เว็บไซต์ อนาคามี เผยแพร่คำพระศาสดา เผยแพร่คำสอนตถาคต เว็บไซต์เผยแพร่พระสุตรคำสอนของพระพุทธเจ้า คลิปคำสอน คลิปสาธยายธรรม
ค้นหาคำที่ต้องการ            

ลัจฉาสูตร การทำประโยชน์เพื่อเกื้อกูลแก่ตนและผู้อื่น รวมทั้งหมด ๘ พระสูตร และมีนัยยะที่ต่างกัน 2295
 

พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๒

ลัจฉาสูตร การทำประโยชน์ตนและผู้อื่น
(แสดงธรรมโดยพระสารรีบุตร)
ลัจฉาสูตรที่ ๑ (เข้าใจ ทรงจำ ใคร่ครวญ รู้อรรถแล้วปฏิบัติ วาจาไพเราะ อธิบายได้)
ลัจฉาสูตรที่ ๒ (ไม่เข้าใจ ทรงจำได้ ใคร่ครวญ ปฏิบัติ วาจางาม อธิบายได้)
ลัจฉาสูตรที่ ๓ (เข้าใจ ทรงจำ ใคร่ครวญ ปฏิบัติ วาจาไม่งาม อธิบายไม่ได้)
ลัจฉาสูตรที่ ๔ (เข้าใจ ทรงจำ ไม่ใคร่ครวญ ไม่ปฏิบัติ วาจางาม อธิบายได้)
ลัจฉาสูตรที่ ๕ (เข้าใจ ทรงจำ ใคร่ครวญ รู้อรรถแล้วปฏิบัติ วาจาไม่งาม อธิบายชี้แจงไม่ได้)
ลัจฉาสูตรที่ ๖ (ไม่เข้าใจ ทรงจำได้ ไม่ใคร่ครวญ ไม่รู้อรรถแห่งธรรม วาจาไพเราะ อธิบายความได้)
ลัจฉาสูตรที่ ๗ (ไม่เข้าใจ ไม่ทรงจำ ใคร่ครวญได้ รู้อรรถปฏิบัติได้ ไม่มีวาจางาม อธิบายไม่ได้ )
ลัจฉาสูตรที่ ๘ (ไม่เข้าใจ ไม่ทรงจำ ไม่ใคร่ครวญ ไม่ปฏิบัติ มีวาจาไพเราะ อธิบายความได้)

  เข้าใจอรรถ
เข้าใจบทธรรม
ทรงจำที่
ศึกษามา
พิจารณา
ใคร่ครวญ
รู้ธรรมแล้ว
นำไปปฏิบัติ
วาจา
ไพเราะ
สาธยาย
ให้เข้าใจได้
สูตรที่ ๑
สูตรที่ ๒
สูตรที่ ๓
สูตรที่ ๔
สูตรที่ ๕
สูตรที่ ๖
สูตรที่ ๗
สูตรที่ ๘
พระสูตรนี้ดูแปลกๆ ไม่น่าเป็นไปได้ โดยเฉพาะสูตร ๖ และ สูตร ๘
ภิกษุไม่เข้าใจบทแห่งธรรม ไม่ทรงจำบทธรรม ไม่ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม
แต่กลับชี้แจงสพรหมจารี ให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ร่าเริง ได้
เรื่องสำคัญของพระพุทธเจ้า
การบำเพ็ญบารมีในอดีตชาติ
การประสูติ แสงสว่าง แผ่นดินไหว
แสวงหาสัจจะบำเพ็ญทุกรกิริยา
ปัญจวัคคีย์หลีก สิ่งที่ตรัสรู้
ตรัสรู้ แสดงเทศนาปัญจวัคคีย์
ปลงสังขาร ปรินิพพาน
ลำดับขั้นการปรินิพพาน
เทวดาแสดงฤทธิ์ขณะถวายเพลิง
แบ่งพระสรีระออกเป็น ๘ ส่วน
 
รวมพระสูตรบุคคลสำคัญ
พระโมคคัลลานะ
พระสารีบุตร
พระเทวทัต
นิครนถ์ปริพาชก
พระมหากัปปินะ
พระอนุรุทธะ
พระอุบาลี
(ดูทั้งหมด)
 
สารบาญพระไตรปิฎก
เล่มที่ ๘-๓๓ (๒๕ เล่ม) ทุกพระสูตร
1. ฉบับหลวง
2. ฉบับมหาจุฬาฯ
3. อรรถกถาไทย
4. ฉบับภาษาบาลี
5. อรรถกถา-บาลี
6. Pali Roman (Roman Script)
7. Atthakatha PaliRoman
 

 


 


พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๒ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๓๐๐-๓๐๔

ลัจฉาสูตรที่ ๑
การทำประโยชน์เพื่อเกื้อกูลแก่ตนและผู้อื่น
(เข้าใจ ทรงจำ ใคร่ครวญ รู้อรรถแล้วปฏิบัติ วาจาไพเราะ อธิบายได้)

            [๑๗๕] ณ ที่นั้นแล ท่านพระสารีบุตร เรียกภิกษุทั้งหลาย ฯลฯ ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๖ ประการ เป็นผู้สามารถในอันปฏิบัติ เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ตน และผู้อื่น ธรรม ๖ ประการเป็นไฉน

            ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้
๑ เป็นผู้มีความเข้าใจเร็ว ในกุศลธรรม ทั้งหลาย
๒ เป็นผู้ทรงจำธรรมที่ได้ฟังแล้ว
๓ พิจารณาเนื้อความแห่งธรรมที่ทรงจำแล้ว
๔ รู้อรรถรู้ธรรม แล้วปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม
๕ เป็นผู้มีวาจางามกล่าวถ้อยคำไพเราะ ประกอบด้วยวาจา ของชาวเมืองอันสละสลวย ไม่มีโทษ ให้รู้ประโยชน์
๖ เป็นผู้ชี้แจงสพรหมจารี ให้เห็นแจ้งแล้ว ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ร่าเริง

            ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๖ ประการนี้แล เป็นผู้สามารถ ในอันปฏิบัติ เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ตน และผู้อื่น

ลัจฉาสูตรที่ ๒
การทำประโยชน์ตนและผู้อื่น
(ไม่เข้าใจ ทรงจำได้ ใคร่ครวญ ปฏิบัติ วาจางาม อธิบายได้)

            [๑๗๖] ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการเป็นผู้สามารถ ในอันปฏิบัติ เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ตนและผู้อื่น ธรรม ๕ ประการเป็นไฉน

            ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้
๑ เป็นผู้ไม่มีความเข้าใจได้เร็ว ในกุศลธรรมทั้งหลาย เป็นผู้ทรงจำธรรมที่ได้ฟังแล้ว(เข้าใจช้าแต่ทรงจำได้ดี)
๒ พิจารณาเนื้อความแห่งธรรม ที่ได้ทรงจำแล้ว
๓ รู้อรรถรู้ธรรม แล้วปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม
๔ เป็นผู้มีวาจางาม กล่าวถ้อยคำไพเราะ ประกอบด้วยวาจา ของชาวเมืองอันสละสลวย ไม่มีโทษ ให้รู้ประโยชน์
๕ เป็นผู้ชี้แจงสพรหมจารีให้เห็นแจ้ง ให้สมาทานให้อาจหาญ ร่าเริง

            ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการนี้แล เป็นผู้สามารถ ในอันปฏิบัติ เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ตนและผู้อื่น

ลัจฉาสูตรที่ ๓
การทำประโยชน์ตนและผู้อื่น
(เข้าใจ ทรงจำ ใคร่ครวญ ปฏิบัติ วาจางาม อธิบายได้)

            [๑๗๗] ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการเป็นผู้สามารถ ในอันปฏิบัติ เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ตน แต่ไม่สามารถในอันปฏิบัติเพื่อประโยชน์ เกื้อกูลแก่ผู้อื่น ธรรม ๔ ประการเป็นไฉน

            ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้
๑ เป็นผู้มีความเข้าใจได้เร็ว ในกุศลธรรมทั้งหลาย
๒ เป็นผู้ทรงจำธรรมที่ได้ฟังแล้ว
๓ พิจารณาเนื้อความแห่งธรรม ที่ได้ทรงจำแล้ว
๔ รู้อรรถรู้ธรรมแล้ว ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม
๕ หาเป็นผู้มีวาจางาม กล่าวถ้อยคำไพเราะ ประกอบด้วยวาจาของชาวเมือง อันสละสลวย ไม่มีโทษ ให้รู้ประโยชน์ไม่หาชี้แจงสพรหมจารีให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ร่าเริงไม่ (ไม่มีวาจางาม อธิบายไม่ได้)

            ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการนี้แล เป็นผู้สามารถ ในอันปฏิบัติ เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ตน แต่ไม่สามารถ ในอันปฏิบัติเพื่อประโยชน์ เกื้อกูล แก่ผู้อื่น

ลัจฉาสูตรที่ ๔
การทำประโยชน์ตนและผู้อื่น
(เข้าใจ ทรงจำ ไม่ใคร่ครวญ ไม่ปฏิบัติ วาจางาม อธิบายได้)

            [๑๗๘] ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการเป็นผู้สามารถ ในอันปฏิบัติเพื่อประโยชน์เกื้อกูล แก่ผู้อื่น แต่ไม่สามารถในอันปฏิบัติเพื่อประโยชน์ เกื้อกูลแก่ตน ธรรม ๔ ประการเป็นไฉน

            ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้
๑ เป็นผู้มีความเข้าใจเร็ว ในกุศลธรรม ทั้งหลาย
๒ เป็นผู้ทรงจำธรรมที่ได้ฟังแล้ว

๓ แต่ไม่พิจารณาเนื้อความแห่งธรรม ที่ได้ทรงจำไว้หารู้อรรถรู้ธรรม แล้วปฏิบัติธรรม สมควรแก่ธรรมไม่
เป็นผู้มีวาจางาม กล่าวถ้อยคำไพเราะ ประกอบด้วยวาจาของ ชาวเมือง อันสละสลวย ไม่มีโทษ ให้รู้ประโยชน์ (ไม่ใคร่ครวญ ไม่นำไปปฏิบัติ)
๔ เป็นผู้ชี้แจง สพรหมจารีให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ร่าเริง

            ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการนี้แล เป็นผู้สามารถ ในอันปฏิบัติ เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ผู้อื่น แต่ไม่สามารถในอันปฏิบัติ เพื่อประโยชน์ เกื้อกูลแก่ตน

ลัจฉาสูตรที่ ๕
การทำประโยชน์ตนและผู้อื่น
(เข้าใจ ทรงจำ ใคร่ครวญ รู้อรรถแล้วปฏิบัติ วาจาไม่งาม อธิบายชี้แจงไม่ได้)

            [๑๗๙] ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๓ ประการเป็นผู้สามารถ ในอันปฏิบัติเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ตน แต่ไม่สามารถในอันปฏิบัติเพื่อประโยชน์เกื้อกูล แก่ผู้อื่น ธรรม ๓ ประการเป็นไฉน

            ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ไม่เป็นผู้มีความเข้าใจได้เร็ว ในกุศลธรรม ทั้งหลาย
๑ เป็นผู้ทรงจำธรรมที่ได้ฟังแล้ว
๒ พิจารณาเนื้อความแห่งธรรม ที่ได้ทรงจำไว้แล้ว
๓ รู้อรรถรู้ธรรมแล้วปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม
๔ หาเป็นผู้มีวาจางาม กล่าวถ้อยคำไพเราะ ประกอบด้วยวาจา ของชาวเมือง อันสละ สลวย ไม่มีโทษ ให้รู้ประโยชน์ไม่ และ หาชี้แจงสพรหมจารีให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ร่าเริงไม่

            ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๓ ประการนี้แล เป็นผู้สามารถ ในอันปฏิบัติ เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ตน แต่ไม่สามารถในอันปฏิบัติ เพื่อประโยชน์ เกื้อกูลแก่ผู้อื่น

ลัจฉาสูตรที่ ๖
การทำประโยชน์ตนและผู้อื่น
(ไม่เข้าใจ ทรงจำได้ ไม่ใคร่ครวญ ไม่รู้อรรถแห่งธรรม วาจาไพเราะ อธิบายความได้)

            [๑๘๐] ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๓ ประการเป็นผู้สามารถ ในอันปฏิบัติ เพื่อประโยชน์ เกื้อกูลแก่ผู้อื่น แต่ไม่สามารถในอันปฏิบัติเพื่อประโยชน์ เกื้อกูลแก่ตน ธรรม ๓ ประการเป็นไฉน

            ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้
๑ ไม่เป็นผู้มีความเข้าใจได้เร็ว ในกุศลธรรมทั้งหลาย เป็นผู้ทรงจำธรรมที่ได้ฟังแล้ว
๒ - ไม่พิจารณาเนื้อความแห่งธรรม ที่ได้ทรงจำไว้แล้ว
   - หารู้อรรถรู้ธรรมแล้วปฏิบัติธรรม สมควรแก่ธรรมไม่
  
 - เป็นผู้มีวาจางาม กล่าวถ้อยคำไพเราะ ประกอบด้วยวาจาของ ชาวเมือง อันสละ สลวย ไม่มีโทษ ให้รู้ประโยชน์
๓ ชี้แจงสพรหมจารี ให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ร่าเริง

            ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๓ ประการนี้แล เป็นผู้สามารถ ในอันปฏิบัติ เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ผู้อื่น แต่ไม่สามารถในอันปฏิบัติ เพื่อประโยชน์ เกื้อกูลแก่ตน

ลัจฉาสูตรที่
การทำประโยชน์ตนและผู้อื่น
(ไม่เข้าใจ ไม่ทรงจำ ใคร่ครวญได้ รู้อรรถปฏิบัติได้ ไม่มีวาจางาม อธิบายไม่ได้ )

            [๑๘๑] ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๒ ประการ เป็นผู้สามารถ ในอันปฏิบัติ เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ตน แต่ไม่สามารถ ในอันปฏิบัติเพื่อประโยชน์ เกื้อกูล แก่ผู้อื่น ธรรม ๒ ประการเป็นไฉน

            ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้
๑ ไม่เป็นผู้มีความเข้าใจได้เร็ว ในกุศลธรรมทั้งหลาย ไม่เป็นผู้ทรงจำธรรมที่ได้ฟังแล้ว แต่พิจารณาเนื้อความแห่งธรรม ที่ได้ทรงจำแล้ว
๒ รู้อรรถรู้ธรรม แล้วปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม
ไม่เป็นผู้มีวาจางาม กล่าวถ้อยคำ ไพเราะ ประกอบด้วย วาจาของชาวเมือง อันสละสลวย ไม่มีโทษ ให้รู้ประโยชน์ ไม่ชี้แจง สพรหมจารีให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ร่าเริง

            ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๒ ประการนี้แล เป็นผู้สามารถ ในอันปฏิบัติ เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ตน แต่ไม่สามารถในอันปฏิบัติ เพื่อประโยชน์ เกื้อกูลแก่ผู้อื่น

ลัจฉาสูตรที่ ๘
การทำประโยชน์ตนและผู้อื่น
(ไม่เข้าใจ ไม่ทรงจำ ไม่ใคร่ครวญ ไม่ปฏิบัติ มีวาจาไพเราะ อธิบายความได้)

            [๑๘๒] ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๒ ประการ เป็นผู้ สามารถในอันปฏิบัติ เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ผู้อื่น แต่ไม่สามารถในอันปฏิบัติ เพื่อ ประโยชน์เกื้อกูลแก่ตน ธรรม ๒ ประการเป็นไฉน

            ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้
๑ ไม่เป็นผู้มีความเข้าใจได้เร็วในกุศลธรรมทั้งหลาย ไม่เป็นผู้ทรงจำธรรมที่ได้ฟังแล้ว ไม่พิจารณาเนื้อความแห่งธรรม ที่ได้ทรงจำไว้แล้ว หารู้อรรถรู้ธรรมแล้ว ปฏิบัติธรรม สมควรแก่ธรรมไม่ เป็นผู้มีวาจางาม กล่าวถ้อยคำไพเราะ ประกอบด้วยวาจาของ ชาวเมือง อันสละสลวย ไม่มีโทษ ให้รู้ประโยชน์

๒ ชี้แจงสพรหมจารีให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ร่าเริง

            ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๒ ประการนี้แล เป็นผู้สามารถ ในอันปฏิบัติ เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ผู้อื่น แต่ไม่สามารถในอันปฏิบัติ เพื่อประโยชน์ เกื้อกูลแก่ตน


 





หนังสือพุทธวจน ธรรมะของพระศาสดา
90 90 90 90
พุทธประวัติ ขุมทรัพย์ อริยสัจ
ภาคต้น
อริยสัจ
ภาคปลาย
ปฏิจจ ปฐมธรรม ตถาคต อนาคามี อินทรีย์
สังวร
สัตว์
สัตตานัง
ทาน
สกทาคามี
ฆราวาส
ชั้นเลิศ
มรรควิธี
ที่ง่าย
อริยวินัย เดรัจฉานวิชา กรรม สมถะ
วิปัสสนา
โสดาบัน นา
ปานสติ
จิต มโน
วิญญาณ
ก้าวย่าง
อย่างพุทธะ
ตามรอย
ธรรม
ภพ ภูมิ
พุทธวจน
สาธยาย
ธรรม
สังโยชน์