พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๔ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๓๔๐-๓๔๔
อเสขสูตร
[๒๑๖] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ประทับอยู่ที่อิญชกาวสถาคาร ๑- ในนาทิกคาม ครั้งนั้นแล ท่านพระสันธะ ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสกะท่านพระสันธะว่า
๑. โดยมากเป็น คิญชกาวสถาราม
ดูกรสันธะ
เธอจงเพ่งแบบการเพ่งของม้าอาชาไนย
อย่าเพ่งแบบการเพ่งของม้ากระจอก
ดูกรสันธะ ก็การเพ่งของม้ากระจอกย่อมมีอย่างไร ดูกรสันธะ ธรรมดาม้า กระจอก ถูกเขาผูกไว้ใกล้รางข้าวเหนียว ย่อมเพ่งว่า ข้าวเหนียวๆ ดังนี้ ข้อนั้นเพราะ เหตุไร เพราะม้ากระจอกที่เขาผูกไว้ใกล้รางข้าวเหนียว ย่อมไม่มีความคิดอย่างนี้ว่า วันนี้ สารถีผู้ฝึกม้าจักให้เราทำเหตุอะไรหนอแล เราจักทำอะไรตอบแก่เขา ดังนี้ ม้ากระจอก นั้น ถูกเขาผูกไว้ใกล้รางข้าวเหนียว ย่อมเพ่งว่า ข้าวเหนียวๆ ดังนี้ ฉันใด
ดูกรสันธะ บุรุษกระจอกบางคนในธรรมวินัยนี้ ก็ฉันนั้นเหมือนกันแล อยู่ที่ป่าก็ดี อยู่ที่โคนต้นไม้ก็ดี อยู่ที่เรือนว่างเปล่าก็ดี มีจิตถูกกามราคะ กลุ้มรุมแล้ว ถูกกามราคะ ครอบงำแล้ว และย่อมไม่รู้อุบายเครื่องสลัดกามราคะ ที่เกิดขึ้นแล้ว ตามความเป็นจริง
บุรุษกระจอกนั้น ทำกามราคะนั่นแหละในภายในแล้ว ย่อมเพ่ง ย่อมเพ่งต่างๆ ย่อมเพ่งเนืองนิตย์ ย่อมเพ่งฝ่ายต่ำ มีจิตอันพยาบาทกลุ้มรุมแล้ว อันพยาบาทครอบงำ แล้ว ... มีจิตอันถีนมิทธะกลุ้มรุมแล้ว อันถีนมิทธะครอบงำแล้ว ...มีจิตอันอุทธัจจกุกกุจ จะกลุ้มรุมแล้ว อันอุทธัจจกุกกุจ จะครอบงำแล้ว ... มีจิตอันวิจิกิจฉากลุ้มรุมแล้ว อัน วิจิกิจฉา ครอบงำแล้ว และย่อมไม่รู้อุบายเครื่องสลัดวิจิกิจฉา ที่เกิดขึ้นแล้ว ตามความเป็นจริง
บุรุษกระจอกนั้น ทำวิจิกิจฉานั่นแหละ ในภายในแล้ว ย่อมเพ่ง ย่อมเพ่งต่างๆ ย่อมเพ่งเนืองนิตย์ ย่อมเพ่งฝ่ายต่ำบุรุษกระจอกนั้น ย่อมอาศัยปฐวีธาตุเพ่งบ้าง ย่อมอาศัยอาโปธาตุเพ่งบ้าง ย่อมอาศัยเตโชธาตุเพ่งบ้าง ย่อมอาศัยวาโยธาตุเพ่งบ้าง ย่อมอาศัยอากาสานัญจายตนะเพ่งบ้าง ย่อมอาศัยวิญญาณัญจายตนะเพ่งบ้าง ย่อมอาศัยอากิญจัญญายตนะเพ่งบ้าง ย่อมอาศัยเนวสัญญานาสัญญายตนะเพ่งบ้าง ย่อมอาศัยโลกนี้เพ่งบ้าง ย่อมอาศัยโลกหน้าเพ่งบ้าง ย่อมอาศัยรูปที่ได้เห็น เสียงที่ได้ยิน อารมณ์ที่ทราบ ธรรมที่รู้แจ้งที่ถึงแล้ว ที่แสวงหาแล้ว ที่ตรองตามแล้ว ด้วยใจ เพ่งบ้าง
ดูกรสันธะ การเพ่งของบุรุษกระจอก ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้แล
-------------------------------------------------------------------------------------------------------
ดูกรสันธะ ก็การเพ่งของม้าอาชาไนย ย่อมมีอย่างไร
ดูกรสันธะ ธรรมดาม้าอาชาไนย ที่เจริญ ถูกเขาผูกไว้ใกล้รางข้าวเหนียว ย่อมไม่เพ่งว่า ข้าวเหนียวๆดังนี้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะม้าอาชาไนยที่เจริญ ถูกเขาผูกไว้ใกล้รางข้าวเหนียว ย่อมมีความคิดอย่างนี้ว่า วันนี้ สารถีผู้ฝึกม้า จักให้เรา ทำเหตุอะไรหนอแล เราจะกระทำอะไรตอบเขา ดังนี้ ม้าอาชาไนยนั้น ถูกเขาผูกไว้ ใกล้รางข้าวเหนียว ย่อมไม่เพ่งว่า ข้าวเหนียวๆ ดังนี้
ดูกรสันธะ ด้วยว่าม้าอาชาไนยที่เจริญ ย่อมพิจารณา เห็นการถูกปะฏักแทงว่า เหมือนคนเป็นหนี้ครุ่นคิดถึงหนี้ เหมือนคนถูกจองจำมองเห็นการจองจำ เหมือนคน ผู้เสื่อม นึกเห็นความเสื่อม เหมือนคนมีโทษเล็งเห็นโทษ
ดูกรสันธะ บุรุษอาชาไนยที่เจริญ ก็ฉันนั้นเหมือนกันแล อยู่ที่ป่าก็ดี อยู่ที่โคน ต้นไม้ ก็ดี หรืออยู่เรือนว่างเปล่าก็ดี ย่อมไม่มีจิตอันกามราคะกลุ้มรุมแล้ว อันกามราคะ ครอบงำแล้วอยู่ และย่อมรู้ทั่วถึงอุบายเครื่องสลัดกามราคะ ที่เกิดขึ้นแล้ว ตามความเป็นจริง ย่อมไม่มีจิตอันพยาบาทกลุ้มรุมแล้ว ... ย่อมไม่มีจิตอันถีนมิทธะ กลุ้มรุมแล้ว ... ย่อมไม่มีจิตอันอุทธัจจกุกกุจจะกลุ้มรุมแล้ว ... ย่อมไม่มีจิตอันวิจิกิจฉา กลุ้มรุมแล้ว อันวิจิกิจฉาครอบงำแล้ว และย่อมรู้ทั่วถึงอุบายเครื่องสลัดวิจิกิจฉา ที่เกิดขึ้นแล้ว
-------------------------------------------------------------------------------------------------------
บุรุษอาชาไนยนั้น ย่อมไม่อาศัยปฐวีธาตุเพ่ง ย่อมไม่อาศัยอาโปธาตุเพ่ง ย่อมไม่อาศัยเตโชธาตุเพ่ง ย่อมไม่อาศัยวาโยธาตุเพ่ง ย่อมไม่อาศัยอากาสานัญจา ยตนะเพ่ง ย่อมไม่อาศัยวิญญาณัญจายตนะเพ่ง ย่อมไม่อาศัยอากิญจัญญายตนะเพ่ง ย่อมไม่อาศัยเนวสัญญานาสัญญายตนะเพ่ง ย่อมไม่อาศัยโลกนี้เพ่ง ย่อมไม่อาศัย โลกหน้าเพ่ง ย่อมไม่อาศัยรูปที่ได้เห็น เสียงที่ได้ยิน อารมณ์ที่ทราบ ธรรมที่รู้แจ้ง ที่ถึงแล้ว ที่แสวงหาแล้ว ที่ตรองตามแล้ว ด้วยใจเพ่ง ก็แต่ว่าย่อมเพ่ง
ดูกรสันธะ อนึ่งเทวดาพร้อมทั้งอินทร์ พรหม มนุษย์ ย่อมนอบน้อมบุรุษ อาชาไนยที่เจริญ ผู้เพ่งแล้วอย่างนี้ แต่ที่ไกลเทียวว่า ข้าแต่ท่านผู้เป็นบุรุษอาชาไนย ข้าพเจ้าขอนอบน้อมต่อท่าน ข้าแต่ท่านผู้เป็นบุรุษสูงสุด ข้าพเจ้าขอนอบน้อมต่อท่าน ข้าพเจ้าทั้งหลายรู้ชัดเหตุนั้นๆ ได้ เพราะอาศัยการเพ่งของท่าน (เทวดายินดีผู้เพ่ง)
เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้ ท่านพระสันธะได้ทูลถามว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็บุรุษอาชาไนยที่เจริญผู้เพ่ง ย่อมเพ่งอย่างไร บุรุษอาชาไนยนั้น จึงจะไม่อาศัยปฐวีธาตุเพ่ง ... ไม่อาศัยรูปที่ได้เห็น เสียงที่ได้ยิน อารมณ์ที่ทราบ ธรรมที่รู้แจ้ง ที่ถึงแล้ว ที่แสวงหาแล้ว ที่ตรองตามแล้วด้วยใจเพ่ง ก็แต่ว่าย่อมเพ่ง ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
อนึ่ง เทวดาพร้อมทั้งอินทร์ พรหม มนุษย์ย่อมนอบน้อมบุรุษอาชาไนยที่เจริญ ผู้เพ่ง อย่างไร แต่ที่ไกลเทียวว่า ข้าแต่ท่านผู้เป็นบุรุษอาชาไนย ข้าพเจ้าขอนอบน้อม ต่อท่าน ข้าแต่ท่านผู้เป็นบุรุษสูงสุด ข้าพเจ้าขอนอบน้อมต่อท่าน ข้าพเจ้าทั้งหลาย รู้ชัดเหตุนั้นๆ ได้ เพราะอาศัยการเพ่ง ของท่าน
พ. ดูกรสันธะ
ความสำคัญในปฐวีธาตุ ว่าเป็นปฐวีธาตุเป็นอารมณ์ ย่อมเป็นของแจ่มแจ้ง แก่บุรุษ อาชาไนยที่เจริญ ในธรรมวินัยนี้
ความสำคัญในอาโปธาตุ ว่าเป็นอาโปธาตุเป็นอารมณ์ ย่อมเป็นของแจ่มแจ้ง
ความสำคัญในเตโชธาตุ ว่าเป็นเตโชธาตุเป็นอารมณ์ ย่อมเป็นของแจ่มแจ้ง
ความสำคัญในวาโยธาตุ ว่าเป็นวาโยธาตุเป็นอารมณ์ ย่อมเป็นของแจ่มแจ้ง
ความสำคัญในอากาสานัญจายตนะ ว่าเป็นอากาสานัญจายตนะเป็นอารมณ์ ย่อมเป็นของแจ่มแจ้ง
ความสำคัญในวิญญาณัญจายตนะ ว่าเป็นวิญญาณัญจายตนะเป็นอารมณ์ ย่อมเป็นของ แจ่มแจ้ง
ความสำคัญในอากิญจัญญายตนะ ว่าเป็นอากิญจัญญายตนะเป็นอารมณ์ ย่อมเป็นของ แจ่มแจ้ง
ความสำคัญในเนวสัญญานาสัญญายตนะ ว่าเป็นเนวสัญญานาสัญญายตนะเป็นอารมณ์ ย่อมเป็นของแจ่มแจ้ง
ความสำคัญในโลกนี้ ว่าเป็นโลกนี้เป็นอารมณ์ ย่อมเป็นของแจ่มแจ้ง
ความสำคัญในโลกหน้า ว่าเป็นโลกหน้าเป็นอารมณ์ ย่อมเป็นของแจ่มแจ้ง
ความสำคัญใน รูปที่ได้เห็น เสียงที่ได้ยิน อารมณ์ที่ได้ทราบ(กลิ่น รส โผฏทัพพะ) ธรรมที่รู้แจ้ง ที่ถึงแล้ว ที่แสวงหาแล้ว ที่ตรองตามแล้วด้วยใจ ย่อมเป็นของแจ่มแจ้ง แก่บุรุษอาชาไนย ที่เจริญ ในธรรมวินัยนี้
-------------------------------------------------------------------------------------------------------
ดูกรสันธะ บุรุษอาชาไนยที่เจริญ ผู้เพ่งอยู่อย่างนี้แล จึงไม่อาศัย ปฐวีธาตุเพ่ง ไม่อาศัยอาโปธาตุเพ่ง ไม่อาศัยเตโชธาตุเพ่ง ไม่อาศัยวาโยธาตุเพ่ง ไม่อาศัย อากาสานัญจายตนะเพ่ง ไม่อาศัยวิญญาณัญจายตนะเพ่ง ไม่อาศัยอากิญ จัญญายตนะ เพ่ง ไม่อาศัยเนวสัญญานาสัญญายตนะเพ่ง ไม่อาศัยโลกนี้เพ่ง ไม่อาศัยโลกหน้าเพ่ง ไม่อาศัยรูปที่ได้เห็น เสียงที่ได้ยิน อารมณ์ที่ได้ทราบ ธรรมที่รู้แจ้ง ที่ถึงแล้ว ที่แสวงหา แล้ว ที่ตรองตามแล้วด้วยใจเพ่ง ก็แต่ว่าย่อมเพ่ง
ดูกรสันธะ อนึ่ง เทวดาพร้อมทั้งอินทร์ พรหม มนุษย์ ย่อมนอบน้อมบุรุษ อาชาไนย ที่เจริญ ผู้เพ่งแล้วอย่างนี้ แต่ที่ไกลเทียวว่า
ข้าแต่ท่านผู้เป็นบุรุษอาชาไนย ข้าพเจ้าขอนอบน้อมต่อท่าน ข้าแต่ท่านผู้เป็น บุรุษสูงสุด ข้าพเจ้าขอนอบน้อมต่อท่าน ข้าพเจ้าทั้งหลายรู้ชัดเหตุนั้นๆ ได้ เพราะอาศัย การเพ่งของท่าน
|