พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๒ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๓๐๐-๓๐๔
ลัจฉาสูตรที่ ๑
การทำประโยชน์เพื่อเกื้อกูลแก่ตนและผู้อื่น
(เข้าใจ ทรงจำ ใคร่ครวญ รู้อรรถแล้วปฏิบัติ วาจาไพเราะ อธิบายได้)
[๑๗๕] ณ ที่นั้นแล ท่านพระสารีบุตร เรียกภิกษุทั้งหลาย ฯลฯ ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๖ ประการ เป็นผู้สามารถในอันปฏิบัติ เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ตน และผู้อื่น ธรรม ๖ ประการเป็นไฉน
ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้
๑ เป็นผู้มีความเข้าใจเร็ว ในกุศลธรรม ทั้งหลาย
๒
เป็นผู้ทรงจำธรรมที่ได้ฟังแล้ว
๓
พิจารณาเนื้อความแห่งธรรมที่ทรงจำแล้ว
๔
รู้อรรถรู้ธรรม แล้วปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม
๕
เป็นผู้มีวาจางามกล่าวถ้อยคำไพเราะ ประกอบด้วยวาจา ของชาวเมืองอันสละสลวย ไม่มีโทษ ให้รู้ประโยชน์
๖ เป็นผู้ชี้แจงสพรหมจารี ให้เห็นแจ้งแล้ว ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ร่าเริง
ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๖ ประการนี้แล เป็นผู้สามารถ ในอันปฏิบัติ เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ตน และผู้อื่น
ลัจฉาสูตรที่ ๒
การทำประโยชน์ตนและผู้อื่น
(ไม่เข้าใจ ทรงจำได้ ใคร่ครวญ ปฏิบัติ วาจางาม อธิบายได้)
[๑๗๖] ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการเป็นผู้สามารถ ในอันปฏิบัติ เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ตนและผู้อื่น ธรรม ๕ ประการเป็นไฉน
ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้
๑
เป็นผู้ไม่มีความเข้าใจได้เร็ว ในกุศลธรรมทั้งหลาย เป็นผู้ทรงจำธรรมที่ได้ฟังแล้ว(เข้าใจช้าแต่ทรงจำได้ดี)
๒ พิจารณาเนื้อความแห่งธรรม ที่ได้ทรงจำแล้ว
๓
รู้อรรถรู้ธรรม แล้วปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม
๔
เป็นผู้มีวาจางาม กล่าวถ้อยคำไพเราะ ประกอบด้วยวาจา ของชาวเมืองอันสละสลวย ไม่มีโทษ ให้รู้ประโยชน์
๕
เป็นผู้ชี้แจงสพรหมจารีให้เห็นแจ้ง ให้สมาทานให้อาจหาญ ร่าเริง
ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการนี้แล เป็นผู้สามารถ ในอันปฏิบัติ เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ตนและผู้อื่น
ลัจฉาสูตรที่ ๓
การทำประโยชน์ตนและผู้อื่น
(เข้าใจ ทรงจำ ใคร่ครวญ ปฏิบัติ วาจางาม อธิบายได้)
[๑๗๗] ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการเป็นผู้สามารถ ในอันปฏิบัติ เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ตน แต่ไม่สามารถในอันปฏิบัติเพื่อประโยชน์ เกื้อกูลแก่ผู้อื่น ธรรม ๔ ประการเป็นไฉน
ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้
๑
เป็นผู้มีความเข้าใจได้เร็ว ในกุศลธรรมทั้งหลาย
๒
เป็นผู้ทรงจำธรรมที่ได้ฟังแล้ว
๓
พิจารณาเนื้อความแห่งธรรม ที่ได้ทรงจำแล้ว
๔ รู้อรรถรู้ธรรมแล้ว ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม
๕
หาเป็นผู้มีวาจางาม กล่าวถ้อยคำไพเราะ ประกอบด้วยวาจาของชาวเมือง อันสละสลวย ไม่มีโทษ ให้รู้ประโยชน์ไม่หาชี้แจงสพรหมจารีให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ร่าเริงไม่ (ไม่มีวาจางาม อธิบายไม่ได้)
ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการนี้แล เป็นผู้สามารถ ในอันปฏิบัติ เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ตน แต่ไม่สามารถ ในอันปฏิบัติเพื่อประโยชน์ เกื้อกูล แก่ผู้อื่น
ลัจฉาสูตรที่ ๔
การทำประโยชน์ตนและผู้อื่น
(เข้าใจ ทรงจำ ไม่ใคร่ครวญ ไม่ปฏิบัติ วาจางาม อธิบายได้)
[๑๗๘] ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการเป็นผู้สามารถ ในอันปฏิบัติเพื่อประโยชน์เกื้อกูล แก่ผู้อื่น แต่ไม่สามารถในอันปฏิบัติเพื่อประโยชน์ เกื้อกูลแก่ตน ธรรม ๔ ประการเป็นไฉน
ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้
๑
เป็นผู้มีความเข้าใจเร็ว ในกุศลธรรม ทั้งหลาย
๒ เป็นผู้ทรงจำธรรมที่ได้ฟังแล้ว
๓ แต่ไม่พิจารณาเนื้อความแห่งธรรม ที่ได้ทรงจำไว้หารู้อรรถรู้ธรรม แล้วปฏิบัติธรรม สมควรแก่ธรรมไม่ เป็นผู้มีวาจางาม กล่าวถ้อยคำไพเราะ ประกอบด้วยวาจาของ ชาวเมือง อันสละสลวย ไม่มีโทษ ให้รู้ประโยชน์ (ไม่ใคร่ครวญ ไม่นำไปปฏิบัติ)
๔ เป็นผู้ชี้แจง สพรหมจารีให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ร่าเริง
ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการนี้แล เป็นผู้สามารถ ในอันปฏิบัติ เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ผู้อื่น แต่ไม่สามารถในอันปฏิบัติ เพื่อประโยชน์ เกื้อกูลแก่ตน
ลัจฉาสูตรที่ ๕
การทำประโยชน์ตนและผู้อื่น
(เข้าใจ ทรงจำ ใคร่ครวญ รู้อรรถแล้วปฏิบัติ วาจาไม่งาม อธิบายชี้แจงไม่ได้)
[๑๗๙] ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๓ ประการเป็นผู้สามารถ ในอันปฏิบัติเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ตน แต่ไม่สามารถในอันปฏิบัติเพื่อประโยชน์เกื้อกูล แก่ผู้อื่น ธรรม ๓ ประการเป็นไฉน
ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ไม่เป็นผู้มีความเข้าใจได้เร็ว ในกุศลธรรม ทั้งหลาย
๑
เป็นผู้ทรงจำธรรมที่ได้ฟังแล้ว
๒
พิจารณาเนื้อความแห่งธรรม ที่ได้ทรงจำไว้แล้ว
๓
รู้อรรถรู้ธรรมแล้วปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม
๔
หาเป็นผู้มีวาจางาม กล่าวถ้อยคำไพเราะ ประกอบด้วยวาจา ของชาวเมือง อันสละ สลวย ไม่มีโทษ ให้รู้ประโยชน์ไม่ และ
หาชี้แจงสพรหมจารีให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ร่าเริงไม่
ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๓ ประการนี้แล เป็นผู้สามารถ ในอันปฏิบัติ เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ตน แต่ไม่สามารถในอันปฏิบัติ เพื่อประโยชน์ เกื้อกูลแก่ผู้อื่น
ลัจฉาสูตรที่ ๖
การทำประโยชน์ตนและผู้อื่น
(ไม่เข้าใจ ทรงจำได้ ไม่ใคร่ครวญ ไม่รู้อรรถแห่งธรรม วาจาไพเราะ อธิบายความได้)
[๑๘๐] ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๓ ประการเป็นผู้สามารถ ในอันปฏิบัติ เพื่อประโยชน์ เกื้อกูลแก่ผู้อื่น แต่ไม่สามารถในอันปฏิบัติเพื่อประโยชน์ เกื้อกูลแก่ตน ธรรม ๓ ประการเป็นไฉน
ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้
๑
ไม่เป็นผู้มีความเข้าใจได้เร็ว ในกุศลธรรมทั้งหลาย เป็นผู้ทรงจำธรรมที่ได้ฟังแล้ว
๒ - ไม่พิจารณาเนื้อความแห่งธรรม ที่ได้ทรงจำไว้แล้ว
-
หารู้อรรถรู้ธรรมแล้วปฏิบัติธรรม สมควรแก่ธรรมไม่
- เป็นผู้มีวาจางาม กล่าวถ้อยคำไพเราะ ประกอบด้วยวาจาของ ชาวเมือง อันสละ สลวย ไม่มีโทษ ให้รู้ประโยชน์
๓
ชี้แจงสพรหมจารี ให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ร่าเริง
ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๓ ประการนี้แล เป็นผู้สามารถ ในอันปฏิบัติ เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ผู้อื่น แต่ไม่สามารถในอันปฏิบัติ เพื่อประโยชน์ เกื้อกูลแก่ตน
ลัจฉาสูตรที่ ๗
การทำประโยชน์ตนและผู้อื่น
(ไม่เข้าใจ ไม่ทรงจำ ใคร่ครวญได้ รู้อรรถปฏิบัติได้ ไม่มีวาจางาม อธิบายไม่ได้ )
[๑๘๑] ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๒ ประการ เป็นผู้สามารถ ในอันปฏิบัติ เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ตน แต่ไม่สามารถ ในอันปฏิบัติเพื่อประโยชน์ เกื้อกูล แก่ผู้อื่น ธรรม ๒ ประการเป็นไฉน
ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้
๑
ไม่เป็นผู้มีความเข้าใจได้เร็ว ในกุศลธรรมทั้งหลาย
ไม่เป็นผู้ทรงจำธรรมที่ได้ฟังแล้ว แต่พิจารณาเนื้อความแห่งธรรม ที่ได้ทรงจำแล้ว
๒ รู้อรรถรู้ธรรม แล้วปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม
ไม่เป็นผู้มีวาจางาม กล่าวถ้อยคำ ไพเราะ ประกอบด้วย วาจาของชาวเมือง อันสละสลวย ไม่มีโทษ ให้รู้ประโยชน์ ไม่ชี้แจง สพรหมจารีให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ร่าเริง
ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๒ ประการนี้แล เป็นผู้สามารถ ในอันปฏิบัติ เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ตน แต่ไม่สามารถในอันปฏิบัติ เพื่อประโยชน์ เกื้อกูลแก่ผู้อื่น
ลัจฉาสูตรที่ ๘
การทำประโยชน์ตนและผู้อื่น
(ไม่เข้าใจ ไม่ทรงจำ ไม่ใคร่ครวญ ไม่ปฏิบัติ มีวาจาไพเราะ อธิบายความได้)
[๑๘๒] ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๒ ประการ เป็นผู้ สามารถในอันปฏิบัติ เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ผู้อื่น แต่ไม่สามารถในอันปฏิบัติ เพื่อ ประโยชน์เกื้อกูลแก่ตน ธรรม ๒ ประการเป็นไฉน
ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้
๑
ไม่เป็นผู้มีความเข้าใจได้เร็วในกุศลธรรมทั้งหลาย ไม่เป็นผู้ทรงจำธรรมที่ได้ฟังแล้ว ไม่พิจารณาเนื้อความแห่งธรรม ที่ได้ทรงจำไว้แล้ว หารู้อรรถรู้ธรรมแล้ว ปฏิบัติธรรม สมควรแก่ธรรมไม่ เป็นผู้มีวาจางาม กล่าวถ้อยคำไพเราะ ประกอบด้วยวาจาของ ชาวเมือง อันสละสลวย ไม่มีโทษ ให้รู้ประโยชน์
๒
ชี้แจงสพรหมจารีให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ร่าเริง
ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๒ ประการนี้แล เป็นผู้สามารถ ในอันปฏิบัติ เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ผู้อื่น แต่ไม่สามารถในอันปฏิบัติ เพื่อประโยชน์ เกื้อกูลแก่ตน
|