เว็บไซต์ อนาคามี เผยแพร่คำพระศาสดา เผยแพร่คำสอนตถาคต เว็บไซต์เผยแพร่พระสุตรคำสอนของพระพุทธเจ้า คลิปคำสอน คลิปสาธยายธรรม
ค้นหาคำที่ต้องการ            

(อรรถกถา) ปัญหาของมานพ ๑๖ คน อุทยปัญหา โปสาลปัญหา โมฆราชปัญหา ปิงคิยปัญหา 2474
 

พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕
(พระสูตรนี้เป็นอรรถกถา)

ปัญหาของพราหมณ์มานพ ๑๖ คน (ชายหนุ่มในลัทธิพราหมณ์)

อุทยปัญหาที่ ๑๓ ว่าด้วยปัญหาของอุทัยมาณพ

โปสาลปัญหาที่ ๑๔ ว่าด้วยปัญหาของโปสาลมาณพ

โมฆราชปัญหาที่ ๑๕ ว่าด้วยปัญหาของโมฆราชมาณพ

ปิงคิยปัญหาที่ ๑๖ ว่าด้วยปัญหาของปิงคิยมาณพ

เรื่องสำคัญของพระพุทธเจ้า
การบำเพ็ญบารมีในอดีตชาติ
การประสูติ แสงสว่าง แผ่นดินไหว
แสวงหาสัจจะบำเพ็ญทุกรกิริยา
ปัญจวัคคีย์หลีก สิ่งที่ตรัสรู้
ตรัสรู้ แสดงเทศนาปัญจวัคคีย์
ปลงสังขาร ปรินิพพาน
ลำดับขั้นการปรินิพพาน
เทวดาแสดงฤทธิ์ขณะถวายเพลิง
แบ่งพระสรีระออกเป็น ๘ ส่วน
 
รวมพระสูตรบุคคลสำคัญ
พระโมคคัลลานะ
พระสารีบุตร
พระเทวทัต
นิครนถ์ปริพาชก
พระมหากัปปินะ
พระอนุรุทธะ
พระอุบาลี
(ดูทั้งหมด)
 
สารบาญพระไตรปิฎก
เล่มที่ ๘-๓๓ (๒๕ เล่ม) ทุกพระสูตร
1. ฉบับหลวง
2. ฉบับมหาจุฬาฯ
3. อรรถกถาไทย
4. ฉบับภาษาบาลี
5. อรรถกถา-บาลี
6. Pali Roman (Roman Script)
7. Atthakatha PaliRoman
 

 


 


พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๔๙๐-๔๙๑
(พระสูตรนี้เป็นอรรถกถา)

อุทยปัญหาที่ ๑๓
ว่าด้วยปัญหาของอุทัยมาณพ

            [๔๓๗] อุทยมาณพทูลถามปัญหาว่า ข้าพระองค์มีความต้องการปัญหา จึงมาเฝ้าพระองค์ผู้เพ่งฌาน ปราศจากธุลี ทรงนั่งโดยปรกติ ทรงทำกิจเสร็จแล้ว ไม่มี อาสวะ ทรงถึงฝั่งแห่งธรรมทั้งปวง ขอพระองค์จงตรัสบอก ธรรมอันเป็นเครื่องพ้นที่ควรรู้ ทั่วถึง สำหรับทำลายอวิชชา เถิด

            พระผู้มีพระภาคตรัสพยากรณ์ว่า ดูกรอุทยะ เรากล่าวธรรมเป็นเครื่องละ ความ พอใจ ในกาม และโทมนัส ทั้งสองอย่าง เป็นเครื่องบรรเทาความง่วงเหงา เป็นเครื่อง ห้ามความรำคาญ บริสุทธิ์ดีเพราะอุเบกขาและสติ มีความ ตรึกถึงธรรมแล่นไปใน เบื้องหน้า ว่าเป็นธรรมเครื่องพ้นที่ ควรรู้ทั่วถึงสำหรับทำลายอวิชชา

            อุ. โลกมีธรรมอะไรประกอบไว้ ธรรมชาติอะไรเป็นเครื่อง พิจารณา (เป็นเครื่องสัญจร) ของโลกนั้น เพราะละธรรม อะไรได้เด็ดขาด ท่านจึงกล่าวว่า นิพพาน

            พ. โลกมีความเพลิดเพลินประกอบไว้ ความตรึกไปต่างๆ เป็น เครื่องพิจารณา (เป็นเครื่องสัญจร) ของโลกนั้น เพราะ ละตัณหาได้เด็ดขาด ท่านจึงกล่าวว่า นิพพาน

            อุ. เมื่อบุคคลระลึกอย่างไรเที่ยวไปอยู่ วิญญาณจึงจะดับ ข้าพระองค์ทั้งหลาย มาเฝ้าเพื่อทูลถามพระองค์ ข้าพระองค์ ทั้งหลาย ขอฟังพระดำรัสของพระองค์

            พ. เมื่อบุคคลไม่เพลิดเพลินเวทนา ทั้งภายในและภายนอก ระลึกอย่างนี้ เที่ยวไป อยู่ วิญญาณจึงจะดับ


-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก ๔๙๑-๔๙๒
(พระสูตรนี้เป็นอรรถกถา)

โปสาลปัญหาที่ ๑๔
ว่าด้วยปัญหาของโปสาลมาณพ

            [๔๓๘] โปสาลมาณพทูลถามปัญหาว่า ข้าพระองค์มีความต้องการด้วยปัญหา จึงได้มาเฝ้าพระองค์ พระผู้มีพระภาคผู้ทรงแสดงอ้างสิ่งที่ล่วงไปแล้ว (พระปรีชา ญาณในกาลอันเป็นอดีต) ไม่ทรงหวั่นไหว ทรงตัดความ สงสัยได้แล้ว ทรงบรรลุถึงฝั่ง แห่งธรรมทั้งปวง ข้าแต่ พระผู้มีพระภาคผู้ศากยะ ข้าพระองค์ขอทูลถามถึงญาณ ของ บุคคลผู้มีความสำคัญในรูปก้าวล่วงเสียแล้ว ละรูป กายได้ทั้งหมด เห็นอยู่ว่าไม่มีอะไร น้อยหนึ่ง ทั้งภายในและ ภายนอก บุคคลเช่นนั้นควรแนะนำอย่างไร

            พระผู้มีพระภาคตรัสพยากรณ์ว่า ดูกรโปสาละ พระตถาคตทรงรู้ยิ่ง ซึ่งภูมิ เป็นที่ตั้ง แห่งวิญญาณทั้งปวง ทรง ทราบบุคคลนั้นผู้ยังดำรงอยู่ ผู้น้อมไปแล้วใน อากิญจัญ- ญายตนสมาบัติเป็นต้น ผู้มีอากิญจัญญายตนสมาบัติเป็นต้น นั้นเป็นที่ไป ในเบื้องหน้า ผู้ที่เกิดในอากิญจัญญายตนสมาบัติ ว่ามีความเพลิดเพลินเป็นเครื่อง ประกอบ ดังนี้แล้ว แต่นั้น ย่อมเห็นแจ้งในอากิญจัญญายตนสมาบัตินั้น ญาณของ บุคคลนั้นผู้เป็นพราหมณ์ อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว เป็นญาณ อันถ่องแท้อย่างนี้


-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก ๔๙๒
(พระสูตรนี้เป็นอรรถกถา)

โมฆราชปัญหาที่ ๑๕
ว่าด้วยปัญหาของโมฆราชมาณพ

            [๔๓๙] โมฆราชมาณพทูลถามปัญหาว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคผู้ศากยะ ข้าพระองค์ได้ทูลถามปัญหา ถึงสองครั้งแล้ว พระองค์ผู้มีพระจักษุไม่ทรงพยากรณ์แก่ ข้าพระองค์ แต่ข้าพระองค์ได้สดับมาว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เป็นเทพฤาษี จะทรง พยากรณ์ในครั้งที่สาม (ข้าพระองค์จึง ขอทูลถามว่า) โลกนี้ โลกอื่น พรหมโลกกับ ทั้งเทวโลก ข้าพระองค์ย่อมไม่ทราบความเห็นของพระองค์ผู้โคดม ผู้- เรืองยศ ข้าพระองค์มีความต้องการด้วยปัญหา จึงได้มาเฝ้า พระองค์ (ผู้มีปรกติเห็น ก้าวล่วง วิสัยของสัตว์โลก) ผู้มี ปรกติเห็นธรรมอันงามอย่างนี้ บุคคลผู้พิจารณาเห็นโลก อย่างไร มัจจุราชจึงจะไม่เห็น

            พระผู้มีพระภาคตรัสพยากรณ์ว่า ดูกรโมฆราช ท่านจงเป็นผู้มีสติทุกเมื่อ พิจารณาเห็นโลกโดย ความเป็นของว่างเปล่าเถิด จงถอนความตามเห็นว่าเป็นตัวตน เสียแล้ว พึงเป็นผู้ข้ามพ้นมัจจุราชได้ด้วยอาการอย่างนี้ บุคคลผู้พิจารณาเห็นโลก อยู่อย่างนี้ มัจจุราชจึงจะไม่เห็น


-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก ๔๙๒-๕๐๑
(พระสูตรนี้เป็นอรรถกถา)

ปิงคิยปัญหาที่ ๑๖
ว่าด้วยปัญหาของปิงคิยมาณพ

            [๔๔๐] ปิงคิยมาณพทูลถามปัญหาว่า ข้าพระองค์เป็นคนแก่แล้ว มีกำลังน้อย ผิวพรรณ เศร้าหมอง นัยน์ตาทั้งสองของข้าพระองค์ไม่ผ่องใส (เห็นไม่จะแจ้ง) หูสำหรับฟัง ก็ไม่สะดวก ขอข้าพระองค์อย่าได้เป็นคนหลง ฉิบหายเสียในระหว่างเลย ขอพระองค์จง ตรัสบอกธรรมที่ ข้าพระองค์ควรรู้ ซึ่งเป็นเครื่องละชาติและชรา ใน อัตภาพนี้ เสียเถิด

            พระผู้มีพระภาคตรัสพยากรณ์ว่า ดูกรปิงคิยะ ชนทั้งหลายได้เห็นเหล่าสัตว์ ผู้เดือดร้อนอยู่ เพราะรูปทั้งหลาย แล้ว ยังเป็นผู้ประมาทก็ย่อยยับอยู่เพราะรูปทั้งหลาย ดูกร- ปิงคิยะ เพราะเหตุนั้น ท่านจงเป็นคนไม่ประมาทละรูปเสีย เพื่อความไม่เกิดอีก

            ปิ. ทิศใหญ่สี่ ทิศน้อยสี่ ทิศเบื้องบน ทิศเบื้องต่ำ รวมเป็น สิบทิศ สิ่งไรๆ ในโลก ที่พระองค์ ไม่ได้เห็น ไม่ได้ฟัง ไม่ได้ทราบ หรือไม่ได้รู้แจ้ง มิได้มี ขอพระองค์ จงตรัส บอกธรรมที่ข้าพระองค์ควรรู้ เป็นเครื่องละชาติและชราใน อัตภาพนี้เถิด

            พ. ดูกรปิงคิยะ เมื่อท่านเห็นหมู่มนุษย์ผู้ถูกตัณหาครอบงำแล้ว เกิดความ เดือดร้อน อันชราถึงรอบข้าง ดูกรปิงคิยะ เพราะ เหตุนั้น ท่านจงเป็นคนไม่ประมาท ละตัณหาเสีย เพื่อความ ไม่เกิดอีก

จบปิงคิยมาณวกปัญหาที่ ๑๖


 

            [๔๔๑] เมื่อพระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ปาสาณเจดีย์ในมคธชนบท ได้ตรัส ปารายนสูตรนี้ อันพราหมณ์มาณพ ๑๖ คน ผู้เป็น บริวารของพราหมณ์พาวรี ทูลอาราธนาแล้ว ได้ตรัสพยากรณ์ ปัญหา แม้หากว่าการกบุคคล รู้ทั่วถึงอรรถรู้ทั่วถึง ธรรมแห่ง ปัญหาหนึ่งๆ แล้วพึงปฏิบัติธรรมอันสมควรแก่ธรรมไซร้ การกบุคคลนั้น ก็พึงถึงฝั่งโน้นแห่งชราและมรณะได้แน่แท้ เพราะธรรมเหล่านี้ เป็นประโยชน์เกื้อกูล แก่การถึงฝั่งโน้น เพราะเหตุนั้น คำว่าปรายนะ จึงเป็นชื่อแห่งธรรมปริยายนี้

            [๔๔๒] พราหมณ์มาณพผู้อาราธนาทูลถามปัญหา ๑๖ คนนั้น คือ อชิตมาณพ ๑ ติสสเมตเตยยมาณพ ๑ ปุณณกมาณพ ๑ เมตตคูมาณพ ๑ โธตกมาณพ ๑ อุปสีวมาณพ ๑ นันทมาณพ ๑ เหมกมาณพ ๑ โตเทยยมาณพ ๑ กัปปมาณพ ๑ ชตุกัณณี- มาณพ ผู้เป็นบัณฑิต ๑ ภัทราวุธมาณพ ๑ อุทยมาณพ ๑ โปสาลพราหมณ์ มาณพ ๑ โมฆราชมาณพผู้มีปัญญา ๑ ปิงคิยมาณพผู้แสวงหาคุณ อันใหญ่ ๑ พราหมณ์มาณพ ทั้ง ๑๖ คนนี้ ได้เข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าผู้แสวงหาคุณ อันใหญ่ ทรงมี จรณะอันสมบูรณ์ พราหมณ์มาณพทั้ง ๑๖ คน ได้เข้าไปเฝ้า ทูลถาม ปัญหาอันละเอียด กะพระพุทธเจ้า ผู้ประเสริฐสุด

            พระพุทธเจ้าผู้เป็นมุนี ได้ตรัสพยากรณ์ปัญหา ที่พราหมณ์มาณพ เหล่านั้น ทูลถามแล้ว ตามจริงแท้ ทรงให้พราหมณ์มาณพ ทั้งหลายยินดีแล้ว ด้วยการตรัส พยากรณ์ ปัญหา ทุกๆ ปัญหา พราหมณ์มาณพทั้ง ๑๖ คนเหล่านั้น อันพระพุทธเจ้าผู้เป็น เผ่าพันธุ์ พระอาทิตย์ผู้มีจักษุให้ยินดีแล้ว ได้ประพฤติ พรหมจรรย์ในสำนักของ พระพุทธเจ้า ผู้มีพระปัญญาอัน ประเสริฐ เนื้อความแห่งปัญหาหนึ่งๆ ที่พระพุทธเจ้าทรง- แสดงแล้วด้วยประการใด ผู้ใดพึงปฏิบัติตามด้วยประการนั้น ก็พึงจากฝั่งนี้ไปถึงฝั่งโน้น ได้ ผู้นั้นเจริญมรรคอันอุดมอยู่ ก็พึงจากฝั่งนี้ไปถึงฝั่งโน้นได้ ธรรมปริยายนั้นเป็นทาง เพื่อไป สู่ฝั่งโน้น เพราะฉะนั้น ธรรมปริยายนั้นจึงชื่อว่า ปรายนะ

            [๔๔๓] ปิงคิยมาณพกล่าวคาถาว่า อาตมาจักขับตามภาษิตเครื่องไปยังฝั่งโน้น (อาตมาขอกล่าว ตามที่พระผู้มีพระภาคได้ทรงเห็นแล้วด้วยพระญาณ) พระ- พุทธเจ้า ผู้ประเสริฐ ปราศจากมลทิน มีพระปัญญากว้างขวาง ไม่มีความใคร่ ทรงดับกิเลสได้แล้ว จะพึงตรัสมุสาเพราะ เหตุอะไร เอาเถิด อาตมาจักแสดงวาจาที่ควรเปล่งอันประกอบ ด้วยคุณของพระพุทธเจ้า ผู้ทรงละความหลงอันเป็นมลทิน ได้แล้ว ทรงละความถือตัว และความลบหลู่ได้เด็ดขาด

            ดูกรท่านพราหมณาจารย์ พระพุทธเจ้าทรงบรรเทาความมืด มี พระจักษุ รอบคอบ ทรงถึงที่สุดของโลก ทรงล่วงภพได้ ทั้งหมด ไม่มีอาสวะ ทรงละทุกข์ได้ ทั้งปวง มีพระนามตาม ความเป็นจริงว่า พุทโธอันอาตมาเข้าเฝ้าแล้ว นกพึงละป่าเล็ก แล้วมาอยู่อาศัยป่าใหญ่อันมีผลไม้มาก ฉันใด อาตมา มาละ คณาจารย์ผู้มีความเห็น น้อยแล้ว ได้ประสบพระพุทธเจ้าผู้มี ความเห็นประเสริฐ เหมือนหงส์โผลงสู่สระใหญ่ แม้ฉันนั้น ก่อนแต่ศาสนาของพระโคดม อาจารย์เหล่าใด ได้พยากรณ์ ลัทธิของตน แก่อาตมาในกาลก่อนว่า เหตุนี้ได้เป็นมาแล้ว อย่างนี้ จักเป็นอย่างนี้ คำพยากรณ์ของ อาจารย์เหล่านั้น ทั้งหมด ไม่ประจักษ์แก่ตน คำพยากรณ์ทั้งหมดนั้น เป็น เครื่องทำความ ตรึกให้ทวีมากขึ้น (อาตมาไม่พอใจในคำ พยากรณ์นั้น) พระโคดมพระองค์เดียว ทรงบรรเทา ความมืด สงบระงับ มีพระรัศมีโชติช่วง มีพระปัญญาเป็นเครื่อง ปรากฏ ดุจแผ่นดิน มีพระปัญญากว้างขวาง ได้ทรงแสดงธรรม อันบุคคลพึงเห็นเอง ไม่ประกอบ ด้วยกาล เป็นที่สิ้นตัณหา ไม่มีจัญไร หาอุปมาในที่ไหนๆ มิได้ แก่อาตมา

            พราหมณ์พาวรีผู้อาจารย์กล่าวคาถาถามพระปิงคิยะว่า ท่านปิงคิยะ พระโคดม พระองค์ใด ได้ทรงแสดงธรรมอัน บุคคลพึงเห็นเอง ไม่ประกอบด้วยกาล เป็นที่สิ้นตัณหา ไม่มีจัญไร หาอุปมาในที่ไหนๆ มิได้แก่ท่าน เพราะเหตุไร หนอ ท่านจึงอยู่ปราศจาก พระโคดม พระองค์นั้น ผู้มีพระ- ปัญญาเป็นเครื่องปรากฏดุจแผ่นดิน มีพระปัญญา กว้างขวาง สิ้นกาลแม้ครู่หนึ่งเล่า

            พระปิงคิยะกล่าวคาถาตอบพราหมณ์พาวรีผู้อาจารย์ว่า ท่านพราหมณ์ พระโคดม พระองค์ใด ได้ทรงแสดงธรรมอัน บุคคลพึงเห็นเอง ไม่ประกอบด้วยกาล เป็นที่สิ้นตัณหา ไม่มีจัญไร หาอุปมาในที่ไหนๆ มิได้ แก่อาตมา อาตมา มิได้อยู่ ปราศจาก พระโคดม พระองค์นั้น ผู้มีพระปัญญาเป็น เครื่องปรากฏดุจแผ่นดิน มีพระปัญญา กว้างขวาง สิ้นกาล แม้ครู่หนึ่ง ท่านพราหมณ์ อาตมาไม่ประมาท ทั้งกลางคืน กลางวัน เห็นอยู่ซึ่ง พระพุทธเจ้า ผู้โคดมพระองค์นั้นด้วยใจ เหมือนเห็น ด้วยจักษุ ฉะนั้น อาตมานมัสการ อยู่ซึ่งพระพุทธเจ้าผู้โคดมพระองค์นั้นตลอดราตรี อาตมามาสำคัญความ ไม่อยู่ ปราศจาก พระพุทธเจ้าผู้โคดมพระองค์นั้น

             ด้วยความไม่ ประมาทนั้น ศรัทธา ปีติ มานะ และสติของอาตมา ย่อมน้อมไปใน คำสั่งสอนของ พระพุทธเจ้า ผู้โคดม พระพุทธเจ้า ผู้โคดมผู้มีพระปัญญากว้างขวาง ประทับอยู่ยัง ทิศาภาค ใดๆ อาตมานั้นเป็นผู้นอบน้อม ไปโดยทิศาภาคนั้นๆ นั่นแล ร่างกายของอาตมา ผู้แก่แล้ว มีกำลังและเรี่ยวแรงน้อย นั่นเอง ท่านพราหมณ์ อาตมาไปสู่พระพุทธเจ้า ด้วยการไปแห่งความ ดำริเป็นนิตย์ เพราะว่าใจของอาตมา ประกอบแล้วด้วยพระ พุทธเจ้า นั้น อาตมานอนอยู่บนเปือกตม คือกาม ดิ้นรนอยู่ (เพราะตัณหา) ลอยจาก เกาะหนึ่งไปสู่เกาะหนึ่ง ครั้งนั้นอาตมา ได้เห็นพระสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงข้ามโอฆะได้แล้ว ไม่มีอาสวะ

            (ในเวลาจบคาถานี้ พระผู้มีพระภาค ทรงทราบความแก่กล้าแห่งอินทรีย์ของ พระปิงคิยะ และพราหมณ์พาวรีแล้ว ประทับอยู่ ณ นครสาวัตถีนั้นเองทรงเปล่ง พระรัศมี ดุจทอง ไปแล้ว พระปิงคิยะกำลังนั่งพรรณนาพระพุทธคุณ แก่พราหมณ์ พาวรีอยู่ ได้เห็น พระรัศมี แล้วคิดว่า นี้อะไร เหลียวแลไป ได้เห็นพระผู้มีพระภาค ประหนึ่งประทับอยู่ เบื้องหน้าตน จึงบอกแก่พราหมณ์พาวรีว่า พระพุทธเจ้าเสด็จมาแล้ว พราหมณ์พาวรี ได้ลุกจากอาสนะ ประคองอัญชลียืนอยู่ แม้พระผู้มีพระภาค เมื่อจะทรง แผ่พระรัศมี แสดงพระองค์ แก่พราหมณ์พาวรีทรงทราบธรรม เป็นที่สบายของ พระปิงคิยะ และ พราหมณ์พาวรี ทั้งสองแล้ว เมื่อจะตรัสเรียกแต่พระปิงคิยะองค์เดียว จึงได้ตรัสพระคาถา นี้ว่า)

            ดูกรปิงคิยะ พระวักกลิ พระภัทราวุธะ และพระอาฬวีโคดม เป็นผู้มีศรัทธา น้อมลง แล้ว (ได้บรรลุอรหัตด้วยศรัทธาธุระ) ฉันใด แม้ท่านก็จงปล่อยศรัทธาลง ฉันนั้น ดูกรปิงคิยะ เมื่อท่านน้อมลงด้วยศรัทธาปรารภวิปัสสนา โดยนัยเป็นต้นว่า สังขารทั้งปวง ไม่เที่ยง ก็จักถึงนิพพาน อันเป็นฝั่งโน้นแห่ง วัฏฏะอันเป็นบ่วงแห่งมัจจุราช

            พระปิงคิยะ เมื่อจะประกาศความเลื่อมใสของตน จึงกราบทูลว่า ข้าพระองค์ย่อม เลื่อมใส อย่างยิ่ง เพราะได้ฟังพระวาจาของ พระองค์ผู้เป็นมุนี พระองค์มีกิเลสดุจหลังคา อันเปิดแล้ว ตรัสรู้แล้วด้วยพระองค์เอง ไม่มีกิเลสดุจเสาเขื่อน ทรงมี ปฏิภาณ ทรงทราบ ธรรม เป็นเหตุกล่าวว่าประเสริฐยิ่ง ทรง ทราบธรรมชาติทั้งปวง ทั้งเลวและประณีต พระองค์เป็น ศาสดาผู้กระทำที่สุด แห่งปัญหาทั้งหลาย แก่เหล่าชนผู้มีความ สงสัย ปฏิญาณอยู่ นิพพานอันกิเลสมีราคะเป็นต้นไม่พึงนำ ไปได้ เป็นธรรมไม่กำเริบ หาอุปมา ในที่ไหนๆ มิได้ ข้าพระองค์จักถึง อนุปาทิเสสนิพพานธาตุแน่แท้ ข้าพระองค์ ไม่มีความ สงสัยในนิพพานนี้เลย ขอพระองค์จงทรงจำ ข้าพระองค์ว่า เป็นผู้มีจิตน้อมไปแล้ว (ในนิพพาน) ด้วย ประการนี้แล

 





หนังสือพุทธวจน ธรรมะของพระศาสดา
90 90 90 90
พุทธประวัติ ขุมทรัพย์ อริยสัจ
ภาคต้น
อริยสัจ
ภาคปลาย
ปฏิจจ ปฐมธรรม ตถาคต อนาคามี อินทรีย์
สังวร
สัตว์
สัตตานัง
ทาน
สกทาคามี
ฆราวาส
ชั้นเลิศ
มรรควิธี
ที่ง่าย
อริยวินัย เดรัจฉานวิชา กรรม สมถะ
วิปัสสนา
โสดาบัน นา
ปานสติ
จิต มโน
วิญญาณ
ก้าวย่าง
อย่างพุทธะ
ตามรอย
ธรรม
ภพ ภูมิ
พุทธวจน
สาธยาย
ธรรม
สังโยชน์