อมมี เพราะอะไรเป็นปัจจัย ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรานั้นเพราะ กระทำไว้ในใจโดยแยบคาย จึงได้รู้ด้วยปัญญาว่า เมื่อชาติมีอยู่ ชราและมรณะจึงมี ชราและมรณะย่อมมีเพราะชาติเป็นปัจจัย ...
เมื่ออะไรหนอมีอยู่ ชาติจึงมีชาติย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย ... เมื่อภพมีอยู่ ชาติจึงมี ชาติย่อมมีเพราะภพเป็นปัจจัย ...
เมื่ออะไรหนอมีอยู่ ภพจึงมี ภพย่อมมี เพราะอะไรเป็นปัจจัย ...เมื่ออุปาทานมีอยู่ ภพจึงมี ภพย่อมมี เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ...
เมื่ออะไรหนอมีอยู่ อุปาทานจึงมี อุปาทานย่อมมี เพราะอะไรเป็นปัจจัย ... เมื่อ ตัณหามีอยู่ อุปาทานจึงมี อุปาทานย่อมมี เพราะตัณหาเป็นปัจจัย ...
เมื่ออะไรหนอมีอยู่ ตัณหาจึงมี ตัณหาย่อมมี เพราะอะไรเป็นปัจจัย ... เมื่อเวทนา มีอยู่ ตัณหาจึงมี ตัณหาย่อมมี เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ...
เมื่ออะไรหนอมีอยู่ เวทนาจึงมี เวทนาย่อมมี เพราะอะไรเป็นปัจจัย ... เมื่อผัสสะ มีอยู่ เวทนาจึงมี เวทนาย่อมมี เพราะผัสสะเป็นปัจจัย ...
เมื่ออะไรหนอมีอยู่ ผัสสะจึงมี ผัสสะย่อมมี เพราะอะไรเป็นปัจจัย ... เมื่อสฬายตนะมีอยู่ ผัสสะจึงมี ผัสสะย่อมมี เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย ...
เมื่ออะไรหนอมีอยู่ สฬายตนะจึงมี สฬายตนะมีย่อม เพราะอะไรเป็นปัจจัย ... เมื่อนามรูปมีอยู่ สฬายตนะจึงมี สฬายตนะย่อมมี เพราะนามรูปเป็นปัจจัย ...
เมื่ออะไรหนอมีอยู่ นามรูปจึงมี นามรูปย่อมมี เพราะอะไรเป็นปัจจัย ... เมื่อวิญญาณมีอยู่ นามรูปจึงมี นามรูปย่อมมี เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย ...
เมื่ออะไรหนอมีอยู่ วิญญาณ จึงมี วิญญาณย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย ... เมื่อสังขารมีอยู่ วิญญาณจึงมีวิญญาณย่อมมี เพราะสังขารเป็นปัจจัย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรานั้นได้มีความปริวิตกดังนี้ว่า เมื่ออะไรหนอมีอยู่ สังขารจึงมี สังขารย่อมมี เพราะอะไรเป็นปัจจัย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรานั้น เพราะกระทำไว้ในใจ โดยแยบคาย จึงได้รู้ด้วยปัญญา ว่าเมื่ออวิชชามีอยู่ สังขารจึงมี สังขารย่อมมี เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย เพราะอวิชชา เป็นปัจจัย จึงมีสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ ... ดังพรรณนามาฉะนี้ ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ได้บังเกิดขึ้นแก่เรา ในธรรม ที่ไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า ฝ่ายข้างเกิด ฝ่ายข้างเกิด ดังนี้
[๒๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรานั้นได้มีความปริวิตกดังนี้ว่า เมื่ออะไร หนอไม่มี ชราและมรณะจึงไม่มี เพราะอะไรดับ ชราและมรณะจึงดับ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรานั้น เพราะกระทำไว้ในใจ โดยแยบคาย จึงได้รู้ด้วยปัญญา ว่า เมื่อชาติไม่มี ชราและมรณะจึงไม่มี เพราะชาติดับ ชราและมรณะจึงดับ ... เมื่ออะไร หนอไม่มี ชาติจึงไม่มี เพราะอะไรดับ ชาติจึงดับ ...
เมื่อภพไม่มี ชาติจึงไม่มี เพราะภพดับ ชาติจึงดับ ... เมื่ออุปาทานไม่มี ภพจึง ไม่มี เพราะอุปาทานดับภพจึงดับ ...
เมื่ออะไรหนอไม่มี อุปาทานจึงไม่มี เพราะอะไรดับ อุปาทานจึงดับ ...เมื่อตัณหา ไม่มี อุปาทานจึงไม่มี เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ ...
เมื่ออะไรหนอไม่มี ตัณหาจึงไม่มี เพราะอะไรดับ ตัณหาจึงดับ เมื่อเวทนาไม่มี ตัณหาจึงไม่มี เพราะเวทนาดับ ตัณหาจึงดับ ...
เมื่ออะไรหนอไม่มี เวทนาจึงไม่มี เพราะอะไรดับ เวทนาจึงดับ ... เมื่อผัสสะไม่มี เวทนาจึงไม่มี เพราะผัสสะดับเวทนาจึงดับ ...
เมื่ออะไรหนอไม่มี ผัสสะจึงไม่มี เพราะอะไรดับ ผัสสะจึงดับ ...เมื่อสฬายตนะ ไม่มี ผัสสะจึงไม่มี เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ ...
เมื่ออะไรหนอไม่มี สฬายตนะจึงไม่มี เพราะอะไรดับ สฬายตนะจึงดับ ... เมื่อ นามรูป ไม่มี สฬายตนะจึงไม่มี เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ ...
เมื่ออะไรหนอไม่มี นามรูปจึงไม่มี เพราะอะไรดับ นามรูปจึงดับ ... เมื่อวิญญาณ ไม่มี นามรูปจึงไม่มี เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ ...
เมื่ออะไรหนอไม่มี วิญญาณจึงไม่มีเพราะอะไรดับ วิญญาณจึงดับ ... เมื่อสังขารไม่มี วิญญาณจึงไม่มี เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรานั้นได้มีความปริวิตกดังนี้ว่า เมื่ออะไรหนอไม่มี สังขารจึงไม่มี เพราะอะไรดับ สังขารจึงดับ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรานั้น เพราะกระทำ ไว้ในใจ โดยแยบคาย จึงได้รู้ด้วยปัญญาว่า เมื่ออวิชชาไม่มีสังขารจึงไม่มี เพราะ อวิชชาดับ สังขารจึงดับ เพราะอวิชชาดับ สังขารจึงดับเพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ ...
ดังพรรณนามาฉะนี้ ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย จักษุ ญาณ ปัญญาวิชชา แสงสว่าง ได้บังเกิดขึ้นแก่เรา ในธรรม ที่ไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า ฝ่ายข้างดับ ฝ่ายข้างดับ ดังนี้
จบสูตรที่ ๑๐
จบพุทธวรรคที่ ๑
|