เว็บไซต์ อนาคามี เผยแพร่คำพระศาสดา เผยแพร่คำสอนตถาคต เว็บไซต์เผยแพร่พระสุตรคำสอนของพระพุทธเจ้า คลิปคำสอน คลิปสาธยายธรรม
ค้นหาคำที่ต้องการ            

มหาสกุลุทายิสูตร ว่าด้วยปริพาชกชื่อสกุลุทายี สูตรใหญ่ 1845
 
มหาสกุลุทายิสูตร
ว่าด้วยปริพาชกชื่อสกุลุทายี สูตรใหญ่

1. ปริพาชกชื่อสกุลุทายี

2. เสด็จเข้าไปหาพวกปริพาชก ที่มีชื่อเสียงหลายคน
การที่เราจะเที่ยวบิณฑบาต ในกรุงราชคฤห์ ก็ยังเช้านัก อย่ากระนั้นเลยเราพึงเข้าไปหา สกุลุทายิ ปริพาชก ยังปริพาชการาม

3. ถามเรื่องการทำความเคารพ
ใครเล่าหนอที่สาวกทั้งหลาย สักการะ เคารพ นับถือ บูชา

4. เรื่องศิษย์ไม่เคารพครูทั้ง ๖
ครูปูรณกัสสป ครูมักขลิโคสาล ครูอชิตเกสกัมพล ครูปกุทธกัจจายนะ ครูสญชัยเวลัฏฐบุตร ครูนิครนถนาฏบุตร ถึงจะเป็นเจ้าหมู่เจ้าคณะ เป็นคณาจารย์ มีชื่อเสียง แต่สาวกทั้งหลายไม่สักการะ เคารพ ไม่นับถือ เมื่อไม่นับถือ ก็จะถกเถียงส่งเสียงดังกับคณาจารย์ บ้างก็ว่าท่าน พูดผิดเราพูดถูก เรารู้เนื้อความ ท่านไม่รู้เนื้อความ เราปฏิบัติถูก ท่านปฏิบัติผิด ฯลฯ

5. ความเคารพในพระพุทธเจ้า
ในเวลาที่พระสมณโคดมแสดงธรรมแก่บริษัทหลายร้อย จะไม่มีเสียงสาวก จามหรือไอเลย มีแต่
คอยหวังตั้งหน้าเฉพาะพระสมณโคดม ว่า เราจะได้ฟังธรรมที่พระผู้มีพระภาค จักตรัสแก่พวกเรา

6. ธรรม ๕ อย่าง เป็นเหตให้สาวก สักการะ เคารพ นับถือ บูชาพระศาสดา
     1.ทรงมีพระอาหารน้อย และทรงสรรเสริญคุณ ในความเป็นผู้มีอาหารน้อย
     2.ทรงสรรเสริญความสันโดษ ด้วยจีวรตามมีตามได้
     3.ทรงสันโดษด้วย บิณฑบาตตามมีตามได้
     4.ทรงสันโดษด้วย เสนาสนะตามมีตามได้
     5.ทรงเป็นผู้สงัด และทรงสรรเสริญความสงัด

7. ธรรมเป็นเหตุให้ทำความเคารพข้อที่ ๑
สาวกในธรรมวินัยนี้ ย่อมสรรเสริญในอธิศีล ว่าพระโคดมเป็นผู้มีศีล ประกอบด้วยศีลขันธ์อย่างยิ่ง

8. ธรรมเป็นเหตุให้ทำความเคารพข้อที่ ๒
พระสมณโคดม เมื่อทรงรู้เองเห็นเอง ก็ตรัสว่าเรารู้ เราเห็น ทรงแสดงธรรมเพื่อความรู้ยิ่ง

9. ธรรมเป็นเหตุให้ทำความเคารพข้อที่ ๓
พระสมณโคดม ทรงมีพระปัญญา ทรงประกอบด้วย ปัญญาขันธ์ อันยิ่ง

10. ธรรมเป็นเหตุให้ทำความเคารพข้อที่ ๔
เธอเหล่านั้นเข้ามาหาเรา ถามถึงทุกขอริยสัจ เราก็พยากรณ์ให้ยังจิตของเธอ ให้ยินดี

11. ธรรมเป็นเหตุให้ทำความเคารพข้อที่ ๕
     1.สาวกของเรา ปฏิบัติตามแล้ว ย่อมเจริญสติปัฏฐานสี่
     2.ย่อมเจริญสัมมัปปธานสี่
     3.ย่อมเจริญอิทธิบาทสี่.
     4.ย่อมเจริญอินทรีย์ห้า.
     5.ย่อมเจริญพละห้า
     6.ย่อมเจริญโพชฌงค์เจ็ด
     7.ย่อมเจริญอริยมรรค มีองค์แปด
     8.ย่อมเจริญวิโมกข์ ๘
     9.ย่อมเจริญอภิภายตนะ ๘ ประการ
     10.ย่อมเจริญกสิณายตนะ ๑๐
     11.ย่อมเจริญฌานสี่ (บรรลุปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน บรรลุจตุตถฌาน)
     12.ปฏิบัติตามแล้ว ย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า กายของเรานี้แล มีรูป ประกอบด้วยมหาภูต ๔
     13.ย่อมนิรมิตกายอื่นจากกายนี้ มีรูปเกิดแต่ใจ มีอวัยวะน้อยใหญ่ครบถ้วน มีอินทรีย์ไม่บกพร่อง
     14.สาวกของเรา ปฏิบัติตามแล้ว ย่อมบรรลุอิทธิวิธี หลายประการ
     15.สาวกของเรา ปฏิบัติตามแล้ว ย่อมได้ยินเสียง ๒ ชนิด คือเสียงทิพย์ และ เสียงมนุษย์
     16.สาวกของเรา ปฏิบัติตามแล้ว ย่อมกำหนดรู้ใจ ของสัตว์อื่น ของบุคคลอื่นด้วยใจ
     17.สาวกของเรา ปฏิบัติตามแล้ว ย่อมระลึกชาติก่อนได้เป็นอันมาก
     18.สาวกของเรา ปฏิบัติตามแล้ว ย่อมเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลังอุปบัติ
     19.สาวกของเรา ปฏิบัติตามแล้ว ย่อมทำให้แจ้ง ซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ

เรื่องสำคัญของพระพุทธเจ้า
การบำเพ็ญบารมีในอดีตชาติ
การประสูติ แสงสว่าง แผ่นดินไหว
แสวงหาสัจจะบำเพ็ญทุกรกิริยา
ปัญจวัคคีย์หลีก สิ่งที่ตรัสรู้
ตรัสรู้ แสดงเทศนาปัญจวัคคีย์
ปลงสังขาร ปรินิพพาน
ลำดับขั้นการปรินิพพาน
เทวดาแสดงฤทธิ์ขณะถวายเพลิง
แบ่งพระสรีระออกเป็น ๘ ส่วน
 
รวมพระสูตรบุคคลสำคัญ
พระโมคคัลลานะ
พระสารีบุตร
พระเทวทัต
นิครนถ์ปริพาชก
พระมหากัปปินะ
พระอนุรุทธะ
พระอุบาลี
(ดูทั้งหมด)
 
สารบาญพระไตรปิฎก
เล่มที่ ๘-๓๓ (๒๕ เล่ม) ทุกพระสูตร
1. ฉบับหลวง
2. ฉบับมหาจุฬาฯ
3. อรรถกถาไทย
4. ฉบับภาษาบาลี
5. อรรถกถา-บาลี
6. Pali Roman (Roman Script)
7. Atthakatha PaliRoman
 

 


 


1
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๓ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๒๔๑-๒๖๒

๗. มหาสกุลุทายิสูตร
ว่าด้วยปริพาชกชื่อสกุลุทายี สูตรใหญ่

           [๓๑๔] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้:-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาค เสด็จประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวัน กลันทกนิวาปสถาน เขตพระนครราชคฤห์. ก็สมัยนั้น ปริพาชก ที่มีชื่อเสียงเป็นอันมาก คือ อันนภารปริพาชก หนึ่งวรตรปริพาชกหนึ่ง สกุลุทายิปริพาชกหนึ่ง และปริพาชกเหล่าอื่นอีก ล้วนมีชื่อเสียง อาศัยอยู่ในปริพาชการาม อันเป็นที่ให้เหยื่อแก่นกยูง. ครั้งนั้นเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงนุ่งแล้วทรงถือบาตรและจีวร เสด็จเข้าไปบิณฑบาต ยังกรุงราชคฤห์

           ครั้งนั้นพระผู้มีพระภาคได้ทรงพระดำริว่า การที่เราจะเที่ยวบิณฑบาต ในกรุง ราชคฤห์ ก็ยังเช้านัก อย่ากระนั้นเลย เราพึงเข้าไปหาสกุลุทายิปริพาชก ยังปริพาชการาม อันเป็นที่ให้เหยื่อแก่นกยูงเถิด. ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาค เสด็จเข้าไปยังปริพาชการาม อันเป็นที่ให้เหยื่อแก่นกยูง

2
พระผู้มีพระภาคเข้าไปหาพวกปริพาชกขณะกำลังพูดเรื่อง ติรัจฉานกถา

           [๓๑๕] ก็สมัยนั้น สกุลุทายิปริพาชก นั่งอยู่กับปริพาชก บริษัทหมู่ใหญ่ ซึ่งกำลัง พูดถึง ติรัจฉานกถาหลายอย่าง ด้วยเสียงอื้ออึงอึกทึก คือ พูดถึงเรื่องพระราชา เรื่องโจร เรื่องมหาอำมาตย์ เรื่องกองทัพ เรื่องภัย เรื่องรบ เรื่องช้าง เรื่องน้ำ เรื่องผ้า เรื่องที่นอน เรื่องดอกไม้เรื่องของหอม เรื่องญาติ เรื่องยาน เรื่องบ้าน เรื่องนิคม เรื่องนคร เรื่องชนบท เรื่องสตรีเรื่องคนกล้าหาญ เรื่องตรอก เรื่องท่าน้ำ เรื่องหญิงคนใช้ตักน้ำ เรื่องคน ที่ล่วงลับไปแล้ว เรื่องเบ็ดเตล็ด เรื่องโลก เรื่องทะเล เรื่องความเจริญ และความเสื่อม ด้วยประการนั้นๆ

           สกุลุทายิ ได้เห็นพระผู้มีพระภาค กำลังเสด็จมาแต่ไกล ครั้นแล้ว จึงห้ามบริษัท ของตนให้สงบว่า ขอท่านทั้งหลายจงเบาๆ เสียงหน่อย อย่าส่งเสียงอึงนัก นี่พระ สมณโคดม กำลังเสด็จมา พระองค์ท่านโปรดเสียงเบา และทรงกล่าวสรรเสริญ คุณของ เสียงเบา บางทีพระองค์ท่านทรงทราบว่า บริษัทเสียงเบา พึงทรงสำคัญ จะเข้ามาก็ได้. ลำดับนั้น พวกปริพาชกเหล่านั้นพากันนิ่งอยู่ ครั้งนั้นแลพระผู้มีพระภาค จึงเสด็จเข้าไปหา สกุลุ ทายิปริพาชก จนถึงที่ใกล้

           สกุลุทายิปริพาชก ได้ทูลเชิญพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอเชิญ พระผู้มีพระภาค เสด็จมาเถิด พระผู้มีพระภาคเสด็จมาดีแล้ว นานทีเดียว ที่พระผู้มีพระภาค จะได้ทรงกระทำปริยายนี้ คือเสด็จมาถึงที่นี่ได้ ขอเชิญพระผู้มีพระภาค ประทับนั่งเถิด นี่อาสนะปูไว้ถวายแล้ว

           พระผู้มีพระภาคประทับนั่ง บนอาสนะที่เขาปูไว้ถวาย ส่วนสกุลุทายิปริพาชก ถือเอาอาสนะต่ำอันหนึ่ง นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรอุทายี เมื่อกี้นี้ท่านทั้งหลายประชุมสนทนาอะไรกัน และเรื่องอะไรที่ท่านทั้งหลาย หยุดค้างไว้ในระหว่าง?

3
ถามเรื่องการทำความเคารพ

           [๓๑๖] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เรื่องที่ข้าพเจ้าทั้งหลาย ประชุมสนทนาเมื่อกี้นี้นั้น ของดไว้ก่อนเถิด เรื่องนั้นพระผู้มีพระภาค จักได้ทรงสดับ แม้ในภายหลังโดยไม่ยาก ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ วันก่อนๆ หลายวันมาแล้ว พวกสมณพราหมณ์ เจ้าลัทธิต่างๆ ประชุมกันในโรงแพร่ข่าวสนทนากัน ถึงเรื่องนี้ว่า

           ท่านผู้เจริญทั้งหลาย เป็นลาภของชนชาวอังคะ และมคธเขาหนอ ชาวอังคะ และ ชาวมคธ ได้ดีแล้วหนอ ที่สมณพราหมณ์ ผู้เป็นเจ้าหมู่เจ้าคณะ เป็นคณาจารย์ มีชื่อเสียง มียศ เป็นเจ้าลัทธิ ชนเป็นอันมาก สมมติกันว่าดี เข้าไปจำพรรษา ยังกรุงราชคฤห์แล้ว

           คือครูปูรณกัสสป ผู้เป็นเจ้าหมู่เจ้าคณะ เป็นคณาจารย์ มีชื่อเสียง มียศ เป็นเจ้าลัทธิ ชนเป็นอันมาก สมมติกันว่าดี ครูมักขลิโคสาล ... ครูอชิตเกสกัมพล ... ครูปกุทธกัจจายนะ ...ครูสญชัยเวลัฏฐบุตร ... ครูนิครนถ์นาฏบุตร ... แม้พระสมณโคดม ผู้เป็นเจ้าหมู่เจ้าคณะ เป็นคณาจารย์ มีชื่อเสียง มียศ เป็นเจ้าลัทธิ ชนเป็นอันมาก สมมติกันว่าดี พระองค์ก็เสด็จเข้าจำพรรษา ยังกรุงราชคฤห์.

           บรรดาท่านสมณพราหมณ์ ผู้เป็นเจ้าหมู่เจ้าคณะ เป็นคณาจารย์ มีชื่อเสียง มียศ เป็นเจ้าลัทธิ ชนเป็นอันมาก สมมติกันว่าดี เหล่านี้ ใครเล่าหนอที่สาวกทั้งหลาย สักการะ เคารพ นับถือ บูชา ก็และ ใครเล่าที่สาวกทั้งหลายสักการะเคารพ อาศัยอยู่

4
เรื่องศิษย์ไม่เคารพครูทั้ง ๖

           [๓๑๗] ในที่ประชุมนั้น สมณพราหมณ์บางพวก กล่าวอย่างนี้ว่า (1) ครูปูรณกัสสปนี้ ถึงจะเป็นเจ้าหมู่เจ้าคณะ เป็นคณาจารย์ มีชื่อเสียง มียศ เป็นเจ้าลัทธิ ชนเป็นอันมาก สมมติกันว่าดี แต่สาวกทั้งหลายไม่สักการะ เคารพ นับถือ บูชา และจะได้สักการะเคารพ แล้วอาศัยครูปูรณกัสสปอยู่ ก็หามิได้

           เรื่องเคยมีมาแล้ว ครูปูรณกัสสป แสดงธรรมแก่บริษัทหลายร้อย. ในบริษัทนั้น สาวกคนหนึ่ง ของครูปูรณกัสสป ได้ส่งเสียงขึ้นว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย อย่าถาม เนื้อความ นี้ กะครูปูรณกัสสปเลย ครูปูรณกัสสปนี้ไม่รู้เนื้อความนี้ พวกเรารู้เนื้อความนี้ ท่านทั้งหลาย จงถามพวกเราเถิด พวกเราจักพยากรณ์ให้ท่าน

           เรื่องเคยมีมาแล้ว ครูปูรณกัสสป จะยกแขนทั้งสองขึ้น คร่ำครวญว่า ท่านผู้เจริญ ทั้งหลาย จงเงียบเสียง อย่าส่งเสียงไป ท่านพวกนี้จะถามกะพวกท่านไม่ได้ จะถาม กะเราได้ เราจักพยากรณ์แก่ท่านพวกนี้ ดังนี้ ก็ย่อมไม่ได้

           อนึ่งสาวกของท่าน ครูปูรณกัสสป เป็นอันมาก พากันยกโทษว่า ท่านไม่รู้ทั่วถึง ธรรม วินัยนี้ เรารู้ทั่วถึงท่าน จะรู้ทั่วถึงธรรมวินัยนี้ ได้อย่างไร ท่านปฏิบัติผิด เราปฏิบัติถูก ถ้อยคำของเรา เป็นประโยชน์ของท่าน ไม่เป็นประโยชน์ คำที่ควรจะกล่าวก่อน ท่านกลับ กล่าวภายหลัง คำที่ควรจะกล่าวภายหลัง ท่านกลับกล่าวก่อน ข้อที่ท่านเคยช่ำชอง มาผันแปรไปแล้ว เราจับผิดวาทะของท่านได้แล้ว เราข่มท่านได้แล้ว ท่านจงถอนวาทะ เสีย มิฉะนั้นจงแก้ไขเสีย ถ้าสามารถ ดังนี้ แล้วพากันหลีกไป

           พวกสาวกไม่สักการะเคารพ นับถือ บูชาครูปูรณกัสสป ด้วยประการดังนี้ แล้วจะ ได้สักการะเคารพ แล้วอาศัยอยู่ก็หามิได้ ก็แลครูปูรณกัสสป ก็ถูกติเตียนด้วย คำติเตียน โดยธรรม

           สมณพราหมณ์บางพวก กล่าวอย่างนี้ว่า ครูมักขลิโคสาล ... ครูอชิตเกสกัมพล ... ครูปกุทธกัจจายนะ ... ครูสญชัยเวลัฏฐบุตร ... ครูนิครนถนาฏบุตร ... ถึงจะเป็นเจ้า หมู่เจ้าคณะเป็นคณาจารย์ มีชื่อเสียง มียศ เป็นเจ้าลัทธิ ชนเป็นอันมากสมมติกันว่าดี แต่สาวกทั้งหลายไม่สักการะ เคารพ นับถือ บูชา และจะได้สักการะเคารพ แล้วอาศัยอยู่ ก็หามิได้

           เรื่องเคยมีมาแล้ว ครูนิครนถนาฏบุตร แสดงธรรม แก่บริษัทหลายร้อย ในบริษัท นั้น สาวกคนหนึ่งของครูนิครนถนาฏบุตร ได้ส่งเสียงขึ้นว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย อย่าถาม เนื้อความนี้กะ ครูนิครนถนาฏบุตรเลย ครูนิครนถนาฏบุตรนี้ไม่รู้เนื้อความนี้ พวกเรารู้ เนื้อความนี้ ท่านทั้งหลาย จงถามพวกเราเถิด เราจักพยากรณ์ให้ท่าน

            เรื่องเคยมีมาแล้ว ครูนิครนถนาฏบุตร ยกแขนทั้งสองขึ้น คร่ำครวญว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย จงเงียบเสียง อย่าส่งเสียงไป ท่านพวกนี้ จะถามกะพวกท่านไม่ได้ จะถามกะเราได้ เราจักพยากรณ์ แก่ท่านพวกนี้ ดังนี้ ก็ย่อมไม่ได้

           อนึ่ง สาวกของครูนิครนถนาฏบุตร เป็นอันมาก พากันยกโทษว่า ท่านไม่รู้ทั่วถึง ธรรมวินัยนี้ เรารู้ทั่วถึง ท่านจะรู้ทั่วถึงธรรมวินัยนี้ ได้อย่างไร ท่านปฏิบัติผิด เราปฏิบัติถูก ถ้อยคำของเราเป็นประโยชน์ ของท่านไม่เป็นประโยชน์ คำที่ควรกล่าวก่อน ท่านกลับ กล่าวภายหลัง คำที่ควรกล่าวภายหลัง ท่านกลับกล่าวก่อน ข้อที่ท่านเคยช่ำชอง มาผันแปรไปแล้ว เราจับผิดวาทะของท่านได้แล้ว เราข่มท่านได้แล้ว ท่านจงถอนวาทะ เสีย มิฉะนั้น จงแก้ไขเสีย ถ้าสามารถ ดังนี้ แล้วพากันหลีกไป

           พวกสาวก ไม่สักการะเคารพ นับถือ บูชานิครนถนาฏบุตร ด้วยประการดังนี้ และ จะได้สักการะเคารพ แล้วอาศัยอยู่ก็หามิได้ ก็และครูนิครนถนาฏบุตร ก็ถูกติเตียนด้วย คำติเตียนโดยธรรม

5

ความเคารพในพระพุทธเจ้า

           [๓๑๘] สมณพราหมณ์ บางพวกกล่าวอย่างนี้ว่า พระสมณโคดมพระองค์นี้ ทรงเป็นเจ้าหมู่เจ้าคณะ ทรงเป็นคณาจารย์ มีชื่อเสียง มียศ เป็นเจ้าลัทธิ ชนเป็นอันมาก สมมติกันว่าดีสาวกทั้งหลายสักการะ เคารพ นับถือ บูชาพระองค์ และสักการะเคารพ แล้วอาศัยอยู่ เรื่องเคยมีมาแล้ว พระสมณโคดม ทรงแสดงธรรม แก่บริษัทหลายร้อย

           ในบริษัทนั้น สาวกของพระสมณโคดมองค์ใด องค์หนึ่งไอขึ้น เพื่อนพรหมจรรย์ องค์ใดองค์หนึ่ง เอาเข่ากะตุ้นเธอ เพื่อจะให้รู้ว่าท่านจงเงียบเสียง อย่าส่งเสียงไป พระผู้มีพระภาค ผู้เป็นศาสดา ของเราทั้งหลายกำลังทรงแสดงธรรม

           ในเวลาที่พระสมณโคดม ทรงแสดงธรรม แก่บริษัทหลายร้อย จะมีเสียงที่สาวก ของพระสมณโคดมจาม หรือไอหามิได้เลย หมู่มหาชน มีแต่คอยหวังตั้งหน้าเฉพาะ พระสมณโคดมว่า เราทั้งหลายจักได้ฟังธรรมที่พระผู้มีพระภาคจักตรัสแก่พวกเรา

           เปรียบเหมือนบุรุษ จะพึงให้น้ำผึ้งหวี่ ที่ปราศจากตัวอ่อน ที่ทางใหญ่สี่แพร่ง หมู่มหาชนก็คอยหวังตั้งหน้า เฉพาะบุรุษนั้น ฉันใดในเวลาที่พระสมณโคดม ทรงแสดง ธรรม แก่บริษัทหลายร้อยนั้นก็ฉันนั้น จะได้มีเสียงที่สาวก ของพระสมณโคดม จาม หรือ ไอ หามิได้เลย หมู่มหาชนมีแต่คอยหวัง ตั้งหน้าเฉพาะพระสมณโคดม ว่าเราทั้งหลาย จักได้ฟังธรรม ที่พระผู้มีพระภาคจักตรัสแก่พวกเรา

           สาวกของพระสมณโคดม เหล่าใดแม้บาดหมาง กับเพื่อนพรหมจรรย์แล้ว ลาสิกขาสึกไป แม้สาวกเหล่านั้น ก็ยังกล่าวสรรเสริญ คุณพระศาสดา พระธรรม และ พระสงฆ์ เป็นแต่ติเตียนตนเอง ไม่ติเตียนผู้อื่นว่า ถึงพวกเราจักได้มาบวชในธรรมวินัย ที่พระผู้มีพระภาค ตรัสดีแล้วอย่างนี้ แต่ไม่อาจจะประพฤติพรหมจรรย์ให้บริสุทธิ์ ให้บริบูรณ์ จนตลอดชีวิตได้ เป็นคนไม่มีบุญ มีบุญน้อยเสียแล้ว

           สาวกของพระสมณโคดมเหล่านั้น จะเป็นอารามิกก็ดี เป็นอุบาสกก็ดี ก็ยัง ประพฤติมั่น อยู่ในสิกขาบท ห้าสาวกทั้งหลาย สักการะ เคารพ นับถือ บูชา พระสมณ โคดม ด้วยประการดังนี้ และสักการะเคารพแล้วอาศัยอยู่

           ภ. ดูกรอุทายี ก็ท่านพิจารณา เห็นธรรมทั้งหลาย กี่อย่างในเรา อันเป็นเหตุให้ สาวก ของเราสักการะ เคารพ นับถือ บูชา แล้วอาศัยอยู่?

           [๓๑๙] อุ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าพิจารณาเห็นธรรม ๕ อย่าง ในพระผู้มี พระภาค อันเป็นเหต ให้สาวกสักการะ เคารพ นับถือ บูชา แล้วอาศัยอยู่ ธรรม ๕ อย่าง เป็นไฉน ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ความจริง พระผู้มีพระภาค ทรงมีพระอาหารน้อย และ ทรงสรรเสริญคุณ ในความ เป็นผู้มีอาหารน้อย ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าพิจารณา เห็นธรรมนี้ ในพระผู้มีพระภาค เป็นข้อต้น (1) อันเป็นเหตุให้สาวก ทั้งหลายสักการะ เคารพ นับถือ บูชา แล้วอาศัยอยู่

6

ธรรมเป็นเครื่องทำความเคารพพระผู้มีพระภาค

           [๓๒๐] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อีกประการหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ทรงสันโดษด้วย จีวร ตามมีตามได้ และทรงสรรเสริญ ความสันโดษ ด้วยจีวรตามมีตามได้ ข้าแต่พระองค์ ผู้เจริญ ข้าพเจ้าพิจารณาเห็นธรรมนี้ ในพระผู้มีพระภาค เป็นข้อที่ ๒ อันเป็นเหตุให้สาวก ทั้งหลาย สักการะเคารพ นับถือ บูชา แล้วอาศัยอยู่

           [๓๒๑] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อีกประการหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ทรงสันโดษด้วย บิณฑบาตตามมีตามได้ และทรงสรรเสริญ ความสันโดษ ด้วยบิณฑบาตตามมีตามได้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าพิจารณาเห็นธรรมนี้ ในพระผู้มีพระภาค เป็นข้อที่ ๓ อันเป็นเหตุให้สาวกทั้งหลาย สักการะเคารพ นับถือ บูชา แล้วอาศัยอยู่

           [๓๒๒] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อีกประการหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ทรงสันโดษด้วย เสนาสนะตามมีตามได้ และทรงสรรเสริญ ความสันโดษ ด้วยเสนาสนะตามมีตามได้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าพิจารณาเห็นธรรมนี้ ในพระผู้มีพระภาค เป็นข้อที่ ๔ อันเป็นเหตุให้สาวกทั้งหลาย สักการะ เคารพ นับถือ บูชา แล้วอาศัยอยู่

           [๓๒๓] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อีกประการหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ทรงเป็นผู้สงัด และทรงสรรเสริญความสงัด ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าพิจารณาเห็นธรรมนี้ ในพระผู้มีพระภาค เป็นข้อที่ ๕ อันเป็นเหตุให้สาวกทั้งหลาย สักการะ เคารพ นับถือ บูชา แล้วอาศัยอยู่

           ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าพิจารณาเห็นธรรม ๕ ประการนี้แล ในพระผู้มี พระภาค อันเป็นเหตุให้สาวกทั้งหลาย สักการะ เคารพ นับถือ บูชา แล้วอาศัยอยู่

           [๓๒๔] ดูกรอุทายี ถ้าสาวกทั้งหลาย จะพึงสักการะ เคารพนับถือบูชาเรา แล้วพึ่งเราอยู่ ด้วยเข้าใจว่า พระสมณโคดม ทรงเป็นผู้มีอาหารน้อย และทรงสรรเสริญ ความเป็นผู้มีอาหารน้อย อุทายี แต่สาวกทั้งหลายของเรา มีอาหารเพียงเท่าโกสะ (จุในผลกระเบา) หนึ่งก็มีเพียงกึ่งโกสะก็มี เพียงเท่าเวลุวะ (จุในผลมะตูม) หนึ่งก็มี เพียงกึ่งเวลุวะก็มี ส่วนเราแลบางครั้งบริโภคอาหาร เสมอขอบปากบาตรนี้ก็มี ยิ่งกว่าก็มี
            ถ้าสาวกทั้งหลายจะพึงสักการะ เคารพนับถือ บูชาเรา แล้วพึ่งเราอยู่ ด้วย เข้าใจว่า พระสมณโคดม ทรงมีอาหารน้อย และทรงสรรเสริญความเป็นผู้มีอาหารน้อย ไซร้ บรรดาสาวกของเรา ผู้มีอาหารเพียงเท่าโกสะหนึ่งบ้าง เพียงกึ่งโกสะบ้าง เพียงเท่า เวลุวะ บ้าง เพียงกึ่งเวลุวะบ้าง ก็จะไม่สักการะ เคารพ นับถือ บูชาเราโดยธรรมนี้ แล้ว พึ่งเราอยู่
........................................................................................................................

           [๓๒๕] ดูกรอุทายี ถ้าสาวกทั้งหลาย จะพึงสักการะ เคารพ นับถือ บูชาเรา แล้วพึ่งเราอยู่ ด้วยเข้าใจว่า พระสมณโคดม ทรงสันโดษด้วย จีวรตามมีตามได้ และ ทรงสรรเสริญ ความสันโดษด้วยจีวรตามมีตามได้ อุทายี แต่สาวกของเรา เป็นผู้ถือผ้า บังสุกุล ทรงจีวรเศร้าหมองเธอเหล่านั้น เลือกเก็บเอาผ้าเก่าแต่ป่าช้าบ้าง แต่กอง หยากเยื่อบ้าง แต่ที่เขาทิ้งไว้ตามที่ต่างๆ บ้างมาทำเป็นผ้าสังฆาฏิใช้ก็มีอยู่
            ส่วนเราแล บางคราวก็ใช้คหบดีจีวร ที่เนื้อแน่น ระกะด้วยเส้นด้ายมั่นคง มีเส้นด้าย เช่นกับขนน้ำเต้า (มีเส้นด้ายละเอียด)
            อุทายี ถ้าสาวกทั้งหลายจะพึงสักการะ เคารพ นับถือ บูชาเรา แล้วพึ่ง เราอยู่ ด้วยเข้าใจว่า พระสมณโคดมทรงสันโดษด้วยจีวรตามมีตามได้ และ ทรงสรรเสริญ ความสันโดษ ด้วยจีวร ตามมีตามได้ไซร้ บรรดาสาวกของเรา ที่ทรงผ้า บังสุกุล ใช้จีวร เศร้าหมอง เลือกเก็บเอาผ้าเก่าแต่ป่าช้าบ้าง แต่กองหยากเยื่อบ้าง แต่ที่เขาทิ้งไว้ ตามที่ต่างๆ บ้าง มาทำเป็นผ้าสังฆาฏิใช้ ก็จะไม่พึงสักการะ เคารพ นับถือ บูชา เราโดยธรรมนี้ แล้วพึ่งเราอยู่
........................................................................................................................

           [๓๒๖] ดูกรอุทายี ถ้าสาวกทั้งหลาย จะพึงสักการะ เคารพ นับถือ บูชาเรา แล้วพึ่งเราอยู่ ด้วยเข้าใจว่า พระสมณโคดม ทรงสันโดษ ด้วยบิณฑบาตตามมีตามได้ และทรงสรรเสริญ ความสันโดษ ด้วยบิณฑบาต ตามมีตามได้ไซร้ อุทายี แต่สาวก ทั้งหลาย ของเรา เป็นผู้ถือบิณฑบาตเป็นวัตร ถือเที่ยวบิณฑบาตตามลำดับ ตรอกเป็นวัตร ยินดีในภัตตาหารทั้งสูงทั้งต่ำ เธอเหล่านั้นเมื่อเข้าไปถึงละแวกบ้านแล้ว ถึงใครจะนิมนต์ด้วยอาสนะ ก็ไม่ยินดีมีอยู่
            ส่วนเราแล บางครั้งก็ฉันในที่นิมนต์ แต่ล้วนเป็นข้าวสุก แห่งข้าวสาลี ที่เขาเก็บ เมล็ดดำออกแล้ว มีแกงและกับหลายอย่าง ถ้าสาวกทั้งหลาย จะพึงสักการะ เคารพ นับถือ บูชาเรา แล้วพึ่งเราอยู่ ด้วยเข้าใจว่า พระสมณโคดม ทรงสันโดษด้วยบิณฑบาต ตามมีตามได้ และทรงสรรเสริญความสันโดษ ด้วยบิณฑบาตตามมีตามได้ บรรดาสาวก ของเรา ที่ถือบิณฑบาตเป็นวัตร ถือเที่ยว บิณฑบาต ตามลำดับตรอกเป็นวัตร ยินดีใน ภัตตาหารทั้งสูงทั้งต่ำ เมื่อเข้าไปยัง ละแวกบ้านแล้ว ถึงใครจะนิมนต์ด้วยอาสนะก็ไม่ยินดี ก็จะไม่พึงสักการะ เคารพ นับถือ บูชาเราโดยธรรมนี้ แล้วพึ่งเราอยู่
........................................................................................................................

           [๓๒๗] ดูกรอุทายี สาวกทั้งหลาย จะพึงสักการะ เคารพ นับถือ บูชาเรา แล้ว พึ่งเรา อยู่ด้วยเข้าใจว่า พระสมณโคดมทรงสันโดษ ด้วยเสนาสนะตามมีตามได้ และ ทรงสรรเสริญความ สันโดษด้วยเสนาสนะ ตามมีตามได้ไซร้ อุทายี แต่สาวกทั้งหลาย ของเรา ถือโคนไม้เป็นวัตร ถืออยู่กลางแจ้งเป็นวัตร เธอเหล่านั้น ไม่เข้าสู่ที่มุงตลอด แปดเดือนมีอยู่
            ส่วนเราแล บางครั้งอยู่ในเรือนยอดที่ฉาบทาทั้งข้างในข้างนอก ลมเข้าไม่ได้ มีลิ่มชิดสนิท มีหน้าต่างเปิดปิดได้ ถ้าสาวกทั้งหลายจะพึงสักการะ เคารพ นับถือ บูชาเรา แล้วพึ่งเราอยู่ ด้วยเข้าใจว่า พระสมณโคดมทรงสันโดษ ด้วยเสนาสนะ ตามมีตามได้ และ ทรงสรรเสริญความสันโดษด้ วยเสนาสนะตามมีตามได้ไซร้ บรรดา สาวกของเรา ที่ถืออยู่ โคนต้นไม้เป็นวัตร ถืออยู่ในที่แจ้งเป็นวัตร ไม่เข้าสู่ที่มุงตลอด แปดเดือน ก็จะไม่พึง สักการะ เคารพ นับถือ บูชาเราโดยธรรมนี้ แล้วพึ่งเราอยู่

           [๓๒๘] ดูกรอุทายี สาวกทั้งหลาย จะพึงสักการะ เคารพ นับถือ บูชาเรา แล้วพึ่ง เราอยู่ ด้วยเข้าใจว่า พระสมณโคดมเป็นผู้สงัด และทรงสรรเสริญ ความสงัด อุทายี แต่สาวกทั้งหลายของเรา ถืออยู่ป่าเป็นวัตร ถือเสนาสนะอันสงัด คือป่าชัฏอยู่ เธอเหล่านี้ ย่อมมาประชุม ในท่ามกลางสงฆ์ เฉพาะเวลาสวดปาติโมกข์ ทุกกึ่งเดือน มีอยู่
            ส่วนเราแล บางคราวก็อยู่เกลื่อนกล่นไปด้วย ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา พระราชา มหาอำมาตย์ ของพระราชาเดียรถีย์ สาวกของเดียรถีย์ ถ้าสาวกทั้งหลาย จะพึงสักการะ เคารพ นับถือ บูชาเรา แล้วพึ่งเราอยู่ ด้วยเข้าใจว่า พระสมณโคดม เป็นผู้สงัด และทรงสรรเสริญ ความสงัด ไซร้ บรรดาสาวกของเราที่ถืออยู่ป่าเป็นวัตร ถือเสนาสนะอันสงัด คือป่าชัฏอยู่ มาประชุมในท่ามกลางสงฆ์เฉพาะเวลาสวดปาติโมกข์ ทุกกึ่งเดือน ก็จะไม่พึงสักการะ เคารพ นับถือ บูชาเราโดยธรรมนี้แล้วพึ่งเราอยู่

           อุทายี สาวกทั้งหลาย จะไม่สักการะ เคารพ นับถือ บูชาเราโดยธรรม ๕ ประการนี้แล้วพึ่งเราอยู่ ด้วยประการฉะนี้
.......................................................................................................................


7
ธรรมเป็นเหตุให้ทำความเคารพข้อที่ ๑
(เป็นผู้มีศีล ประกอบด้วยศีลขันธ์อย่างยิ่ง)

           [๓๒๙] ดูกรอุทายี มีธรรม ๕ ประการอย่างอื่น อันเป็นเหตุให้สาวก ทั้งหลาย ของเรา สักการะ เคารพ นับถือ บูชาเรา แล้วพึ่งเราอยู่ ธรรม ๕ ประการเป็นไฉน?

           ดูกรอุทายี สาวกทั้งหลายของเรา ในธรรมวินัยนี้ ย่อมสรรเสริญ ในเพราะอธิศีลว่า พระสมณโคดมเป็นผู้มีศีล ประกอบด้วยศีลขันธ์อย่างยิ่ง อุทายี ข้อที่สาวกทั้งหลาย ของเรา สรรเสริญในเพราะอธิศีลว่า พระสมณโคดม เป็นผู้มีศีลประกอบด้วย ศีลขันธ์ อย่างยิ่ง
            นี้แลธรรมข้อที่หนึ่ง อันเป็นเหตุให้สาวก ทั้งหลายของเรา สักการะ เคารพ นับถือ บูชาเรา แล้วพึ่งเราอยู่


8

ธรรมเป็นเหตุให้ทำความเคารพข้อที่ ๒
(แสดงธรรม เพื่อความรู้ยิ่ง)

           [๓๓๐] ดูกรอุทายี อีกประการหนึ่ง สาวกทั้งหลายของเรา ย่อมสรรเสริญใน เพราะความรู้ ความเห็นที่แท้จริงว่า พระสมณโคดม เมื่อทรงรู้เองก็ตรัสว่ารู้ เมื่อทรง เห็นเองก็ตรัสว่าเห็นทรงแสดงธรรม เพื่อความรู้ยิ่ง มิใช่ทรงแสดงเพื่อความไม่รู้ยิ่ง ทรงแสดงธรรมมีเหตุ มิใช่แสดงไม่มีเหตุ ทรงแสดงธรรมมีความอัศจรรย์ มิใช่ทรงแสดง ไม่มีความอัศจรรย์
            อุทายี ข้อที่สาวกทั้งหลายของเราสรรเสริญ ในเพราะความรู้ความเห็น ที่แท้จริง ว่า พระสมณโคดม เมื่อทรงรู้เองก็ตรัสว่ารู้ เมื่อทรงเห็นเองก็ตรัสว่าเห็น ทรงแสดงธรรม เพื่อความรู้ยิ่ง มิใช่ทรงแสดงเพื่อความไม่รู้ยิ่ง ทรงแสดงธรรมมีเหตุ มิใช่ทรงแสดงธรรม ไม่มีเหตุ ทรงแสดงธรรมมีความอัศจรรย์ มิใช่ทรงแสดงไม่มีความอัศจรรย์
            อุทายี นี้แล ธรรมข้อที่สอง อันเป็นเหตุให้สาวกทั้งหลาย ของเราสักการะเคารพ นับถือบูชาเรา แล้วพึ่ง เราอยู่

9

ธรรมเป็นเหตุให้ทำความเคารพข้อที่ ๓
(ประกอบด้วย ปัญญาขันธ์)

           [๓๓๑] ดูกรอุทายี อีกประการหนึ่ง สาวกทั้งหลายของเรา ย่อมสรรเสริญ ในเพราะปัญญาอันยิ่งว่า พระสมณโคดม ทรงมีพระปัญญา ทรงประกอบด้วย ปัญญาขันธ์ อันยิ่ง ข้อที่ว่าพระสมณโคดม จักไม่ทรงเล็งเห็น ทางแห่งถ้อยคำอันยังไม่มาถึง หรือจักทรงข่มคำโต้เถียงของฝ่ายอื่น ที่เกิดขึ้นแล้ว ให้เป็นการข่มได้ด้วยดี พร้อมทั้งเหตุ ไม่ได้ ดังนี้ มิใช่ฐานะที่จะมีได้อุทายี ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน สาวกทั้งหลาย ของเรา เมื่อรู้อย่างนี้ เห็นอย่างนี้จะพึงคัดค้านถ้อยคำ ให้ตกไปในระหว่างๆ บ้างหรือหนอ?
           ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อนี้ไม่มีเลย
           ดูกรอุทายี ก็เราจะหวังการพร่ำสอน ในสาวกทั้งหลายก็หาไม่ สาวกทั้งหลาย ย่อมหวังคำพร่ำสอน ของเราโดยแท้. อุทายี ข้อที่สาวกทั้งหลาย ของเราสรรเสริญ ในเพราะปัญญาอันยิ่งว่า พระสมณโคดม ทรงมีพระปัญญา ทรงประกอบด้วย ปัญญาขันธ์ อย่างยิ่ง ข้อที่ว่า พระสมณโคดม จักไม่ทรงเล็งเห็นทาง แห่งถ้อยคำ อันยังไม่มาถึง หรือจักทรงข่มคำโต้เถียงของฝ่ายอื่น ที่เกิดขึ้นแล้วให้เป็นการข่มได้ด้วยดี พร้อมทั้งเหตุ ไม่ได้ ดังนี้ มิใช่ฐานะที่จะมีได้
            อุทายี นี้แล ธรรมข้อที่สาม อันเป็นเหตุ ให้สาวกทั้งหลาย ของเราสักการะ เคารพ นับถือ บูชาแล้วพึ่งเราอยู่

10

ธรรมเป็นเหตุให้ทำความเคารพข้อที่ ๔
(รู้อริยสัจสี่ )

           [๓๓๒] ดูกรอุทายี อีกประการหนึ่ง สาวกทั้งหลายของเรา ผู้อันทุกข์ท่วมทับ แล้ว อันทุกข์ครอบงำแล้ว เพราะทุกข์ใด เธอเหล่านั้นเข้ามาหาเราแล้ว ถามถึง ทุกขอริยสัจ เราอันเธอเหล่านั้น ถามถึงทุกขอริยสัจแล้ว ก็พยากรณ์ให้ยังจิตของเธอ เหล่านั้น ให้ยินดี ด้วยการพยากรณ์ปัญหา เธอเหล่านั้นเข้ามาหาเรา แล้วถามถึง ทุกขสมุทัยอริยสัจ ... ทุกขนิโรธอริยสัจ ... ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ เราอันเธอเหล่านั้น ถามถึง ทุกขนิโรธคามินี ปฏิปทาอริยสัจแล้ว ก็พยากรณ์ให้ยังจิต ของเธอ เหล่านั้น ให้ยินดีด้วยการพยากรณ์ปัญหา

            ดูกรอุทายี ข้อที่สาวกทั้งหลายของเรา ผู้อันทุกข์ท่วมทับแล้ว อันทุกข์ครอบงำ แล้ว เพราะทุกข์ใด เธอเหล่านั้นเข้ามาหาเราแล้วถามถึงทุกขอริยสัจ ... ถามถึง ทุกขสมุทัย อริยสัจ ... ถามถึงทุกขนิโรธอริยสัจ ... ถามถึงทุกขนิโรธคามินี ปฏิปทาอริยสัจ เราอันเธอเหล่านั้น ถามถึงทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา อริยสัจแล้ว ก็พยากรณ์ให้ยังจิตของเธอเหล่านั้น ให้ยินดี ด้วยการพยากรณ์ปัญหา
            นี้แล ธรรมข้อที่สี่ อันเป็นเหตุให้สาวกทั้งหลายของเราสักการะ เคารพ นับถือ บูชา แล้วพึ่งเราอยู่
...............................................................................................................


11
ธรรมเป็นเหตุให้ทำความเคารพข้อที่ ๕

           [๓๓๓] ดูกรอุทายี อีกประการหนึ่ง เราได้บอกปฏิปทา แก่สาวกทั้งหลายแล้ว สาวกทั้งหลายของเรา ปฏิบัติตามแล้ว ย่อมเจริญสติปัฏฐานสี่. ดูกรอุทายี ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ พึงกำจัดอภิชฌา และโทมนัสในโลกเสียได้ พิจารณาเห็นเวทนา ในเวทนาอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ พึงกำจัดอภิชฌา และโทมนัสในโลกเสียได้ พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะมีสติ พึงกำจัดอภิชฌา และโทมนัสในโลกเสียได้ พิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ มีความเพียรมีสัมปชัญญะ มีสติ พึงกำจัดอภิชฌา และโทมนัสในโลกเสียได้. ก็เพราะสาวกทั้งหลายของเรา ปฏิบัติตามปฏิปทาที่เราบอกแล้ว เจริญสติปัฏฐานสี่นั้นแล สาวกของเราเป็นอันมาก จึงได้บรรลุบารมี อันเป็นที่สุดแห่งอภิญญา (พระอรหัต) อยู่

           [๓๓๔] ดูกรอุทายี อีกประการหนึ่ง เราได้บอกปฏิปทา แก่สาวกทั้งหลายแล้ว สาวกทั้งหลายของเราปฏิบัติตามแล้ว ย่อมเจริญสัมมัปปธานสี่. ดูกรอุทายี ภิกษุใน ธรรมวินัยนี้ ยังความพอใจให้เกิด พยายาม ปรารภความเพียร ประคองจิตไว้เริ่มตั้ง ความเพียร เพื่อยังอกุศลธรรมอันลามก ที่ยังไม่เกิดมิให้เกิดขึ้น เพื่อละอกุศลธรรม อันลามก ที่เกิดขึ้นแล้ว เพื่อยังกุศลธรรมที่ยังไม่เกิด ให้เกิดขึ้น เพื่อความตั้งมั่น เพื่อความ ไม่เลือนหาย เพื่อความมียิ่งเพื่อความไพบูลย์ เพื่อความเจริญ เพื่อความสมบูรณ์ แห่งกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว. ก็เพราะสาวกทั้งหลาย ของเราปฏิบัติตาม ปฏิปทา ที่เราบอก แล้วเจริญสัมมัปปธานสี่นั้นแล สาวกของเราเป็นอันมาก จึงได้บรรลุ บารมี อันเป็นที่สุดแห่งอภิญญาอยู่

           [๓๓๕] ดูกรอุทายี อีกประการหนึ่ง เราได้บอกปฏิปทา แก่สาวกทั้งหลายแล้ว สาวกทั้งหลายของเรา ปฏิบัติตามแล้ว ย่อมเจริญอิทธิบาทสี่. ดูกรอุทายี ภิกษุในธรรม วินัยนี้ เจริญอิทธิบาทอันประกอบด้วยฉันทสมาธิ และปธานสังขาร เจริญอิทธิบาท อันประกอบด้วยวิริยสมาธิ และปธานสังขาร เจริญอิทธิบาท อันประกอบด้วยจิตสมาธิ และปธานสังขารเจริญอิทธิบาท อันประกอบด้วย วิมังสาสมาธิ และปธานสังขาร. ก็เพราะสาวกทั้งหลายของเราปฏิบัติตามปฏิปทาที่เราบอก แล้วเจริญอิทธิบาทสี่นั้นแล สาวกของเราเป็นอันมากจึงได้บรรลุบารมีอันเป็นที่สุด แห่งอภิญญาอยู่

           [๓๓๖] ดูกรอุทายี อีกประการหนึ่ง เราได้บอกปฏิปทา แก่สาวกทั้งหลายแล้ว สาวกทั้งหลายของเรา ปฏิบัติตามแล้ว ย่อมเจริญอินทรีย์ห้า. ดูกรอุทายี ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เจริญสัทธินทรีย์ ที่จะให้ถึงความสงบระงับ ให้ถึงความตรัสรู้ เจริญวิริยินทรีย์ ที่จะให้ถึงความสงบระงับ ให้ถึงความตรัสรู้ เจริญสตินทรีย์ ที่จะให้ถึง ความสงบระงับ ให้ถึงความตรัสรู้เจริญสมาธินทรีย์ ที่จะให้ถึงความสงบระงับ ให้ถึง ความตรัสรู้ เจริญปัญญินทรีย์ ที่จะให้ถึงความสงบระงับ ให้ถึงความตรัสรู้.
            ก็เพราะสาวกทั้งหลาย ของเราปฏิบัติตามปฏิปทา ที่เราบอก แล้วเจริญ อินทรีย์ห้า นั้นแล สาวกของเราเป็นอันมาก จึงได้บรรลุบารมี อันเป็นที่สุดแห่งอภิญญา

           [๓๓๗] ดูกรอุทายี อีกประการหนึ่ง เราได้บอกปฏิปทา แก่สาวกทั้งหลายแล้ว สาวกทั้งหลายของเรา ปฏิบัติตามแล้ว ย่อมเจริญพละห้า. ดูกรอุทายี ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เจริญสัทธาพละ ที่จะให้ถึงความสงบระงับ ให้ถึงความตรัสรู้ เจริญวิริยพละ ที่จะให้ถึง ความ สงบระงับ ให้ถึงความตรัสรู้ เจริญสติพละ ที่จะให้ถึงความสงบระงับ ให้ถึงความ ตรัสรู้ เจริญสมาธิพละ ที่จะให้ถึงความสงบระงับ ให้ถึงความตรัสรู้ เจริญปัญญาพละ ที่จะให้ถึงความสงบระงับ ให้ถึงความตรัสรู้. ก็เพราะสาวกทั้งหลาย ของเราปฏิบัติ ตามปฏิปทา ที่เราบอกแล้วเจริญพละห้านั้นแล สาวกของเราเป็นอันมาก จึงได้บรรลุบารมี อันเป็นที่สุดแห่งอภิญญาอยู่

           [๓๓๘] ดูกรอุทายี อีกประการหนึ่ง เราได้บอกปฏิปทา แก่สาวกทั้งหลายแล้ว สาวกทั้งหลายของเรา ปฏิบัติตามแล้ว ย่อมเจริญโพชฌงค์เจ็ด.
            ดูกรอุทายี ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เจริญสติสัมโพชฌงค์ อันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปในการสละคืน เจริญธรรมวิจยสัมโพชฌงค์ อันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปในการสละคืนเจริญวิริยสัมโพชฌงค์ อันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปในการสละคืนเจริญปีติสัมโพชฌงค์ อันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปในการสละคืนเจริญปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ อันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปในการสละคืนเจริญสมาธิสัมโพชฌงค์ อันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปในการสละคืนเจริญอุเบกขาสัมโพชฌงค์ อันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปในการสละคืน

           ก็เพราะสาวกทั้งหลาย ของเรา ปฏิบัติตามปฏิปทา ที่เราบอกแล้ว เจริญ โพชฌงค์เจ็ด นั้นแล สาวกของเราเป็นอันมาก จึงได้บรรลุบารมี อันเป็นที่สุด แห่ง อภิญญาอยู่

....................................................................................................................................

           [๓๓๙] ดูกรอุทายี อีกประการหนึ่ง เราได้บอกปฏิปทา แก่สาวกทั้งหลายแล้ว สาวกทั้งหลายของเรา ปฏิบัติตามแล้ว ย่อมเจริญอริยมรรค มีองค์แปด. ดูกรอุทายี ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เจริญสัมมาทิฏฐิ เจริญสัมมาสังกัปปะ เจริญสัมมาวาจา เจริญสัมมา กัมมันตะ เจริญสัมมาอาชีวะเจริญสัมมาวายามะ เจริญสัมมาสติ เจริญสัมมาสมาธิ. ก็เพราะสาวกทั้งหลายของเราปฏิบัติตามปฏิปทาที่เราบอก แล้วเจริญอริยมรรคมีองค์ ๘ นั้นแล สาวกของเราเป็นอันมาก จึงได้บรรลุบารมีอันเป็นที่สุดแห่งอภิญญาอยู่

....................................................................................................................................

           [๓๔๐] ดูกรอุทายี อีกประการหนึ่ง เราได้บอกปฏิปทา แก่สาวกทั้งหลาย ของเราแล้ว สาวกทั้งหลายของเรา ปฏิบัติตามแล้ว ย่อมเจริญวิโมกข์ ๘. คือ
           ผู้ได้รูปฌานย่อมเห็นรูป นี้เป็นวิโมกข์ข้อที่หนึ่ง
           ผู้ไม่มีรูปสัญญาในภายใน เห็นรูปในภายนอก นี้เป็นวิโมกข์ข้อที่สอง
ผู้น้อมใจเชื่อว่า กสิณเป็นของงามอย่างเดียว นี้เป็นวิโมกข์ข้อที่สาม
           ผู้ที่บรรลุ อากาสานัญจายตนะ ด้วยมนสิการว่าอากาศหาที่สุดมิได้ เพราะล่วงรูปสัญญา เพราะดับปฏิฆสัญญา เพราะไม่ใส่ใจซึ่งนานัตตสัญญา โดยประการทั้งปวง นี้เป็นวิโมกข์ ข้อที่สี่
           ผู้ที่บรรลุ วิญญาณัญจายตนะ ด้วยมนสิการว่า วิญญาณหาที่สุดมิได้ เพราะล่วงอากาสานัญจายตนะ โดยประการทั้งปวง นี้เป็นวิโมกข์ข้อที่ห้า
           ผู้ที่บรรลุ อากิญจัญญายตนะ ด้วยมนสิการว่า ไม่มีอะไร เพราะล่วงวิญญาณัญจายตนะ โดยประการทั้งปวง นี้เป็นวิโมกข์ข้อที่หก
           ผู้ที่บรรลุ เนวสัญญานาสัญญายตนะ เพราะล่วง อากิญจัญญายตนะ โดยประการทั้งปวงนี้เป็นวิโมกข์ ข้อที่เจ็ด
           ผู้ที่บรรลุ สัญญาเวทยิตนิโรธ เพราะล่วง เนวสัญญานาสัญญายตนะ โดยประการทั้งปวงนี้เป็นวิโมกข์ ข้อที่แปด

           ก็เพราะสาวกทั้งหลายของเราปฏิบัติ ตามปฏิปทาที่เราบอก แล้วเจริญ วิโมกข์แปด นั้นแลสาวกของเรา เป็นอันมาก จึงได้บรรลุบารมี อันเป็นที่สุดแห่ง อภิญญาอยู่

....................................................................................................................................

           [๓๔๑] ดูกรอุทายี อีกประการหนึ่ง เราได้บอกปฏิปทาแ ก่สาวกทั้งหลายแล้ว สาวกทั้งหลายของเราปฏิบัติตาม แล้วย่อมเจริญอภิภายตนะ (คือเหตุเครื่องครอบงำธรรม อันเป็นข้าศึกและอารมณ์) ๘ ประการ. คือ

           ผู้หนึ่งมีความสำคัญ ในรูปภายใน เห็นรูปภายนอกที่เล็ก ซึ่งมีผิวพรรณดี และมี ผิวพรรณทราม ครอบงำรูปเหล่านั้นแล้ว มีความสำคัญอย่างนี้ว่า เรารู้ เราเห็น อันนี้เป็น อภิภายตนะ ข้อที่หนึ่ง

           ผู้หนึ่งมีความสำคัญ ในรูปภายใน เห็นรูปภายนอกที่ใหญ่ ซึ่งมีผิวพรรณดี และมี ผิวพรรณทราม ครอบงำรูปเหล่านั้นแล้ว มีความสำคัญอย่างนี้ว่า เรารู้ เราเห็น อันนี้เป็น อภิภายตนะ ข้อที่สอง

           ผู้หนึ่งมีความสำคัญ ในอรูปภายใน เห็นรูปภายนอกที่เล็ก ซึ่งมีผิวพรรณดี และมี ผิวพรรณ ทราม ครอบงำรูปเหล่านั้นแล้ว มีความสำคัญอย่างนี้ว่า เรารู้ เราเห็น อันนี้เป็น อภิภายตนะ ข้อที่สาม

           ผู้หนึ่งมีความสำคัญ ในอรูปภายใน เห็นรูปภายนอกที่ใหญ่ ซึ่งมีผิวพรรณดี และ มีผิวพรรณทราม ครอบงำรูปเหล่านั้นแล้ว มีความสำคัญอย่างนี้ว่า เรารู้ เราเห็น อันนี้เป็น อภิภายตนะ ข้อที่สี่

           ผู้หนึ่งมีความสำคัญ ในอรูปภายใน เห็นรูปภายนอกอันเขียว มีวรรณเขียว เขียวล้วน มีรัศมีเขียว. ดอกผักตบอันเขียว มีวรรณเขียว เขียวล้วน มีรัศมีเขียว หรือว่า ผ้าที่กำเนิดในเมืองพาราณสี มีเนื้อเกลี้ยง ทั้งสองข้าง อันเขียว มีวรรณเขียว เขียวล้วน มีรัศมีเขียว แม้ฉันใดผู้หนึ่งมีความสำคัญใน อรูปภายใน เห็นรูปภายนอกอันเขียว มีวรรณเขียว เขียวล้วน มีรัศมีเขียวฉันนั้นเหมือนกัน ครอบงำรูปเหล่านั้นแล้ว ย่อมมีความ สำคัญ อย่างนี้ว่า เรารู้ เราเห็น อันนี้เป็นอภิภายตนะ ข้อที่ห้า

           ผู้หนึ่งมีความสำคัญ ในอรูปภายใน เห็นรูปภายนอกอันเหลือง มีวรรณเหลือง เหลืองล้วนมีรัศมีเหลือง. ดอกกรรณิการ์ อันเหลือง มีวรรณเหลือง เหลืองล้วน มีรัศมีเหลือง หรือว่าผ้าที่กำเนิด ในเมืองพาราณสี มีเนื้อเกลี้ยง ทั้งสองข้าง อันเหลือง มีวรรณเหลือง เหลืองล้วนมีรัศมีเหลือง แม้ฉันใด ผู้หนึ่งมีความสำคัญ ในอรูปภายใน เห็นรูปภายนอกอันเหลือง มีวรรณเหลือง เหลืองล้วน มีรัศมีเหลือง แม้ฉันนั้นเหมือนกัน ครอบงำรูปเหล่านั้นแล้ว มีความสำคัญอย่างนี้ว่า เรารู้ เราเห็น อันนี้เป็น อภิภายตนะ ข้อที่หก

           ผู้หนึ่งมีความสำคัญ ในอรูปภายใน เห็นรูปภายนอกอันแดง มีวรรณแดง แดงล้วน มีรัศมีแดง. ดอกบานไม่รู้โรยอันแดง มีวรรณแดง แดงล้วน มีรัศมีแดง หรือว่า ผ้าที่กำเนิด ในเมืองพาราณสี มีเนื้อเกลี้ยง ทั้งสองข้าง อันแดง มีวรรณแดง แดงล้วน มีรัศมีแดง แม้ฉันใดผู้หนึ่งมีความสำคัญ ในอรูปภายใน เห็นรูปภายนอกอันแดง มีวรรณแดง แดงล้วน มีรัศมีแดงฉันนั้นเหมือนกัน ครอบงำรูปเหล่านั้นแล้ว มีความสำคัญอย่างนี้ว่า เรารู้ เราเห็น อันนี้เป็นอภิภายตนะ ข้อที่เจ็ด

           ผู้หนึ่งมีความสำคัญ ในอรูปภายใน เห็นรูปภายนอกอันขาว มีวรรณขาว ขาวล้วน มีรัศมีขาว. ดาวประกายพฤกษ์อันขาว มีวรรณขาว ขาวล้วน มีรัศมีขาว หรือว่า ผ้าที่กำเนิด ในเมืองพาราณสี มีเนื้อเกลี้ยง ทั้งสองข้าง อันขาว มีวรรณขาว ขาวล้วน มีรัศมีขาว แม้ ฉันใดผู้หนึ่งมีความสำคัญ ในอรูปภายใน เห็นรูปภายนอกอันขาว มีวรรณขาว ขาวล้วน มีรัศมีขาวฉันนั้นเหมือนกัน ครอบงำรูปเหล่านั้นแล้ว มีความสำคัญอย่างนี้ว่า เรารู้ เราเห็น อันนี้เป็นอภิภายตนะ ข้อที่แปด

           ก็เพราะสาวกทั้งหลาย ของเราปฏิบัติตามปฏิปทา ที่เราบอก แล้วเจริญ อภิภายตนะ ๘ นั้นแลสาวกของเราเป็นอันมาก จึงได้บรรลุบารมี อันเป็นที่สุด แห่ง อภิญญาอยู่

....................................................................................................................................

           [๓๔๒] ดูกรอุทายี อีกประการหนึ่ง เราได้บอกปฏิปทา แก่สาวกทั้งหลายแล้ว สาวกทั้งหลายของเราปฏิบัติตามแล้ว ย่อมเจริญกสิณายตนะ ๑๐ คือ
๑. ผู้หนึ่งย่อมรู้ชัด ซึ่งปฐวีกสิณทั้งเบื้องบน เบื้องต่ำ เบื้องขวาง ในทิศน้อยทิศใหญ่ หาประมาณมิได้

๒. ผู้หนึ่งย่อมรู้ชัด ซึ่งอาโปกสิณทั้งเบื้องบน เบื้องต่ำ เบื้องขวาง ในทิศน้อยทิศใหญ ่หาประมาณมิได้

๓. ผู้หนึ่งย่อมรู้ชัด ซึ่งเตโชกสิณทั้งเบื้องบน เบื้องต่ำ เบื้องขวาง ในทิศน้อยทิศใหญ่ หาประมาณมิได้

๔. ผู้หนึ่งย่อมรู้ชัด ซึ่งวาโยกสิณทั้งเบื้องบน เบื้องต่ำ เบื้องขวาง ในทิศน้อยทิศใหญ่ หาประมาณมิได้

๕. ผู้หนึ่งย่อมรู้ชัด ซึ่งนีลกสิณทั้งเบื้องบน เบื้องต่ำ เบื้องขวาง ในทิศน้อยทิศใหญ่ หาประมาณมิได้

๖. ผู้หนึ่งย่อมรู้ชัด ซึ่งปิตกสิณทั้งเบื้องบน เบื้องต่ำ เบื้องขวาง ในทิศน้อยทิศใหญ่ หาประมาณมิได้

๗. ผู้หนึ่งย่อมรู้ชัด ซึ่งโลหิตกสิณทั้งเบื้องบน เบื้องต่ำ เบื้องขวาง ในทิศน้อยทิศใหญ่ หาประมาณมิได้

๘. ผู้หนึ่งย่อมรู้ชัด ซึ่งโอทาตกสิณทั้งเบื้องบน เบื้องต่ำ เบื้องขวาง ในทิศน้อยทิศใหญ ่หาประมาณมิได้

๙. ผู้หนึ่งย่อมรู้ชัด ซึ่งอากาสกสิณทั้งเบื้องบน เบื้องต่ำ เบื้องขวาง ในทิศน้อยทิศใหญ่ หาประมาณมิได้

๑๐. ผู้หนึ่งย่อมรู้ชัด ซึ่งวิญญาณกสิณ ทั้งเบื้องบน เบื้องต่ำเบื้องขวางในทิศน้อยทิศใหญ่ หาประมาณมิได้

           ก็เพราะสาวกทั้งหลายปฏิบัติตามปฏิปทา ที่เราบอก แล้วเจริญกสิณายตนะ ๑๐ นั้นแล สาวกของเราเป็นอันมาก จึงได้บรรลุบารมี เป็นที่สุดแห่งอภิญญาอยู่

....................................................................................................................................

           [๓๔๓] ดูกรอุทายี อีกประการหนึ่ง เราได้บอกปฏิปทา แก่สาวกทั้งหลายแล้ว สาวกทั้งหลายของเรา ปฏิบัติตามแล้ว ย่อมเจริญฌานสี่

           ดูกรอุทายี ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ เธอทำกายนี้แหละให้ชุ่มชื่น เอิบอิ่ม ซาบซ่าน ด้วยปีติ และสุขอันเกิดแต่วิเวก ไม่มีเอกเทศไหนๆ แห่งกายของเธอ ทั่วทั้งตัว ที่ปีติและ สุขอันเกิดแต่วิเวกจะไม่ถูกต้อง ดูกรอุทายี เปรียบเหมือน พนักงาน สรงสนาน หรือลูกมือพนักงานสรงสนาน ผู้ฉลาด จะพึงใส่จุรณสีตัว ลงในภาชนะสำริด แล้วพรมด้วยน้ำหมักไว้ ก้อนจุรณสิตัวนั้น ซึ่งยางซึมไปจับติดกัน ทั่วทั้งหมด ย่อมไม่กระจายออก ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแล ทำกายนี้ แหละให้ชุ่มชื่น เอิบอิ่ม ซาบซ่าน ด้วยปีติ และสุขอันเกิดแต่วิเวก ไม่มีเอกเทศไหนๆ แห่งกาย ของเธอทั่วทั้งตัว ที่ปีติ และ สุข อันเกิดแต่วิเวกจะไม่ถูกต้อง

           [๓๔๔] ดูกรอุทายี อีกประการหนึ่ง ภิกษุบรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใส แห่งจิต ภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร เพราะวิตกวิจารสงบไป มีปีติและสุขเกิด แต่สมาธิอยู่ เธอทำกายนี้แหละให้ชุ่มชื่น เอิบอิ่ม ซาบซ่านด้วยปีติและสุข อันเกิดแต่ สมาธิ ไม่มีเอกเทศไหนๆ แห่งกายของเธอทั่วทั้งตัว ที่ปีติและสุข อันเกิดแต่สมาธิ จะไม่ถูกต้อง ดูกรอุทายี เปรียบเหมือนห้วงน้ำลึก มีน้ำปั่นป่วน ไม่มีทางที่น้ำ จะไหลไปมา ได้ ทั้งในด้านตะวันออก ด้านตะวันตกด้านเหนือ ด้านใต้ ทั้งฝนก็ไม่ตกเพิ่ม ตามฤดูกาล แต่สายน้ำเย็นพุขึ้น จากห้วงน้ำนั้นแล้ว จะพึงทำห้วงน้ำนั้นแหละให้ชุ่มชื่น เอิบอาบ ซาบซึมด้วยน้ำเย็น ไม่มีเอกเทศไหนๆ แห่งห้วงน้ำนั้นทั้งหมด ที่น้ำเย็นจะไม่พึงถูกต้อง ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแล ย่อมทำกายนี้แหละให้ชุ่มชื่นเอิบอิ่ม ซาบซ่านด้วยปีติและสุข อันเกิดแต่สมาธิ ไม่มีเอกเทศไหนๆ แห่งกายของเธอทั่วทั้งตัวที่ปีติและสุข อันเกิดแต่ สมาธิ จะไม่ถูกต้อง

           [๓๔๕] ดูกรอุทายี อีกประการหนึ่ง ภิกษุมีอุเบกขา มีสติ มีสัมปชัญญะ เสวยสุข ด้วยนามกาย เพราะปีติสิ้นไป บรรลุตติยฌาน ที่พระอริยะทั้งหลาย สรรเสริญว่า ผู้ได้ฌาน นี้ เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติอยู่เป็นสุข เธอทำกายนี้แหละ ให้ชุ่มชื่นเอิบอิ่ม ซาบซ่าน ด้วยสุขอันปราศจากปีติ ไม่มีเอกเทศไหนๆ แห่งกายของเธอทั่วทั้งตัว ที่สุขปราศจาก ปีติ จะไม่ถูกต้อง ดูกรอุทายี เปรียบเหมือนในกอบัวขาบ ในกอบัวหลวง หรือในกอบัวขาว ดอกบัวขาบ ดอกบัวหลวง หรือดอกบัวขาว บางเหล่าซึ่งเกิดในน้ำ เจริญในน้ำ ยังไม่พ้นน้ำ จมอยู่ในน้ำ น้ำหล่อเลี้ยงไว้ ดอกบัวเหล่านั้นชุ่มแช่ เอิบอาบ ซาบซึม ด้วยน้ำเย็นตลอดยอด ตลอดเหง้า ไม่มีเอกเทศไหนๆ แห่งดอกบัวขาบ ดอกบัวหลวง หรือดอกบัวขาว ทั่วทุกส่วน ที่น้ำเย็นจะไม่พึงถูกต้อง ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้น แล ย่อมทำกายนี้แหละ ให้ชุ่มชื่น เอิบอิ่ม ซาบซ่านด้วยสุขปราศจากปีติ ไม่มีเอกเทศไหนๆ แห่งกายของเธอ ทั่วทั้งตัวที่สุข ปราศจากปีติ จะไม่ถูกต้อง

           [๓๔๖] ดูกรอุทายี อีกประการหนึ่ง ภิกษุบรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข เพราะ ละสุขละทุกข์ และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่ เธอนั่ง แผ่ไปทั่วกายนี้แหละ ด้วยใจอันบริสุทธิ์ผ่องแล้ว ไม่มีเอกเทศไหนๆ แห่งกาย ของเธอ ทั่วทั้งตัวที่ใจบริสุทธิ์ผ่องแผ้ว จะไม่ถูกต้อง ดูกรอุทายี เปรียบเหมือนบุรุษ จะพึงนั่งคลุมตัว ตลอดศีรษะด้วยผ้าขาว ไม่มีเอกเทศไหนๆ แห่งกายทุกๆ ส่วนของเขา จะไม่ถูกต้อง ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแล เธอนั่งแผ่ไปทั่วกายนี้แหละ ด้วยใจบริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีเอกเทศไหนๆ แห่งกายของเธอทั่วทั้งตัวที่ใจอันบริสุทธิ์ผ่องแผ้ว จะไม่ถูกต้อง ก็เพราะสาวกทั้งหลาย ของเราปฏิบัติตามปฏิปทา ที่เราบอกแล้วเจริญฌานสี่ นั้นแล สาวกของเราเป็นอันมาก จึงได้บรรลุบารมี อันเป็นที่สุด แห่งอภิญญาอยู่

....................................................................................................................................

           [๓๔๗] ดูกรอุทายี อีกประการหนึ่ง เราได้บอกปฏิปทา แก่สาวกทั้งหลายแล้ว สาวกทั้งหลายของเรา ปฏิบัติตามแล้ว ย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า กายของเรานี้แล มีรูป ประกอบด้วยมหาภูต ๔ เกิดแต่บิดามารดา เติบโตขึ้นด้วยข้าวสุก และขนมสด ไม่เที่ยง ต้องอบ ต้องนวดฟั้น มีอันทำลาย กระจัดกระจายเป็นธรรมดา และวิญญาณ ของเรานี้ ก็อาศัยอยู่ในกายนี้ เนื่องอยู่ในกายนี้

           ดูกรอุทายี เปรียบเหมือน แก้วไพฑูรย์อันงาม เกิดเองอย่างบริสุทธิ์ ๘ เหลี่ยม นายช่างเจียระไนดีแล้ว สุกใส แวววาว สมส่วนทุกอย่าง มีด้าย เขียว เหลือง แดง ขาว หรือนวลร้อยอยู่ในนั้น บุรุษมีจักษุ จะพึงหยิบแก้วไพฑูรย์นั้น วางไว้ในมือ แล้วพิจารณา เห็นว่า แก้วไพฑูรย์นี้งามเกิดเอง อย่างบริสุทธิ์ ๘ เหลี่ยม นายช่างเจียระไนดีแล้ว สุกใส แวววาว สมส่วนทุกอย่างมีด้ายเขียว เหลือง แดง ขาว หรือนวลร้อยอยู่ในนั้นฉันใด สาวกทั้งหลายของเรา ก็ฉันนั้นแลปฏิบัติตามปฏิปทา ที่เราบอกแล้ว ย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า กายของเรานี้แล มีรูป ประกอบด้วยมหาภูต ๔ เกิดแต่มารดาบิดา เติบโตขึ้นด้วยข้าวสุก และขนมสด ไม่เที่ยง ต้องอบ ต้องนวดฟั้น มีอันทำลายและกระจัดกระจายเป็นธรรมดา และวิญญาณของเรานี้ ก็อาศัยอยู่ในกายนี้ เนื่องอยู่ในกายนี้

           ก็เพราะสาวกทั้งหลายของเรา ปฏิบัติตามปฏิปทาที่เราบอกแล้ว ย่อมรู้ชัดอย่างนี้ แล สาวกของเราเป็นอันมาก จึงได้บรรลุบารมี อันเป็นที่สุดแห่งอภิญญาอยู่

....................................................................................................................................

           [๓๔๘] ดูกรอุทายี อีกประการหนึ่ง เราได้บอกปฏิปทาแก่สาวกทั้งหลายแล้ว สาวกทั้งหลายของเรา ปฏิบัติตามแล้ว ย่อมนิรมิตกายอื่นจากกายนี้ มีรูปเกิดแต่ใจ มีอวัยวะน้อยใหญ่ครบถ้วน มีอินทรีย์ไม่บกพร่อง. ดูกรอุทายี เปรียบเหมือนบุรุษจะพึง ชักไส้ ออกจากหญ้าปล้อง เขาจะพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า นี้ไส้ นี้หญ้าปล้อง หญ้าปล้อง อย่างหนึ่ง ไส้อย่างหนึ่ง ก็แต่ไส้ชักออกจากหญ้าปล้องนั่นเอง

           อีกนัยหนึ่ง เปรียบเหมือนบุรุษ จะพึงชักดาบออกจากฝัก เขาจะพึงคิดเห็น อย่างนี้ว่า นี้ดาบ นี้ฝัก ดาบอย่างหนึ่ง ฝักอย่างหนึ่ง ก็แต่ชักดาบออกจากฝักนั่นเอง อีกนัยหนึ่ง เปรียบเหมือนบุรุษ จะพึงชักงูออกจากคราบ เขาพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า นี้งู นี้คราบงูอย่างหนึ่ง คราบอย่างหนึ่ง ก็แต่งูชักออกจากคราบนั่นเอง ฉันใด สาวกทั้งหลาย ของเราก็ฉันนั้นแล ปฏิบัติตามปฏิปทาที่เราบอกแล้ว ย่อมนิรมิตกายอื่นจากกายนี้ มีรูปเกิดแต่ใจ มีอวัยวะน้อยใหญ่ครบถ้วน มีอินทรีย์ไม่บกพร่อง

           ก็เพราะสาวกทั้งหลายของเรา ปฏิบัติตามปฏิปทาที่เราบอกนั้นแล สาวกของเรา เป็นอันมาก จึงบรรลุบารมี อันเป็นที่สุดแห่งอภิญญาอยู่

....................................................................................................................................

           [๓๔๙] ดูกรอุทายี อีกประการหนึ่ง เราได้บอกปฏิปทาแก่สาวกทั้งหลายแล้ว สาวกทั้งหลายของเรา ปฏิบัติตามแล้ว ย่อมบรรลุอิทธิวิธี หลายประการ คือ คนเดียวเป็นหลายคนก็ได้ หลายคนเป็นคนเดียวก็ได้ ทำให้ปรากฏก็ได้ ทำหายไปก็ได้ ทะลุฝากำแพงภูเขาไปได้ ไม่ติดขัดเหมือนไปในที่ว่างก็ได้

           ผุดขึ้นดำลงในแผ่นดิน เหมือนในน้ำก็ได้ เดินบนน้ำไม่แตก เหมือนดินบนแผ่นดิน ก็ได้. เหาะไปในอากาศ เหมือนนกก็ได้. ลูบคลำพระจันทร์พระอาทิตย์ซึ่งมีฤทธิ์ มีอานุภาพ มากด้วยฝ่ามือก็ได้ ใช้อำนาจทางกาย ไปตลอดพรหมโลกก็ได้.

           ดูกรอุทายี เปรียบเหมือนช่างหม้อ หรือลูกมือของช่างหม้อผู้ฉลาด เมื่อนวดดิน ดีแล้ว ต้องการภาชนะชนิดใดๆ พึงทำภาชนะชนิดนั้นๆ ให้สำเร็จได้ อีกนัยหนึ่ง เปรียบเหมือน ช่างงา หรือลูกมือของช่างงาผู้ฉลาด เมื่อแต่งงาดีแล้ว ต้องการเครื่องงา ชนิดใดๆ พึงทำเครื่องงาชนิดนั้นๆ ให้สำเร็จได้ อีกนัยหนึ่งเปรียบเหมือนช่างทอง หรือลูกมือของช่างทองผู้ฉลาด เมื่อหลอมทองดีแล้ว ต้องการทองรูปพรรณชนิดใด พึงทำทองรูปพรรณชนิดนั้นๆ ให้สำเร็จได้ ฉันใด สาวกทั้งหลายของเราก็ฉันนั้น แล ปฏิบัติตามปฏิปทาที่เราบอกแล้ว

           ย่อมบรรลุอิทธิวิธีหลายประการ คือคนเดียวเป็นหลายคนก็ได้ หลายคนเป็น คนเดียว ก็ได้ ทำให้ปรากฏก็ได้ ทำให้หายไปก็ได้ ทะลุฝากำแพงภูเขาไปได้ ไม่ติดขัด เหมือนไปในที่ว่างก็ได้. ผุดขึ้นดำลงในแผ่นดินเหมือนในน้ำก็ได้. เดินบนน้ำไม่แตก เหมือนเดินบนแผ่นดินก็ได้. เหาะไปในอากาศเหมือนนกก็ได้.

ลูบคลำพระจันทร์พระอาทิตย์ซึ่งมีฤทธิ์มีอานุภาพมาก ด้วยฝ่ามือก็ได้ ใช้อำนาจทางกาย ไป ตลอดพรหมโลกก็ได้. ก็เพราะสาวกทั้งหลายของเรา ปฏิบัติตามปฏิปทา ที่เราบอก แล้ว นั้นแล สาวกของเราเป็นอันมาก จึงได้บรรลุบารมี อันเป็นที่สุด แห่งอภิญญาอยู่

....................................................................................................................................

           [๓๕๐] ดูกรอุทายี อีกประการหนึ่ง เราได้บอกปฏิปทา แก่สาวกทั้งหลายแล้ว สาวกทั้งหลายของเรา ปฏิบัติตามแล้ว ย่อมได้ยินเสียง ๒ ชนิด คือเสียงทิพย์ และ เสียงมนุษย์ทั้งที่อยู่ไกลและใกล้ ด้วยทิพยโสตธาตุ อันบริสุทธิ์ล่วงโสตของมนุษย

           ดูกรอุทายี เปรียบเหมือนบุรุษ เป่าสังข์ ผู้มีกำลัง จะพึงยังคนให้รู้ตลอดทิศทั้งสี่ โดยไม่ยากฉันใด สาวกทั้งหลายของเราก็ฉันนั้น แลปฏิบัติตามปฏิปทาที่เราบอกแล้ว ย่อมได้ยินเสียง ๒ ชนิด คือเสียงทิพย์และเสียงมนุษย์ ทั้งที่อยู่ไกลและใกล้ ด้วยทิพย โสตธาตุ อันบริสุทธิ์ล่วงโสตของมนุษย์

           ก็เพราะสาวกทั้งหลายของเรา ปฏิบัติตามปฏิปทา ที่เราบอกแล้วนั้นแล สาวก ของเราเป็นอันมาก จึงได้บรรลุบารมี อันเป็นที่สุดแห่งอภิญญาอยู่

....................................................................................................................................

           [๓๕๑] ดูกรอุทายี อีกประการหนึ่ง เราได้บอกปฏิปทา แก่สาวกทั้งหลายแล้ว สาวกทั้งหลายของเรา ปฏิบัติตามแล้ว ย่อมกำหนดรู้ใจ ของสัตว์อื่น ของบุคคลอื่นด้วยใจ คือจิตมีราคะก็รู้ว่าจิตมีราคะ หรือจิตปราศจากราคะ ก็รู้ว่าจิตปราศจากราคะ จิตมีโทสะ ก็รู้ว่าจิตมีโทสะ หรือจิตปราศจากโทสะ ก็รู้ว่าจิตปราศจากโทสะ จิตมีโมหะ ก็รู้ว่าจิต มีโมหะ หรือจิตปราศจากโมหะก็รู้ว่าจิตปราศจากโมหะ จิตหดหู่ ก็รู้ว่าจิตหดหู่ หรือจิต ฟุ้งซ่าน ก็รู้ว่าจิตฟุ้งซ่าน จิตเป็นมหรคตก็รู้ว่าจิตเป็นมหรคต หรือจิตไม่เป็นมหรคต ก็รู้ว่าจิตไม่เป็นมหรคต จิตมีจิตอื่นยิ่งกว่า ก็รู้ว่าจิตมีจิตอื่นยิ่งกว่า หรือจิตไม่มีจิตอื่น ยิ่งกว่า ก็รู้ว่าจิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า จิตเป็นสมาธิ ก็รู้ว่าเป็นสมาธิ หรือจิตไม่เป็นสมาธิ ก็รู้ว่าจิตไม่เป็นสมาธิ จิตหลุดพ้น ก็รู้ว่าจิตหลุดพ้น หรือจิตไม่หลุดพ้น ก็รู้ว่าจิตไม่หลุดพ้น

           ดูกรอุทายี เปรียบเหมือนหญิงสาวชายหนุ่ม ที่ชอบการแต่งตัว เมื่อส่องดูเงาหน้า ของตนในกระจก อันบริสุทธิ์สะอาด หรือภาชนะน้ำอันใส หน้ามีไฝ ก็จะพึงรู้ว่าหน้ามีไฝ หรือหน้าไม่มีไฝ ก็จะพึงรู้ว่าหน้าไม่มีไฝ ฉันใด สาวกทั้งหลายของเรา ก็ฉันนั้นแล ปฏิบัติตามปฏิปทา ที่เราบอกแล้ว ย่อมกำหนดรู้ใจของสัตว์อื่น ของบุคคลอื่นด้วยใจ คือ จิตมีราคะก็รู้ว่าจิตมีราคะ หรือจิตปราศจากราคะ ก็รู้ว่าจิตปราศจากราคะ จิตมีโทสะ ก็รู้ว่าจิตมีโทสะ หรือจิตปราศจากโทสะ ก็รู้ว่าจิตปราศจากโทสะ จิตมีโมหะ ก็รู้ว่าจิต มีโมหะ หรือจิตปราศจากโมหะก็รู้ว่าจิตปราศจากโมหะ จิตหดหู่ ก็รู้ว่าจิตหดหู่ หรือจิต ฟุ้งซ่าน ก็รู้ว่าจิตฟุ้งซ่าน จิตเป็นมหรคตก็รู้ว่าจิตเป็นมหรคต หรือจิตไม่เป็นมหรคต ก็รู้ว่าจิตไม่เป็นมหรคต จิตมีจิตอื่นยิ่งกว่า ก็รู้ว่าจิตมีจิตอื่นยิ่งกว่า หรือจิตไม่มีจิตอื่น ยิ่งกว่า ก็รู้ว่าจิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า จิตเป็นสมาธิ ก็รู้ว่าจิตเป็นสมาธิ หรือจิตไม่เป็นสมาธิ ก็รู้ว่าจิตไม่เป็นสมาธิ จิตหลุดพ้น ก็รู้ว่าจิตหลุดพ้น หรือจิตไม่หลุดพ้น ก็รู้ว่าจิตไม่หลุดพ้น

           ก็เพราะสาวกทั้งหลายของเรา ปฏิบัติตามปฏิปทา ที่เราบอกแล้วนั้นแล สาวก ของเราเป็นอันมาก จึงได้บรรลุบารมี อันเป็นที่สุดแห่งอภิญญาอยู่

....................................................................................................................................

           [๓๕๒] ดูกรอุทายี อีกประการหนึ่ง เราได้บอกปฏิปทา แก่สาวกทั้งหลายแล้ว สาวกทั้งหลายของเรา ปฏิบัติตามแล้ว ย่อมระลึกชาติก่อนได้เป็นอันมาก คือระลึกได้ ชาติหนึ่งบ้าง สองชาติบ้าง สามชาติบ้าง สี่ชาติบ้าง ห้าชาติบ้าง สิบชาติบ้าง ยี่สิบชาติบ้าง สามสิบชาติบ้าง สี่สิบชาติบ้าง ห้าสิบชาติบ้าง ร้อยชาติบ้าง พันชาติบ้าง แสนชาติบ้าง ตลอดสังวัฏกัปเป็นอันมากบ้าง ตลอดวิวัฏกัปเป็นอันมากบ้าง ตลอด สังวัฏวิวัฏกัป เป็นอันมากบ้างว่า ในภพโน้น เรามีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณ อย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น

           ครั้นจุติจากภพนั้น ได้ไปเกิดในภพโน้น แม้ในภพนั้น เราก็มีชื่ออย่างนั้น มีโคตร อย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนด อายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากภพนั้นแล้ว ได้มาเกิดในภพนี้ เธอย่อมระลึก ถึงชาติก่อน ได้เป็นอันมาก พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ ด้วยประการฉะนี้

           ดูกรอุทายี เปรียบเหมือนบุรุษ จะพึงจากบ้านตนไปบ้านอื่น แล้วจากบ้าน แม้นั้น ไปยังบ้านอื่นอีกจากบ้านนั้น กลับมาสู่บ้านของตนตามเดิม เขาจะพึงระลึกได้อย่างนี้ว่า เราได้จากบ้านของเราไ ปบ้านโน้นในบ้านนั้น เราได้ยืนอย่างนั้น ได้นั่งอย่างนั้น ได้พูดอย่างนั้น ได้นิ่งอย่างนั้น แล้วเรากลับจากบ้านนั้น มาสู่บ้านของตนตามเดิม ดังนี้ ฉันใด สาวกทั้งหลายของเรา ก็ฉันนั้นแลปฏิบัติตามปฏิปทา ที่เราบอกแล้ว ย่อมระลึก ชาติก่อนได้เป็นอันมาก คือ ระลึกได้ชาติหนึ่งบ้างสองชาติบ้าง ฯลฯ เธอย่อมระลึก ชาติก่อน ได้เป็นอันมาก พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศด้วยประการฉะนี้

           ก็เพราะสาวกทั้งหลายของเรา ปฏิบัติตามปฏิปทา ที่เราบอกแล้วนั้นแล สาวก ของเราเป็นอันมาก จึงได้บรรลุบารมี อันเป็นที่สุดแห่งอภิญญาอยู่

....................................................................................................................................

           [๓๕๓] ดูกรอุทายี อีกประการหนึ่ง เราได้บอกปฏิปทา แก่สาวกทั้งหลายแล้ว สาวกทั้งหลายของเรา ปฏิบัติตามแล้ว ย่อมเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดีมีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุ ของ มนุษย์ ย่อมรู้ชัด ซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรมว่า สัตว์เหล่านี้ประกอบด้วยกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ติเตียนพระอริยเจ้าเป็นมิจฉาทิฏฐิ ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจ มิจฉาทิฏฐิ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เขาเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ส่วนสัตว ์เหล่านี้ ประกอบด้วยกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริตไม่ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นสัมมาทิฏฐิ ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจสัมมาทิฏฐิ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เขาเข้าถึงสุคติ โลก สวรรค์ ดังนี้

           ดูกรอุทายี เปรียบเหมือนเรือนสองหลัง ที่มีประตูร่วมกัน บุรุษผู้มีจักษุยืนอยู่ ตรงกลางที่เรือนนั้น จะพึงเห็นหมู่ชนกำลังเข้าไปบ้างกำลังเดินวนเวียนอยู่บ้างที่เรือน ฉันใด สาวกทั้งหลายของเราก็ฉันนั้นแล ปฏิบัติตามปฏิปทาที่เราบอกแล้ว ย่อมเห็น หมู่สัตว์ กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทรามได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ ผู้เป็นไปตามกรรม ด้วยประการฉะนี้

           ก็เพราะสาวกทั้งหลายของเรา ปฏิบัติตามปฏิปทาที่เราบอกแล้วนั้นแล สาวก ของเรา เป็นอันมาก จึงได้บรรลุบารมี อันเป็นที่สุดแห่งอภิญญาอยู่

....................................................................................................................................

           [๓๕๔] ดูกรอุทายี อีกประการหนึ่ง เราได้บอกปฏิปทาแก่สาวกทั้งหลายแล้ว สาวกทั้งหลายของเรา ปฏิบัติตามแล้ว ย่อมทำให้แจ้ง ซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งของตนเอง ในปัจจุบันเข้าถึงอยู่

           ดูกรอุทายี เปรียบเหมือนสระน้ำบนยอดเขา ใสสะอาด ไม่ขุ่นมัว บุรุษผู้มีจักษุ ยืนอยู่บนขอบสระนั้น จะพึงเห็นหอยโข่ง และหอยกาบต่างๆ บ้าง ก้อนกรวด และก้อนหิน บ้าง ฝูงปลาบ้าง กำลังว่ายอยู่บ้าง หยุดอยู่บ้างในสระน้ำนั้น เขาจะพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า สระน้ำนี้ใสสะอาดไม่ขุ่นมัว หอยโข่งและหอยกาบต่างๆ บ้าง ก้อนหินบ้าง ฝูงปลาบ้าง เหล่านี้ กำลังว่ายอยู่บ้าง หยุดอยู่บ้าง ในสระนั้นดังนี้ฉันใด สาวกทั้งหลายของเรา ก็ฉันนั้นแล ปฏิบัติตามปฏิปทาที่เราบอกแล้ว ย่อมทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งของตนเองในปัจจุบันเข้าถึงอยู่
ก็เพราะสาวกทั้งหลาย ของเราปฏิบัติตามปฏิปทา ที่เราบอกแล้วนั้นแล สาวกของเรา เป็นอันมาก จึงได้บรรลุบารมี อันเป็นที่สุดแห่งอภิญญาอยู่

           [๓๕๕] ดูกรอุทายี นี้แลธรรมข้อที่ห้า อันเป็นเหตุให้สาวกทั้งหลายของเรา สักการะเคารพ นับถือ บูชา แล้วพึ่งเราอยู่

           ดูกรอุทายี ธรรมห้าประการนี้แล เป็นเหตุให้สาวก ทั้งหลายของเราสักการะ เคารพนับถือ บูชา แล้วพึ่งเราอยู่ ฉะนี้

           พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว. สกุลุทายีปริพาชก ยินดีชื่นชมพระภาษิต ของพระผู้มีพระภาคแล้ว ดังนี้แล

จบ มหาสกุลุทายิสูตร ที่ ๗

 





พุทธวจน : อ่านคำสอนพระศาสดา อ่านแบบสบายตา โดยคัดลอกหนังสือทั้งเล่มมาจัดทำเป็นเว็บเพจ (คลิกอ่านพร้อมดาวน์โหลดไฟล์ pdf)
90 90 90 90
พุทธประวัติ ขุมทรัพย์ อริยสัจ
ภาคต้น
อริยสัจ
ภาคปลาย
ปฏิจจ ปฐมธรรม ตถาคต อนาคามี อินทรีย์
สังวร
สัตว์
สัตตานัง
ทาน
สกทาคามี
ฆราวาส
ชั้นเลิศ
มรรควิธี
ที่ง่าย
อริยวินัย เดรัจฉานวิชา กรรม สมถะ
วิปัสสนา
โสดาบัน นา
ปานสติ
จิต มโน
วิญญาณ
ก้าวย่าง
อย่างพุทธะ
ตามรอย
ธรรม
ภพ ภูมิ
พุทธวจน
สาธยาย
ธรรม
สังโยชน์