- จตุกฺก.อํ.๒๑/๑๐๐/๗๓. 
                         
                        วาจาของสัตตบุรุษ และ อสัตตบุรุษ 
                         
                          ๑. วาจาของอสัตบุรุษ 
                        ภิกษุ ท. ! บุคคลประกอบด้วยธรรม ๔ ประการ  เป็นที่รู้กันว่าเป็น อสัตบุรุษ.  
                          สี่ประการ อย่างไรเล่า ? สี่ประการ  คือ :-  
                           
                          (1) ภิกษุ ท. ! อสัตบุรุษในกรณีนี้  
                                แม้ไม่มีใครถามถึงความไม่ดีของบุคคลอื่น ก็นำมาเปิดเผยให้ปรากฏ  ไม่ต้องกล่าวถึงเมื่อถูกใครถาม  
                                ก็เมื่อถูกใครถามถึงความไม่ดีของบุคคลอื่น ก็นำเอาปัญหาไปทำให้ไม่มีทางหลีก เลี้ยวลดหย่อน แล้วกล่าวความไม่ดีของผู้อื่นอย่างเต็มที่โดยพิสดาร.  
                          ภิกษุ ท. ! ข้อนี้พึงรู้กันเถิดว่า คนคนนี้ เป็น อสัตบุรุษ.  
                           
                          (2) ภิกษุ ท. ! อสัตบุรุษอย่างอื่นยังมีอีก คือ  
                                แม้ถูกใครถามอยู่ถึง ความดีของบุคคลอื่น ก็ไม่เปิดเผยให้ปรากฏ ไม่ต้องกล่าวถึงเมื่อไม่ถูกใครถาม  
                                ก็เมื่อถูกใครถามถึงความดีของบุคคลอื่น  ก็นำอาปัญหาไปทำให้ลดหย่อน ไขว้เขวแล้ว กล่าวความดีของผู้อื่นอย่างไม่พิสดารเต็มที่.  
                          ภิกษุ ท. ! ข้อนี้พึงรู้กันเถิดว่า คนคนนี้ เป็น อสัตบุรุษ.  
                           
                          (3) ภิกษุ ท. ! อสัตบุรุษอย่างอื่นยังมีอีก คือ  
                                แม้ถูกใครถามถึง ความไม่ดีของตน ก็ปกปิดไม่เปิดเผยให้ปรากฏ ไม่ต้องกล่าวถึงเมื่อไม่ถูกใครถาม  
                                ก็เมื่อถูกใครถามถึงความไม่ดีของตน  ก็นำเอาปัญหาไปทำให้ลดหย่อนไขว้เขว แล้วกล่าวความไม่ดีของตนอย่างไม่พิสดารเต็มที่.  
                          ภิกษุ ท. ! ข้อนี้พึงรู้กันเถิดว่า คนคนนี้ เป็น อสัตบุรุษ. 
                           
                          (4) ภิกษุ ท. ! อสัตบุรุษอย่างอื่นยังมีอีก คือ  
                                แม้ไม่มีใครถามถึงความ ดีของตน ก็นำมาโอ้อวดเปิดเผย  จะต้องกล่าวทำไมถึงเมื่อถูกใครถาม  
                                ก็เมื่อถูกใครถามถึงความดีของตน  ก็นำเอาปัญหาไปทำให้ไม่ลดหย่อนหลีกเลี้ยว กล่าวความดีของตนอย่างเต็มที่โดยพิสดาร.  
                          ภิกษุ ท. ! ข้อนี้พึงรู้กันเถิดว่า คนคนนี้ เป็น อสัตบุรุษ. 
                           
                          ภิกษุ ท. ! บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๔  ประการเหล่านี้ แล เป็นที่ รู้กันว่าเป็นอสัตบุรุษ. 
                           
                          ...................................................................................... 
                        ๒. วาจาของสัตบุรุษ 
                        ภิกษุ ท. ! บุคคลประกอบด้วยธรรม ๔ ประการ  เป็นที่รู้กันว่าเป็น สัตบุรุษ. สี่ประการ อย่างไรเล่า ? สี่ประการ  คือ :-  
                           
                          (1) ภิกษุ ท. ! สัตบุรุษในกรณีนี้  
                                                          แม้มีใครถามถึง  ความไม่ดีของบุคคลอื่น ก็ไม่เปิดเผยให้ปรากฏ จะกล่าวทำไมถึงเมื่อไม่ถูกใครถาม   
                                                          ก็เมื่อถูก ใครถามถึงความไม่ดีของบุคคลอื่น  ก็นำเอาปัญหาไปทำให้หลีกเลี้ยว ลดหย่อนลง  กล่าวความไม่ดีของผู้อื่นอย่างไม่พิสดารเต็มที่. 
                          ภิกษุ ท. !  ข้อนี้พึงรู้กันเถิดว่า คนคนนี้ เป็น สัตบุรุษ. 
                           
                          (2)ภิกษุ ท. ! สัตบุรุษอย่างอื่นยังมีอีก คือ  
                                แม้ไม่ถูกใครถามถึง ความดีของบุคคลอื่น ก็ยังนำมาเปิดเผยให้ปรากฏ  จะต้องกล่าวทำไมถึงเมื่อถูกใครถาม  
                                ก็เมื่อถูกใครถามถึงความดีของบุคคลอื่น  ก็นำเอาปัญหาไปทำให้ไม่หลีกเลี้ยว ลดหย่อน กล่าวความดีของผู้อื่นโดยพิสดารบริบูรณ์. 
                          ภิกษุ ท. ! ข้อนี้พึงรู้กันเถิดว่า คนคนนี้ เป็น สัตบุรุษ.  
                           
                                                    (3) ภิกษุ ท. ! สัตบุรุษอย่างอื่นยังมีอีก คือ  
                                                          แม้ไม่มีใครถามถึงความไม่ ดีของตน  ก็ยังนำเปิดเผยทำให้ปรากฏทำไมจะต้อง กล่าวถึงเมื่อถูกถามเล่า 
                                 ก็เมื่อถูกใครถามถึงความไม่ดีของตน  ก็ไม่นำเอาปัญหาไปทำให้ลดหย่อนบิดพลิ้ว  แต่กล่าวความไม่ดีของตนอย่างโดยพิสดารเต็มที่.  
                          ภิกษุ ท. ! ข้อนี้พึงรู้กันเถิดว่า  คนคนนี้ เป็น สัตบุรุษ.  
                           
                          (4) ภิกษุ ท. ! สัตบุรุษอย่างอื่นยังมีอีก คือ 
                                แม้มีใครถามถึงความดีของตน ก็ไม่เปิดเผยให้ปรากฏ ทำไมจะต้องกล่าวถึง เมื่อไม่ถูกใครถามเล่า  
                                ก็เมื่อถูกใครถามถึงความดีของตน  ก็นำเอาปัญหาไปกระทำให้ลดหย่อนหลีก เลี้ยวเสีย  กล่าวความดีของตนโดยไม่พิสดารเต็มที่.  
                          ภิกษุ ท. ! ข้อนี้พึงรู้กันเถิดว่า คนคนนี้  เป็น สัตบุรุษ. 
                           
                          ภิกษุ ท. ! บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๔  ประการเหล่านี้ แล เป็นที่รู้กันว่าเป็นสัตบุรุษ. 
                           
                          ...................................................................................... 
                        ๓. วาจาของสะใภ้ใหม่-สะใภ้เก่า 
                        ภิกษุ ท. ! เปรียบเหมือนหญิงสะใภ้ใหม่  อันเขาเพิ่งนำมาชั่วคืนชั่ววัน ตลอดเวลา เท่านั้น  ก็ยังมีความละอาย และความกลัวที่ดำรงไว้ได้อย่างเข้มแข็ง ในแม่ผัวบ้าง ในพ่อผัวบ้าง  ในสามีบ้าง แม้ที่สุดแต่ในทาสกรรมกรคนใช้. 
                           
                          ครั้นล่วงไปโดยสมัยอื่น  เพราะอาศัยความคุ้นเคยกัน หญิงสะใภ้นั้น ก็ตวาดแม่ผัวบ้าง พ่อผัวบ้าง แม้แต่กะสามี  ว่า ‘หลีกไป ๆพวกแกจะรู้อะไร’ ดังนี้ นี้ฉันใด  
                           
                          ภิกษุ ท. ! ข้อนี้ก็ฉันนั้น :  ภิกษุบางรูปในธรรมวินัยนี้ ออกบวชจากเรือน เป็นผู้ไม่มีเรือน ได้ชั่วคืนชั่ววัน  ตลอดเวลาเพียงเท่านั้น หิริและโอตตัปปะของเธอนั้น ยังดำรงอยู่ อย่างเข้มแข็ง ในภิกษุ  ในภิกษุณี ในอุบาสก ในอุบาสิกา แม้ที่สุดแต่ในคนวัด และสามเณร.  
                           
                          ครั้นล่วงไปโดยสมัยอื่น  เพราะอาศัยความคุ้นเคยกัน เธอก็กล่าว ตวาดอาจารย์บ้าง อุปัชฌาย์บ้าง ว่า ‘หลีกไปๆ  พวกท่านจะรู้อะไร’ ดังนี้.  
                           
                          ภิกษุ ท. ! เพราะเหตุนั้น ในเรื่องนี้  เธอทั้งหลายพึงทำการศึกษาสำเหนียก อย่างนี้ว่า  “เราจักอยู่อย่างมีจิตเสมอกันกับหญิงสะใภ้ใหม่ผู้มาแล้วไม่นาน” ดังนี้.  
                           
                          ภิกษุ ท. !  พวกเธอทั้งหลาย พึงทำการศึกษาสำเหนียกอย่างนี้ แล. 
                         
                         
  |