(1)
พระวินัยปิฎกเล่มที่ ๔
มหาวรรค ภาค ๑ หน้าที่ ๒๔๔
อันตรายของภิกษุผู้จำพรรษา
ถูกสัตว์ร้ายเบียดเบียนเป็นต้น
[๒๑๔] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุทั้งหลายจำพรรษาในอาวาสแห่งหนึ่ง ในโกศลชนบท ถูกเหล่าสัตว์ร้ายเบียดเบียน มันจับเอาไปได้บ้าง หนีมันรอดมาได้บ้าง. ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลาย ว่าดังนี้:-
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุทั้งหลายในศาสนานี้จำพรรษาแล้ว ถูกสัตว์ร้าย เบียดเบียน มันจับเอาไปได้บ้าง หนีมันรอดมาได้บ้าง. พวกเธอพึงหลีกไป ด้วยความ สำคัญว่า นั่นแลอันตรายไม่ต้องอาบัติ แต่พรรษาขาด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุทั้งหลายในศาสนานี้จำพรรษาแล้ว ถูกงู เบียดเบียน มันขบกัดเอาบ้าง หนีมันรอดมาได้บ้าง. พวกเธอพึงหลีกไป ด้วยสำคัญว่า นั่นแลอันตราย ไม่ต้องอาบัติ แต่พรรษาขาด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุทั้งหลายในศาสนานี้จำพรรษาแล้ว พวกโจร เบียดเบียน มันปล้นบ้าง รุมตีบ้าง. พวกเธอพึงหลีกไปด้วยสำคัญว่า นั่นแลอันตราย ไม่ต้องอาบัติ แต่พรรษาขาด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุทั้งหลายในศาสนานี้จำพรรษาแล้ว .ถูกพวก ปิศาจ รบกวนมันเข้าสิงบ้าง พาเอาไปบ้าง. พวกเธอพึงหลีกไปด้วยสำคัญว่า นั่นแลอันตราย ไม่ต้องอาบัติแต่พรรษาขาด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง เมื่อภิกษุทั้งหลายในศาสนานี้จำพรรษาแล้ว หมู่บ้าน ประสบอัคคีภัย. ภิกษุทั้งหลายลำบากด้วยบิณฑบาต.
พวกเธอพึงหลีกไปด้วย สำคัญ ว่านั่นแลอันตรายไม่ต้องอาบัติ แต่พรรษาขาด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง เมื่อภิกษุทั้งหลายในศาสนานี้จำพรรษาแล้ว เสนาสนะ ถูกไฟไหม้. ภิกษุทั้งหลายเดือดร้อนด้วยเสนาสนะ. พวกเธอพึงหลีกไปด้วยสำคัญว่า นั่นแลอันตราย ไม่ต้องอาบัติ แต่พรรษาขาด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง เมื่อภิกษุทั้งหลายในศาสนานี้จำพรรษาแล้ว หมู่บ้าน ประสบอุทกภัย. ภิกษุทั้งหลายลำบากด้วยบิณฑบาต. พวกเธอพึงหลีกไปด้วยสำคัญ ว่า นั่นแลอันตรายไม่ต้องอาบัติ แต่พรรษาขาด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง เมื่อภิกษุทั้งหลายในศาสนานี้จำพรรษาแล้ว เสนาสนะ ถูกน้ำท่วม. ภิกษุทั้งหลายเดือดร้อนด้วยเสนาสนะ. พวกเธอพึงหลีกไปด้วยสำคัญว่า นั่นแลอันตรายไม่ต้องอาบัติ แต่พรรษาขาด
-------------------------------------------------------------------------------------------------------
(2)
[๒๑๕] ก็โดยสมัยนั้นแล เมื่อภิกษุทั้งหลายจำพรรษาในอาวาสแห่งหนึ่ง
ชาวบ้านอพยพไปเพราะพวกโจรภัย. ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้น แด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ไป ตามชาวบ้าน.
ชาวบ้านแยกกันเป็นสองพวก. ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้น แด่พระผู้มี พระภาค. พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ไปตามชาวบ้าน ที่มากกว่า.
ชาวบ้านที่มากกว่าเป็นผู้ไม่มีศรัทธา ไม่เลื่อมใส. ภิกษุทั้งหลายกราบทูล เรื่องนั้นแด่พระพุทธเจ้า. พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ไป ตามชาวบ้านที่มีศรัทธาเลื่อมใส
-------------------------------------------------------------------------------------------------------
(3)
[๒๑๖] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุทั้งหลายจำพรรษาในอาวาสแห่งหนึ่ง ในโกศลชนบท ไม่ได้โภชนาหารอันเศร้าหมอง หรือประณีตบริบูรณ์ตาม ต้องการ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาครับสั่งกะ ภิกษุทั้งหลาย ว่าดังนี้:-
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุทั้งหลายในศาสนานี้จำพรรษาแล้ว ไม่ได้ โภชนาหาร อันเศร้าหมองหรือประณีตบริบูรณ์ตามต้องการ. พวกเธอพึงหลีกไป ด้วยสำคัญว่า นั่นแลอันตรายไม่ต้องอาบัติ แต่พรรษาขาด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุทั้งหลายในศาสนานี้จำพรรษาแล้ว ได้โภชนาหาร อันเศร้าหมองหรือประณีต บริบูรณ์ตามต้องการ แต่ไม่ได้ โภชนาหาร อันเป็นที่สบาย พวกเธอพึงหลีกไปด้วยสำคัญว่า นั่นแลอันตราย ไม่ต้องอาบัติ แต่พรรษาขาด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุทั้งหลายในศาสนานี้จำพรรษาแล้ว ได้โภชนาหาร อันเศร้าหมองหรือประณีต บริบูรณ์ตามต้องการ และได้ โภชนาหาร อันเป็นที่สบาย แต่ไม่ได้เภสัชอันเป็นที่สบาย พวกเธอพึงหลีกไป ด้วยสำคัญว่า นั่นแลอันตราย ไม่ต้องอาบัติ แต่พรรษาขาด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุทั้งหลายในศาสนานี้จำพรรษาแล้ว ได้โภชนาหาร อันเศร้าหมองหรือประณีต บริบูรณ์ตามต้องการ ได้โภชนาหารอันเป็นที่สบาย ได้เภสัช อันเป็นที่สบายแต่ไม่ได้อุปัฏฐากที่สมควร พวกเธอพึงหลีกไปด้วยสำคัญว่า นั่นแลอันตราย ไม่ต้องอาบัติแต่พรรษาขาด
-------------------------------------------------------------------------------------------------------
(4)
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่งภิกษุในศาสนานี้จำพรรษาแล้วสตรีนิมนต์ว่าขอท่าน จงมาเถิดเจ้าข้า ดิฉันจะถวาย เงิน ทอง นา สวน พ่อโค แม่โค ทาส ทาสี แก่ท่าน จะยกลูกสาวให้เป็นภรรยาของท่าน ดิฉันจะยอมเป็นภรรยาของท่าน หรือมิฉะนั้น จะนำ สตรีอื่นมาให้เป็นภรรยาของท่าน.
ในเรื่องนั้น ถ้าภิกษุจะคิดอย่างนี้ ว่า พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า จิตเป็นธรรมชาติ กลับกลอกเร็วนัก สักหน่อยจะเป็น อันตราย แก่ พรหมจรรย์ ของเราก็ได้ พึงหลีกไปเสีย ไม่ต้องอาบัติ แต่พรรษาขาด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้จำพรรษาแล้วหญิงแพศยานิมนต์ .... หญิงสาวเทื้อนิมนต์ .... บัณเฑาะก์นิมนต์ .... พวกญาตินิมนต์ .... พระราชา ทั้งหลาย นิมนต์ .... พวกโจรนิมนต์ ....พวกนักเลงนิมนต์ว่า ขอท่านมาเถิด ขอรับ พวกข้าพเจ้า จักถวาย เงิน ทอง นา สวน พ่อโคแม่โค ทาส ทาสี แก่ท่าน จะยก ลูกสาว ให้เป็น ภรรยา ท่าน หรือจะนำสตรีอื่นมาให้เป็นภรรยาของท่าน.
ในเรื่องนั้น ถ้าภิกษุจะคิดอย่างนี้ว่า พระผู้มีพระภาคตรัสว่า จิตเป็นธรรมชาติ กลับกลอกเร็วนัก สักหน่อยจะเป็นอันตรายแก่ พรหมจรรย์ของเราก็ได้ พึงหลีกไปเสีย ไม่ต้องอาบัติ แต่พรรษาขาด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่งภิกษุในศาสนานี้จำพรรษาแล้วพบทรัพย์ไม่มีเจ้าของ. ในเรื่องนั้น ถ้าภิกษุจะคิดอย่างนี้ว่าพระผู้มีพระภาคตรัสว่า จิตเป็นธรรมชาติกลับกลอก เร็วนักสักหน่อย จะเป็นอันตรายแก่พรหมจรรย์ของเราก็ได้ พึงหลีกไปเสีย ไม่ต้อง อาบัติแต่พรรษาขาด
-------------------------------------------------------------------------------------------------------
(5)
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้จำพรรษาแล้ว เห็นภิกษุมากรูป ด้วยกัน กำลังตะเกียกตะกายเพื่อทำลายสงฆ์. ในเรื่องนั้น ถ้าภิกษุจะคิดอย่างนี้ว่า พระผู้มีพระภาค ตรัสว่าการทำลายสงฆ์ เป็นกรรมหนักนัก เมื่อเราอยู่พร้อมหน้า สงฆ์ อย่าแตกกันเลย พึงหลีกไปเสียไม่ต้องอาบัติ แต่พรรษาขาด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้จำพรรษาแล้ว ได้สดับข่าวว่า ภิกษุ มากรูปด้วยกัน กำลังตะเกียกตะกายเพื่อทำลายสงฆ์. ในเรื่องนั้นถ้าภิกษุจะคิด อย่างนี้ ว่า พระผู้มีพระภาคตรัสว่า การทำลายสงฆ์เป็นกรรมหนักนัก เมื่อเรายังอยู่ พร้อมหน้า สงฆ์อย่าแตกกันเลยพึงหลีกไปเสีย ไม่ต้องอาบัติ แต่พรรษาขาด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้จำพรรษาแล้ว ได้สดับข่าวว่า ใน อาวาส ชื่อโน้นภิกษุมากรูปด้วยกัน กำลังตะเกียกตะกายเพื่อทำลายสงฆ์. ในเรื่องนั้น ถ้าภิกษุ จะคิดอย่างนี้ว่าภิกษุเหล่านั้น ล้วนเป็นมิตรของเรา เราจักว่า กล่าวพวกเธอว่า อาวุโส ทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคตรัสว่า การทำลายสงฆ์เป็นกรรม หนักนัก พวกท่าน อย่าพอใจ ทำลายสงฆ์เลย ดังนี้ พวกเธอจักทำตาม จักเชื่อฟังคำ ของเรา จักเงี่ยโสต ลงสดับ พึงหลีกไปเสีย ไม่ต้องอาบัติ แต่พรรษาขาด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้จำพรรษาแล้ว ได้สดับข่าวว่า ในอาวาสชื่อโน้น ภิกษุมากรูปด้วยกัน กำลังตะเกียกตะกายเพื่อทำลายสงฆ์. ในเรื่องนั้น ถ้าภิกษุ จะคิดอย่างนี้ว่า ภิกษุเหล่านั้นไม่ใช่มิตรของเราเลย แต่ภิกษุที่เป็น มิตรของภิกษุเหล่านั้น เป็นมิตรกับเรา เราจักบอกกับภิกษุเหล่านั้น ภิกษุที่เราบอกแล้ว นั้น จักว่ากล่าว พวกเธอว่า อาวุโสทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคตรัสว่า การทำลายสงฆ์ เป็นกรรมหนักนัก พวกท่านอย่าพอใจทำลายสงฆ์เลย ดังนี้ พวกเธอจักทำตาม จักเชื่อฟังคำของเรา จักเงี่ยโสตลงสดับ พึงหลีกไปเสียไม่ต้องอาบัติ แต่พรรษาขาด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้จำพรรษาแล้ว ได้สดับข่าวว่า ในอาวาสชื่อโน้น ภิกษุมากรูปด้วยกัน ได้ทำลายสงฆ์แล้ว. ในเรื่องนั้น ถ้าภิกษุ จะคิดอย่างนี้ว่า ภิกษุเหล่านั้นล้วนเป็นมิตรของเรา เราจักว่ากล่าวพวกเธอว่า อาวุโส ทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคตรัสว่า การทำลายสงฆ์เป็นกรรมหนักนัก พวกท่านอย่า พอใจ ทำลายสงฆ์เลย ดังนี้ พวกเธอจักทำตามจักเชื่อฟังคำของเรา จักเงี่ยโสต ลงสดับ พึงหลีกไป เสีย ไม่ต้องอาบัติ แต่พรรษาขาด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้จำพรรษาแล้ว ได้สดับข่าวว่า ในอาวาสชื่อโน้น ภิกษุมากรูปด้วยกัน ได้ทำลายสงฆ์แล้ว. ในเรื่องนั้น ถ้าภิกษุ จะคิดอย่างนี้ว่า ภิกษุเหล่านั้นมิใช่มิตรของเราเลย แต่ภิกษุที่เป็นมิตรของภิกษุ เหล่านั้น เป็นมิตรกับเรา เราจักบอกภิกษุเหล่านั้นภิกษุ ที่เราบอกแล้วนั้น จักว่ากล่าว พวกเธอว่า อาวุโสทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคตรัสว่า การทำลายสงฆ์เป็นกรรมหนัก นัก พวกท่าน อย่าพอใจทำลาย สงฆ์เลย ดังนี้ พวกเธอจักทำตาม จักเชื่อฟังคำ ของเรา จักเงี่ยโสต ลงสดับ พึงหลีก ไปเสีย ไม่ต้องอาบัติ แต่พรรษาขาด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้จำพรรษาแล้ว ได้สดับข่าวว่า ในอาวาส ชื่อโน้นภิกษุณีมากรูปด้วยกัน กำลังตะเกียตะกายเพื่อทำลายสงฆ์. ในเรื่องนั้น ถ้าภิกษุ จะคิดอย่างนี้ว่า ภิกษุณีเหล่านั้นล้วนเป็นมิตรของเรา เราจักว่า กล่าวพวกเธอว่า ดูกรน้องหญิงทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคตรัสว่า การทำลายสงฆ์เป็น กรรมหนักนัก พวกน้องหญิงอย่าพอใจทำลายสงฆ์เลย ดังนี้พวกเธอจักทำตาม จักเชื่อฟังคำของเรา จักเงี่ยโสตลงสดับ พึงหลีกไปเสีย ไม่ต้องอาบัติแต่พรรษาขาด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้จำพรรษาแล้ว ได้สดับข่าวว่า ในอาวาส ชื่อโน้นภิกษุณีมากรูปด้วยกัน กำลังตะเกียกตะกายเพื่อทำลายสงฆ์. ในเรื่องนั้น ถ้าภิกษุจะคิดอย่างนี้ว่า ภิกษุณีเหล่านั้นมิใช่มิตรของเราเลย แต่ภิกษุณี ที่เป็นมิตรของภิกษุ เหล่านั้น เป็นมิตรกับเราเราจักบอกภิกษุณีเหล่านั้น ภิกษุณี ที่เราบอกแล้วนั้น จักว่ากล่าว พวกเธอว่า ดูกรน้องหญิงทั้งหลาย พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า การทำลายสงฆ์เป็นกรรมหนัก นัก พวกน้องหญิงอย่าพอใจ ทำลายสงฆ์เลย ดังนี้ พวกเธอจักทำตาม จักเชื่อฟังคำ ของเรา จักเงี่ยโสตลงสดับ พึงหลีกไปเสีย ไม่ต้องอาบัติแต่พรรษาขาด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้จำพรรษาแล้ว ได้สดับข่าวว่า ในอาวาส ชื่อโน้นภิกษุณีมากรูปด้วยกัน ได้ทำลายสงฆ์แล้ว. ในเรื่องนั้น ถ้าภิกษุ จะคิดอย่างนี้ว่า ภิกษุณีเหล่านั้นล้วนเป็นมิตรของเรา เราจักว่ากล่าวพวกเธอว่า ดูกรน้องหญิงทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคตรัสว่า การทำลายสงฆ์เป็นกรรมหนักนัก พวกน้องอย่าพอใจทำลาย สงฆ์เลย ดังนี้ พวกเธอจักทำตามจักเชื่อฟังคำของเรา จักเงี่ยโสตลงสดับ พึงหลีก ไปเสีย ไม่ต้องอาบัติ แต่พรรษาขาด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้จำพรรษาแล้ว ได้สดับข่าวว่า ในอาวาส ชื่อโน้นภิกษุณีมากรูปด้วยกัน ได้ทำลายสงฆ์แล้ว. ในเรื่องนั้น ถ้าภิกษุ จะคิดอย่างนี้ว่า ภิกษุณีเหล่านั้นไม่ใช่มิตรของเราเลย แต่ภิกษุณีที่เป็นมิตรของ ภิกษุณี เหล่านั้น เป็นมิตร กับเรา เราจักบอกภิกษุณีเหล่านั้น ภิกษุณีที่เราบอกแล้ว นั้น จักว่า กล่าวพวกเธอว่า ดูกรน้องหญิงทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคตรัสว่า การทำลายสงฆ์ เป็นกรรมหนักนัก พวกน้องหญิงอย่าพอใจทำลายสงฆ์เลย ดังนี้พวกเธอจักทำตาม จักเชื่อฟังคำของเรา จักเงี่ยโสตลงสดับ พึงหลีกไปเสีย ไม่ต้องอาบัติแต่พรรษาขาด
อันตรายของภิกษุผู้จำพรรษา จบ.
-------------------------------------------------------------------------------------------------------
(6)
จำพรรษาในสถานที่ต่างๆ
[๒๑๗] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งใคร่จำพรรษาในหมู่โคต่าง*. ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้น แด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาค รับสั่งว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้จำพรรษาในหมู่โคต่างได้.
* โคที่ใช้ทำงาน เช่นบรรทุกของ หรือทำนา
หมู่โคต่างย้ายไป. ภิกษุทั้งหลาย กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาค รับสั่งว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้เดินทางไปกับหมู่โค ต่างได้
สมัยต่อมา ภิกษุรูปหนึ่งเมื่อจวนถึงวันเข้าพรรษา ใคร่จะเดินทางไปกับพวก เกวียน. ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาค รับสั่งว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้จำพรรษาในหมู่พวกเกวียนได้
สมัยต่อมา ภิกษุรูปหนึ่ง เมื่อจวนถึงวันเข้าพรรษา ใคร่จะเดินทางไปกับเรือ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้น แด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาค รับสั่งว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้จำพรรษาในเรือได้
-------------------------------------------------------------------------------------------------------
(7)
จำพรรษาในสถานที่ไม่สมควร
[๒๑๘] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งจำพรรษาในโพรงไม้. คนทั้งหลาย พากันเพ่งโทษติเตียนโพนทะนาว่า เหมือนพวกปิศาจ.
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้น แด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสห้ามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึง จำพรรษาในโพรงไม้ รูปใดจำต้องอาบัติทุกกฏ
สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายจำพรรษาบนค่าคบไม้. คนทั้งหลายพากันเพ่งโทษ ติเตียนโพนทะนาว่า เหมือนพรานเนื้อ. ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้น แด่พระผู้มี พระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสห้ามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงจำพรรษาบน ค่าคบไม้ รูปใดจำ ต้องอาบัติทุกกฏ
[๒๑๙] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุทั้งหลายจำพรรษาในที่แจ้ง. เมื่อฝนตก ก็พากันวิ่งเข้าไปสู่โพรงไม้บ้าง สู่ชายคาบ้าง.
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้น แด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสห้ามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงจำ พรรษาในที่แจ้ง รูปใดจำ ต้องอาบัติทุกกฏ
สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายหาเสนาสนะไม่ได้จำพรรษา เดือดร้อนด้วยความหนาว บ้าง ด้วยความร้อนบ้าง จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
พระผู้มีพระภาคตรัส ห้ามว่าดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่มีเสนาสนะไม่พึงจำพรรษา รูปใดจำ ต้องอาบัติ ทุกกฏ
สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายจำพรรษาในกระท่อมผี. คนทั้งหลายพากันเพ่งโทษ ติเตียนโพนทะนาว่า เหมือนพวกสัปเหร่อ.
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มี พระภาค.พระผู้มีพระภาค ตรัสห้ามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงจำพรรษาใน กระท่อมผี รูปใดจำต้องอาบัติทุกกฏ
สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายจำพรรษาในร่ม. คนทั้งหลายพากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่าเหมือนพวกคนเลี้ยงวัว.
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้น แด่พระผู้มี พระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสห้ามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงจำพรรษาในร่ม รูปใดจำ ต้องอาบัติทุกกฏ
สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายจำพรรษาในตุ่ม. คนทั้งหลายพากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่าเหมือนพวกเดียรถีย์.
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้น แด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสห้ามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงจำพรรษาในตุ่ม รูปใดจำ ต้องอาบัติทุกกฏ
-------------------------------------------------------------------------------------------------------
(8)
ตั้งกติกาไม่เป็นธรรมในระหว่างพรรษา
[๒๒๐] ก็โดยสมัยนั้นแล พระสงฆ์ในพระนครสาวัตถีได้ตั้งกติกา ไว้ว่า ในระหว่างพรรษาห้ามไม่ให้บรรพชา หลานชายของนางวิสาขา มิคารมาตา ได้เข้าไปหาภิกษุทั้งหลายแล้วขอบรรพชา.
ภิกษุทั้งหลายบอกอย่างนี้ว่า คุณพระสงฆ์ ได้ตั้งกติกาไว้แล้วว่า ในระหว่างพรรษา ห้ามไม่ให้บรรพชาคุณ จงรออยู่จนกว่าภิกษุ ทั้งหลายผู้จำพรรษาเสร็จแล้ว จึงจะบวชให้.
ครั้นภิกษุเหล่านั้นจำพรรษาแล้ว ได้บอกหลานชายของนางวิสาขา มิคารมาตา ว่า อาวุโส บัดนี้ ท่านจงมาบวชเถิดเขาจึงเรียนอย่างนี้ว่า ท่านขอรับ ถ้ากระผมจักได้ บวชแล้วไซร้ จะพึงยินดียิ่ง แต่เดี๋ยวนี้กระผมยังไม่บวชละ
นางวิสาขา มิคารมาตาจึงได้เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระคุณเจ้า ทั้งหลาย จึงได้ตั้งกติกาไว้เช่นนี้ว่า ในระหว่างพรรษาห้ามไม่ให้บรรพชา กาลเช่นไร เล่า จึงไม่ควรประพฤติธรรม
ภิกษุทั้งหลายได้ยินนางเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ จึงกราบทูลเรื่องนั้น แด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาค ตรัสห้ามภิกษุทั้งหลายว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงตั้งกติกาเช่นนี้ว่า ในระหว่างพรรษาห้ามไม่ให้ บรรพชา รูปใดตั้ง ต้องอาบัติ ทุกกฏ
-------------------------------------------------------------------------------------------------------
(9)
จำพรรษาในอาวาส ๒ แห่ง
[๒๒๑] ก็โดยสมัยนั้นแล ท่านพระอุปนนทศากยบุตร ถวายปฏิญาณแก่ พระเจ้าปเสนทิโกศลว่า จะจำพรรษาในวันเข้าพรรษาต้น. ท่านไปสู่อาวาสนั้น ในระหว่างทาง ได้พบอาวาส ๒ แห่งมีจีวรมาก จึงคิดว่า ไฉนหนอ เราจะพึงจำพรรษา ในอาวาส ๒ แห่งนี้ เมื่อเป็นเช่นนี้ จีวรเป็นอันมากก็จักบังเกิดแก่เรา ดังนี้ เราจึงจำพรรษา ในอาวาส ๒ แห่งนั้น.
พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า พระคุณเจ้าอุปนนท ศากยบุตร ให้ปฏิญาณแก่เราว่าจะจำพรรษา ไฉนจึงได้ทำให้คลาดเสียเล่า พระผู้มีพระภาค ทรงติเตียนการพูดเท็จ ทรงสรรเสริญกิริยาที่เว้นจากการพูดเท็จ โดยอเนกปริยายมิใช่หรือ?
ภิกษุทั้งหลายได้ยินท้าวเธอทรงเพ่งโทษ ติเตียนโพนทะนาอยู่.
บรรดาที่เป็นผู้มักน้อย ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ท่านพระอุปนนท ศากยบุตร ถวายปฏิญาณแก่พระเจ้าปเสนทิโกศลว่า จะจำพรรษา ไฉนจึงได้ทำให้ คลาดเสียเล่า พระผู้มีพระภาคทรงติเตียนการพูดเท็จ ทรงสรรเสริญกิริยาที่เว้นจาก การพูดเท็จ โดยอเนกปริยายมิใช่หรือ? ดังนี้ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์.
ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้นแล้ว ทรงสอบถามท่านพระอุปนนทศากยบุตรว่า ดูกรอุปนนท์ ข่าวว่าเธอถวายปฏิญาณแก่พระเจ้าปเสนทิโกศลว่า จะอยู่จำพรรษา แล้วทำให้คลาดจริงหรือ? ท่านอุปนนทศากยบุตรทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษ เธอถวายปฏิญาณแก่ พระเจ้า ปเสนทิโกศล ว่าจะจำพรรษา ไฉนจึงได้ทำให้คลาดเสียเล่า? เราติเตียน การพูดเท็จ สรรเสริญกิริยาที่เว้นจากการพูดเท็จ โดยอเนกปริยายแล้วมิใช่หรือ? การกระทำ ของเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชน ที่ยังไม่เลื่อมใส .... ครั้นแล้ว ทรงทำธรรมีกถา รับสั่งกะภิกษุทั้งหลาย ว่าดังนี้:-
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในศาสนานี้ให้ปฏิญาณไว้ว่า จะจำพรรษา ในวัน เข้าพรรษาต้น.เธอไปสู่อาวาสนั้น พบอาวาส ๒ แห่งมีจีวรมาก ในระหว่างทางจึงคิด อย่างนี้ว่า ไฉนหนอเราจะพึงจำพรรษาในอาวาส ๒ แห่งนี้ เมื่อเป็นเช่นนี้ จีวรเป็น อันมาก ก็จักบังเกิดแก่เรา ดังนี้. เธอจึงจำพรรษาในอาวาส ๒ แห่งนั้น.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย วันจำพรรษาต้นของภิกษุนั้น ไม่ปรากฏและเธอต้องอาบัติ ทุกกฏ. เพราะรับคำปฏิญาณจำพรรษาต้น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้ให้ปฏิญาณไว้ว่า จะจำพรรษาในวัน เข้าพรรษาต้น. เธอไปสู่อาวาสนั้น ทำอุโบสถภายนอกวิหาร ถึงวันแรม ๑ ค่ำ จึงเข้า วิหาร จัดเสนาสนะตั้งน้ำฉัน น้ำใช้ กวาดบริเวณ.
เธอไม่มีกิจจำเป็นหลีกไปเสีย ในวันนั้นทีเดียว.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย วันจำพรรษาต้นของภิกษุนั้นไม่ปรากฏ และเธอ ต้องอาบัติ ทุกกฏ เพราะรับคำ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้ให้ปฏิญาณไว้ว่า จะจำพรรษาในวัน เข้าพรรษาต้น. เธอไปสู่อาวาสนั้น ทำอุโบสถภายนอกวิหาร ถึงวันแรม ๑ ค่ำ จึงเข้า วิหาร จัดหาเสนาสนะ ตั้งน้ำฉัน น้ำใช้ กวาดบริเวณ. เธอมีกิจจำเป็น หลีกไปเสีย ในวันนั้นทีเดียว ดูกรภิกษุทั้งหลาย วันจำพรรษาต้นของภิกษุนั้นไม่ปรากฏ และเธอ ต้องอาบัติ ทุกกฏ เพราะรับคำ.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้ให้ปฏิญาณไว้ว่า จะจำพรรษาในวัน เข้าพรรษาต้น. เธอไปสู่อาวาสนั้น ทำอุโบสถภายนอกวิหาร ถึงวันแรม ๑ ค่ำ จึงเข้าวิหาร จัดหาเสนาสนะ ตั้งน้ำฉัน น้ำใช้ กวาดบริเวณ. เธอพักอยู่ ๒-๓ วัน ไม่มีกิจจำเป็น หลีกไปเสีย. ดูกรภิกษุทั้งหลาย วันจำพรรษาต้นของภิกษุนั้นไม่ปรากฏ และเธอ ต้องอาบัติทุกกฏ เพราะรับคำ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้ให้ปฏิญาณไว้ว่า จะจำพรรษาในวัน เข้าพรรษาต้น. เธอไปสู่อาวาสนั้น ทำอุโบสถภายนอกวิหาร ถึงวันแรม ๑ ค่ำ จึงเข้า วิหาร จัดเสนาสนะตั้งน้ำฉัน น้ำใช้ กวาดบริเวณ. เธอพักอยู่ ๒-๓ วัน มีกิจจำเป็น หลีกไปเสีย. ดูกรภิกษุทั้งหลาย วันจำพรรษาต้นของภิกษุนั้นไม่ปรากฏ และเธอ ต้อง อาบัติทุกกฏ เพราะรับคำ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้ให้ปฏิญาณไว้ว่า จะจำพรรษาในวัน เข้าพรรษาต้น. เธอไปสู่อาวาสนั้น ทำอุโบสถภายนอกวิหาร ถึงวันแรม ๑ ค่ำ จึงเข้า วิหาร จัดเสนาสนะตั้งน้ำฉัน น้ำใช้ กวาดบริเวณ. เธอพักอยู่ ๒-๓ วัน แล้วหลีกไป ด้วย สัตตาหกรณียะ*. เธออยู่ภายนอกพ้น ๗ วัน.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย วันจำพรรษาต้น ของภิกษุนั้นไม่ปรากฏ และเธอ ต้องอาบัติ ทุกกฏ เพราะรับคำ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้ให้ปฏิญาณไว้ว่า จะจำพรรษาในวัน เข้าพรรษาต้น. เธอพักอยู่ ๒-๓ วัน แล้วหลีกไปด้วย สัตตาหกรณียะ. เธอกลับมา ภายใน ๗ วัน. ดูกรภิกษุทั้งหลาย วันจำพรรษาต้น ของภิกษุนั้นปรากฏ และ เธอ ไม่ต้องอาบัติ เพราะรับคำ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้ให้ปฏิญาณไว้ว่า จะจำพรรษาในวัน เข้าพรรษาต้น. เธอไปสู่อาวาสนั้น ทำอุโบสถภายนอกวิหาร ถึงวันแรม ๑ ค่ำ จึงเข้า วิหารจัดเสนาสนะตั้งน้ำฉัน น้ำใช้ กวาดบริเวณ. ยังอีก ๗ วัน จะถึงวันปวารณา เธอมีกิจจำเป็น หลีกไปเสีย.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้นจะมาสู่อาวาสนั้นก็ตาม ไม่มาก็ตาม. วันจำพรรษา ต้นของภิกษุนั้น ปรากฏ และ เธอไม่ต้องอาบัติ เพราะรับคำ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้ให้ปฏิญาณไว้ว่า จะจำพรรษาในวัน เข้าพรรษาต้น.เธอไปสู่อาวาสนั้น ทำอุโบสถ ถึงวันแรม ๑ ค่ำ จึงเข้าวิหาร จัดเสนา สนะ ตั้งน้ำฉัน น้ำใช้กวาดบริเวณ.
เธอไม่มีกิจจำเป็น หลีกไปเสียในวันนั้นทีเดียว. ดูกรภิกษุทั้งหลาย วันจำพรรษา ต้นของภิกษุนั้นไม่ปรากฏ และ เธอต้องอาบัติทุกกฏ เพราะรับคำ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้ให้ปฏิญาณไว้ว่า จะจำพรรษาในวัน เข้าพรรษาต้น เธอไปสู่อาวาสนั้น ทำอุโบสถถึงวันแรม ๑ ค่ำ จึงเข้าวิหารจัดหา เสนาสนะ ตั้งน้ำฉันน้ำใช้ กวาดบริเวณ. เธอมีกิจจำเป็น หลีกไปเสียในวันนั้นทีเดียว ....
.... เธอพักอยู่ ๒-๓ วัน ไม่มีกิจจำเป็นหลีกไปเสีย ....
.... เธอพักอยู่ ๒-๓ วัน มีกิจจำเป็นหลีกไปเสีย ....
.... เธอพักอยู่ ๒-๓ วัน แล้วหลีกไปด้วย สัตตาหกรณียะ.
เธออยู่ภายนอกพ้น ๗ วัน.ดูกรภิกษุทั้งหลาย วันจำพรรษาต้นของภิกษุนั้น ไม่ปรากฏ และ เธอต้องอาบัติทุกกฏ เพราะรับคำ
เธอพักอยู่ ๒-๓ วัน แล้วหลีกไปด้วย สัตตาหกรณียะ. เธอกลับมาภายใน ๗ วัน.ดูกรภิกษุทั้งหลาย วันจำพรรษาต้นของภิกษุนั้นปรากฏ และ เธอไม่ต้องอาบัติ เพราะรับคำ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้ให้ปฏิญาณไว้ว่า จะจำพรรษาในวัน เข้าพรรษาต้น. เธอไปสู่อาวาสนั้น ทำอุโบสถถึงวันแรม ๑ ค่ำ จึงเข้าสู่วิหาร จัดเสนาสนะ ตั้งน้ำฉันน้ำใช้ กวาดบริเวณ.
ยังอีก ๗ วัน จะถึงวันปวารณา เธอมีกิจจำเป็นหลีกไป. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้นจะมาสู่อาวาสนั้นก็ตาม ไม่มาก็ตาม. วันจำพรรษาต้นของภิกษุนั้นปรากฏ และ เธอไม่ต้องอาบัติ เพราะรับคำ
สัตตาหะ แปลว่า สัปดาห์ หรือ เจ็ดวัน
มักใช้เป็นคำเรียกย่อ หมายถึง สัตตาหกรณียะ
* สัตตาหกรณียะ
ธุระเป็นเหตุให้ภิกษุออกจากวัดในระหว่างพรรษาได้ ๗ วัน ได้แก่
๑. ไปเพื่อพยาบาลสหธรรมิกหรือมารดาบิดาผู้เจ็บไข้
๒. ไปเพื่อระงับสหธรรมิกที่กระสันจะสึก
๓. ไปเพื่อกิจสงฆ์ เช่น ไปหาทัพพสัมภาระมาซ่อมวิหารที่ชำรุด ลงในเวลานั้น
๔. ไปเพื่อบำรุงศรัทธาของทายกซึ่งส่งมานิมนต์เพื่อการบำเพ็ญกุศลของเข และธุระอื่น จากนี้ที่เป็นกิจลักษณะอนุโลมตามนี้ได้ |
-------------------------------------------------------------------------------------------------------
(10)
ปฏิญาณจำพรรษาหลัง
[๒๒๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในศาสนานี้ให้ปฏิญาณไว้ว่า จะจำพรรษา ในวันเข้าพรรษาหลัง. เธอไปสู่อาวาสนั้น ทำอุโบสถภายนอกวิหาร ถึงวันแรม ๑ ค่ำ จึงเข้าวิหาร จัดเสนาสนะ ตั้งน้ำฉัน น้ำใช้ กวาดบริเวณ.
เธอไม่มีกิจจำเป็น หลีกไปเสียในวันนั้นทีเดียว. ดูกรภิกษุทั้งหลาย วันจำพรรษา หลังของภิกษุนั้นไม่ปรากฏ และเธอต้องอาบัติทุกกฏ เพราะรับคำ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้ได้ปฏิญาณไว้ว่า จะจำพรรษาในวัน เข้าพรรษาหลัง. เธอไปสู่อาวาสนั้น ทำอุโบสถภายนอกวิหาร ถึงวันแรม ๑ ค่ำ จึงเข้าวิหาร จัดเสนาสนะตั้งน้ำฉัน น้ำใช้ กวาดบริเวณ. เธอมีกิจจำเป็น หลีกไปเสีย ในวันนั้นทีเดียว ....
.... เธอพักอยู่ ๒-๓ วัน ไม่มีกิจจำเป็นหลีกไปเสีย ....
.... เธอพักอยู่ ๒-๓ วัน มีกิจจำเป็นหลีกไปเสีย ....
.... เธอพักอยู่ ๒-๓ วัน แล้วหลีกไปด้วยสัตตาหกรณียะ. เธออยู่ภายนอกพ้น ๗ วัน.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย วันจำพรรษาหลังของภิกษุนั้นไม่ปรากฏ และเธอต้องอาบัติ ทุกกฏ เพราะรับคำ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้ให้ปฏิญาณไว้ว่า จะจำพรรษาในวัน เข้าพรรษาหลัง. เธอไปสู่อาวาสนั้น ทำอุโบสถภายนอกวิหาร ถึงวันแรม ๑ ค่ำ จึงเข้า วิหาร จัดเสนาสนะ ตั้งน้ำฉัน น้ำใช้ กวาดบริเวณ. เธอพักอยู่ ๒-๓ วัน แล้วหลีกไป ด้วยสัตตาหะกรณียะ. เธอกลับมาภายใน ๗ วัน.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย วันจำพรรษาหลังของภิกษุนั้น ปรากฏและเธอไม่ต้องอาบัติ เพราะรับคำ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้ให้ปฏิญาณไว้ว่า จะจำพรรษาในวัน เข้าพรรษา
หลัง ....
.... ยังอีก ๗ วัน จะครบ ๔ เดือน อันเป็นที่บานแห่งดอกโกมุท เธอมีกิจจำเป็นหลีกไปเสีย.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้นจะมาสู่อาวาสนั้นก็ตาม ไม่มาก็ตาม. วันจำพรรษา หลังของภิกษุนั้นปรากฏ และเธอไม่ต้องอาบัติ เพราะรับคำ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้ให้ปฏิญาณไว้ว่า จะจำพรรษาในวัน เข้าพรรษาหลัง. เธอเข้าไปสู่อาวาสนั้น ทำอุโบสถ ถึงวันแรม ๑ ค่ำ จึงเข้าวิหาร จัดเสนาสนะ ตั้งน้ำฉันน้ำใช้ กวาดบริเวณ.
เธอไม่มีกิจจำเป็น หลีกไปเสียในวันนั้นทีเดียว ....
.... เธอมีกิจจำเป็น หลีกไปเสียในวันนั้นทีเดียว ....
.... เธอพักอยู่ ๒-๓ วัน ไม่มีกิจจำเป็นหลีกไปเสีย ....
.... เธอพักอยู่ ๒-๓ วัน มีกิจจำเป็นหลีกไปเสีย ....
.... เธอพักอยู่ ๒-๓ วัน แล้วหลีกไปด้วยสัตตาหกรณียะ.
เธออยู่ภายนอกพ้น ๗ วัน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย วันจำพรรษาหลังของเธอไม่ปรากฏ และเธอต้องอาบัติ ทุกกฏ เพราะรับคำ
.... เธอพักอยู่ ๒-๓ วัน แล้วหลีกไปด้วยสัตตาหกรณียะ. เธอกลับมาภายใน ๗ วัน.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย วันจำพรรษาหลังของภิกษุนั้นปรากฏ และเธอไม่ต้องอาบัติ เพราะรับคำ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้ให้ปฏิญาณไว้ว่า จะจำพรรษาในวัน เข้าพรรษาหลัง .... .... ยังอีก ๗ วันจะครบ ๔ เดือน อันเป็นที่บานแห่งดอกโกมุท เธอมีกิจจำเป็นหลีก ไปเสีย.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้นจักมาสู่อาวาสนั้นก็ตาม ไม่มาก็ตาม.
วันจำพรรษา หลังของภิกษุนั้นปรากฏ และเธอไม่ต้องอาบัติ เพราะรับคำ.
วัสสูปนายิกขันธกะ ที่ ๓ จบ.
|