พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๒ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๓๐๙-๓๑๐
สติสูตร
ผลแห่งสติสัมปชัญญะ
[๑๘๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เมื่อสติสัมปชัญญะไม่มี
หิริและโอตตัปปะ ชื่อว่ามีเหตุ อันบุคคลผู้มีสติ และสัมปชัญญะ วิบัติกำจัดเสียแล้ว
เมื่อหิริ และ โอตตัปปะ ไม่มี
อินทรียสังวรชื่อว่า มีเหตุอันบุคคลผู้มีหิริ และโอตตัปปะวิบัติ กำจัดเสียแล้ว
เมื่ออินทรียสังวรไม่มี
ศีลชื่อว่ามีเหตุ อันบุคคลผู้มีอินทรียสังวรวิบัติ กำจัดเสียแล้ว
เมื่อศีลไม่มี
สัมมาสมาธิชื่อว่ามีเหตุอันบุคคล ผู้มีศีลวิบัติกำจัดเสียแล้ว
เมื่อสัมมาสมาธิไม่มี
ยถาภูตญาณทัสนะ ชื่อว่ามีเหตุอันบุคคล ผู้มีสัมมาสมาธิวิบัติกำจัด เสียแล้ว
เมื่อยถาภูตญาณทัสนะไม่มี
นิพพิทาวิราคะ ชื่อว่ามีเหตุอันบุคคล ผู้มียถาภูตญาณทัสนะ วิบัติ กำจัดเสียแล้ว
เมื่อนิพพิทาวิราคะไม่มี
วิมุตติญาณทัสนะ ชื่อว่ามีเหตุอันบุคคล ผู้มีนิพพิทาวิราคะ วิบัติ กำจัดเสียแล้ว เปรียบเหมือนต้นไม้มีกิ่ง และใบวิบัติแล้ว แม้กะเทาะ ของต้นไม้นั้น ย่อมไม่บริบูรณ์ แม้เปลือกแม้กระพี้ แม้แก่นของต้นไม้นั้น ก็ย่อมไม่บริบูรณ์ ฉะนั้น
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เมื่อสติสัมปชัญญะมีอยู่
หิริและโอตตัปปะชื่อว่า มีเหตุ สมบูรณ์ ย่อมมีแก่บุคคล ผู้สมบูรณ์ด้วยสติ และ สัมปชัญญะ
เมื่อหิริและโอตตัปปะมีอยู่
อินทรียสังวร ชื่อว่ามีเหตุสมบูรณ์ ย่อมมีแก่บุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยหิริและโอตตัปปะ
เมื่ออินทรียสังวรมีอยู่
ศีลชื่อว่ามีเหตุสมบูรณ์ ย่อมมีแก่บุคคลผู้สมบูรณ์ ด้วยอินทรียสังวร
เมื่อศีลมีอยู่
สัมมาสมาธิชื่อว่ามีเหตุสมบูรณ์ ย่อมมีแก่บุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยศีล
เมื่อสัมมาสมาธิ มีอยู่
ยถาภูตญาณทัสนะชื่อว่ามีเหตุสมบูรณ์ ย่อมมีแก่บุคคลผู้สมบูรณ์ ด้วยสัมมา สมาธิ
เมื่อยถาภูตญาณทัสนะมีอยู่
นิพพิทาวิราคะ ชื่อว่ามีเหตุสมบูรณ์ ย่อมมีแก่บุคคล ผู้สมบูรณ์ ด้วยยถาภูตญาณทัสนะ
เมื่อนิพพิทาวิราคะมีอยู่
วิมุตติญาณทัสนะชื่อว่ามีเหตุ สมบูรณ์ ย่อมมีแก่บุคคล ผู้สมบูรณ์ด้วยนิพพิทาวิราคะ เปรียบเหมือนต้นไม้ที่มีกิ่งและใบ สมบูรณ์ แม้กะเทาะของต้นไม้นั้นก็ย่อมบริบูรณ์ แม้เปลือก แม้กระพี้ แม้แก่นของ ต้นไม้นั้นก็ย่อมบริบูรณ์ ฉะนั้น
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๒ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๓๑๐-๓๑๑
ปุณณิยสูตร
ว่าด้วยพระปุณณิยะ
[๑๘๘] ครั้งนั้นแล ท่านพระปุณณิยะ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ยังที่ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอ เป็นเหตุเป็นปัจจัย ที่บางครั้งพระธรรมเทศนาแจ่มแจ้ง กะพระตถาคต บางครั้งไม่แจ่มแจ้ง
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรปุณณิยะ ภิกษุเป็นผู้มีศรัทธา แต่ไม่เข้าไปหา เพียงใด ธรรมเทศนาของตถาคต ย่อมไม่แจ่มแจ้งเพียงนั้น แต่เมื่อใด ภิกษุเป็นผู้มี ศรัทธาและเข้าไปหา เมื่อนั้น ธรรมเทศนาของตถาคต ย่อมแจ่มแจ้ง
ดูกรปุณณิยะ ภิกษุผู้มีศรัทธาและเข้าไปหา แต่ไม่เข้าไปนั่งใกล้เพียงใด ธรรมเทศนา ของตถาคต ย่อมไม่แจ่มแจ้งเพียงนั้น แต่เมื่อใด ภิกษุเป็นผู้มีศรัทธา ... และเข้าไปนั่งใกล้ เมื่อนั้นธรรมเทศนาของตถาคต ย่อมแจ่มแจ้ง
ดูกรปุณณิยะ ภิกษุเป็นผู้มีศรัทธา ... และเข้าไปนั่งใกล้ แต่ไม่สอบถามเพียงใด ธรรมเทศนาของตถาคต ย่อมไม่แจ่มแจ้งเพียงนั้นแต่เมื่อใด ภิกษุเป็นผู้มีศรัทธา ... และ สอบถาม เมื่อนั้น ธรรมเทศนาของตถาคตย่อมแจ่มแจ้ง
ดูกรปุณณิยะ ภิกษุเป็นผู้มีศรัทธา ... และสอบถาม แต่ไม่เงี่ยโสตลงสดับธรรม เพียงใด ธรรมเทศนาของตถาคต ย่อมไม่แจ่มแจ้งเพียงนั้น
แต่เมื่อใด ภิกษุเป็นผู้มีศรัทธา... และเงี่ยโสตลงสดับธรรม เมื่อนั้น ธรรมเทศนา ของตถาคต ย่อมแจ่มแจ้ง ดูกรปุณณิยะภิกษุเป็นผู้มีศรัทธา ... และเงี่ยโสตลงสดับธรรม แต่ฟังธรรมแล้วไม่ทรงจำไว้เพียงใดธรรมเทศนาของตถาคต ย่อมไม่แจ่มแจ้งเพียงนั้น แต่เมื่อใด ภิกษุเป็นผู้มีศรัทธา ...และฟังแล้วทรงจำไว้ เมื่อนั้น ธรรมเทศนาของตถาคต ย่อมแจ่มแจ้ง
ดูกรปุณณิยะ ภิกษุเป็นผู้มีศรัทธา ... และฟังแล้วทรงจำไว้ แต่ไม่พิจารณา เนื้อความแห่งธรรม ที่ทรงจำไว้เพียงใด ธรรมเทศนาของตถาคตย่อมไม่แจ่มแจ้ง เพียง นั้น แต่เมื่อใด ภิกษุเป็นผู้มีศรัทธา ... และพิจารณาเนื้อความแห่งธรรมที่ทรงจำไว้ เมื่อนั้น ธรรมเทศนาของตถาคตย่อมแจ่มแจ้ง
ดูกรปุณณิยะ ภิกษุเป็นผู้มีศรัทธา ... และพิจารณาเนื้อความแห่งธรรม ที่ทรงจำ ไว้ แต่ไม่รู้อรรถรู้ธรรม แล้วปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมเพียงใด ธรรมเทศนาของตถาคต ย่อมไม่แจ่มแจ้งเพียงนั้น แต่เมื่อใด ภิกษุเป็นผู้มีศรัทธา ... และรู้อรรถรู้ธรรมแล้ว ปฏิบัติธรรม สมควรแก่ธรรม เมื่อนั้น ธรรมเทศนาของตถาคตย่อมแจ่มแจ้ง
ดูกรปุณณิยะ ธรรมเทศนาของตถาคต ผู้มีปฏิญาณโดยส่วนเดียว อันประกอบ ด้วย ธรรมเหล่านี้แล ย่อมแจ่มแจ้ง |