พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๔๘๖-๔๘๗
(พระสูตรนี้เป็นอรรถกถา)
โตเทยยปัญหาที่ ๙
ว่าด้วยปัญหาของโตเทยยมาณพ
[๔๓๓] โตเทยยมาณพทูลถามปัญหาว่า ผู้ใดไม่มีกามทั้งหลาย ไม่มีตัณหา และข้ามความสงสัยได้ แล้ว ความพ้นวิเศษของผู้นั้นเป็นอย่างไร
พระผู้มีพระภาคตรัสพยากรณ์ว่า ดูกรโตเทยยะ ผู้ใดไม่มีกามทั้งหลาย ไม่มี ตัณหา และข้ามความสงสัยได้ แล้ว ความพ้นวิเศษอย่างอื่นของผู้นั้นไม่มี
ต. ผู้นั้นไม่มีความปรารถนา หรือยังปรารถนาอยู่ ผู้นั้นเป็น ผู้มีปัญญา หรือ ยังเป็นผู้มีปรกติกำหนดด้วยปัญญาอยู่ ข้า แต่พระองค์ผู้ศากยะ ข้าพระองค์จะพึงรู้แจ้ง มุนีได้อย่างไร ข้าแต่พระองค์ผู้มีพระจักษุรอบคอบ ขอพระองค์จงตรัสบอก มุนีนั้นให้แจ้ง ชัดแก่ข้าพระองค์เถิด
พ. ดูกรโตเทยยะ ผู้นั้นไม่มีความปรารถนา และไม่เป็นผู้ ปรารถนาอยู่ด้วย ผู้นั้น เป็นคนมีปัญญามิใช่เป็นผู้มีปรกติ กำหนดด้วยปัญญาอยู่ด้วย ท่านจงรู้จักมุนี ว่าเป็นผู้ ไม่มี กิเลสเครื่องกังวลไม่ข้องอยู่แล้วในกามและภพแม้อย่างนี้
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก ๔๘๗-๔๘๘
(พระสูตรนี้เป็นอรรถกถา)
กัปปปัญหาที่ ๑๐
ว่าด้วยปัญหาของกัปปมาณพ
[๔๓๔] กัปปมาณพทูลถามปัญหาว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ ขอพระองค์จงตรัสบอกซึ่งธรรมอัน เป็นที่พึ่งของชนทั้งหลาย ผู้อันชราและมรณะครอบงำแล้ว ดุจที่พึ่งของชนทั้งหลายผู้อยู่ในท่ามกลางสาคร เมื่อคลื่น เกิดแล้ว มีภัยใหญ่ฉะนั้น อนึ่ง ขอพระองค์จงตรัสบอก ที่พึ่งแก่ข้าพระองค์ โดยอุบายที่ทุกข์นี้ไม่พึงมีอีกเถิด
พระผู้มีพระภาคตรัสพยากรณ์ว่า ดูกรกัปปะ เราจะบอกธรรม อันเป็นที่พึ่งของ ชนทั้งหลาย ผู้อันชรา และมรณะครอบงำแล้ว ดุจที่พึ่งของชนทั้งหลายผู้อยู่ใน ท่ามกลาง สาคร เมื่อคลื่นเกิดแล้ว มีภัยใหญ่ แก่ท่าน ธรรมชาติไม่มีเครื่องกังวล ไม่มีความถือมั่น นี้เป็นที่พึ่ง หาใช่ อย่างอื่นไม่ เรากล่าวที่พึ่งอันเป็นที่สิ้นไปแห่งชรา และมรณะว่า นิพพาน ชนเหล่าใดรู้นิพพานนั้นแล้ว มีสติ มีธรรมอันเห็น แล้วดับกิเลส ได้แล้ว ชนเหล่านั้นไม่อยู่ใต้อำนาจของมาร ไม่เดินไปในทางของมาร
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก ๔๘๘-๔๘๙
(พระสูตรนี้เป็นอรรถกถา)
ชตุกัณณีปัญหาที่ ๑๑
ว่าด้วยปัญหาของชตุกัณณิมาณพ
[๔๓๕] ชตุกัณณีมาณพทูลถามปัญหาว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้มีความเพียร ข้าพระองค์ได้ฟังพระองค์ผู้ไม่ ใคร่กาม จึงมาเฝ้า เพื่อทูลถามพระองค์ผู้ล่วงห้วงน้ำคือ กิเลสเสียได้ ไม่มีกาม ข้าแต่พระองค์ผู้มีพระเนตร คือพระ สัพพัญญุตญาณเกิดพร้อมแล้ว ขอพระองค์ตรัสบอกทาง สันติ
ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ขอพระองค์จงตรัสบอกทาง สันตินั้นแก่ข้าพระองค์ ตามจริงเถิด เพราะว่าพระผู้มีพระภาค ทรงมีเดช ครอบงำกามทั้งหลายเสียแล้วด้วยเดช เหมือน พระอาทิตย์มีเดช คือ รัศมี ครอบงำปฐพีด้วยเดชไปอยู่ใน อากาศ ฉะนั้น ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ผู้มีปัญญาดังแผ่นดิน ขอพระองค์จงตรัสบอกธรรม เครื่องละ ชาติละชรา ณ ที่นี้ ที่ข้า พระองค์ควรจะรู้แจ้ง แก่ข้าพระองค์ผู้มีปัญญาน้อยเถิด
พระผู้มีพระภาคตรัสพยากรณ์ว่า ดูกรชตุกัณณี ท่านได้เห็นซึ่ง เนกขัมมะ โดยความ เป็นธรรมอันเกษมแล้ว จงนำความ กำหนัดในกามทั้งหลายเสียให้สิ้นเถิด อนึ่ง กิเลสชาติเครื่อง กังวลที่ท่านยึดไว้แล้ว (ด้วยอำนาจตัณหาและทิฐิ) ซึ่งควร จะปลดเปลื้องเสีย อย่ามีแล้วแก่ท่าน กิเลสเครื่องกังวลใด ได้มีแล้วในกาลก่อน ท่านจงทำกิเลสเครื่องกังวลนั้นให้ เหือดแห้งเสียเถิด กิเลสเครื่องกังวลในภายหลัง อย่าได้มี แก่ท่าน ถ้าท่านจักไม่ถือเอากิเลสเครื่องกังวลในท่ามกลาง ไซร้ ท่านจัก เป็นผู้สงบเที่ยวไป ดูกรพราหมณ์ เมื่อ ท่านปราศจากความกำหนัด ในนาม และรูปแล้ว โดยประการทั้ง ปวง อาสวะทั้งหลาย อันเป็นเหตุให้ไปสู่อำนาจแห่งมัจจุราช ก็ย่อมไม่มีแก่ท่าน ฯ
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก ๔๘๙-๔๙๐
(พระสูตรนี้เป็นอรรถกถา)
ภัทราวุธปัญหาที่ ๑๒
ว่าด้วยปัญหาของภัทราวุธมาณพ
[๔๓๖] ภัทราวุธมาณพทูลถามปัญหาว่า
ข้าพระองค์ขอทูลวิงวอน พระองค์ ผู้ทรงละอาลัย ตัดตัณหา เสียได้ ไม่หวั่นไหว ละความเพลิดเพลิน ข้ามห้วงน้ำคือ กิเลสได้แล้วพ้นวิเศษแล้ว ละธรรมเครื่องให้ดำริ มีพระปัญญา ดี ข้าแต่พระองค์ผู้มีความเพียร ชนในชนบทต่างๆ ประสงค์จะฟังพระดำรัส ของพระองค์ มาพร้อมกันแล้ว จากชนบททั้งหลาย ได้ฟังพระดำรัสของพระองค์ ผู้ประเสริฐ แล้ว จักกลับไปจากที่นี้ ขอพระองค์จงตรัสพยากรณ์แก่ชน ในชนบทต่างๆ เหล่านั้นให้สำเร็จประโยชน์เถิด เพราะ ธรรมนี้พระองค์ทรงรู้แจ้งแล้วด้วยประการนั้น
พระผู้มีพระภาคตรัสพยากรณ์ว่า ดูกรภัทราวุธะ หมู่ชนควรจะนำเสียซึ่งตัณหา เป็นเครื่องถือมั่นทั้งปวง ในส่วนเบื้องบน เบื้องต่ำ และในส่วนเบื้องขวางสถาน กลาง ให้สิ้นเชิง เพราะว่าสัตว์ทั้งหลายย่อมถือมั่นสิ่งใดๆ ในโลก มารย่อมติดตามสัตว์ได้ เพราะสิ่งนั้นแหละ เพราะ เหตุนั้น ภิกษุเมื่อรู้ชัดอยู่ มาเล็งเห็นหมู่สัตว์ ผู้ติดข้องอยู่ แล้วในวัฏฏะ อันเป็นบ่วงแห่งมารนี้ว่า เป็นหมู่สัตว์ติดข้อง อยู่แล้วเพราะการถือมั่นดังนี้ พึงเป็นผู้มีสติ ไม่ถือมั่นเครื่อง กังวลในโลกทั้งปวง
|