พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๒ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๒๗๘-๒๗๙
๙. สีวถิกาสูตร
โทษในป่าช้า
[๒๔๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย โทษในป่าช้า ๕ ประการนี้ ๕ ประการเป็นไฉน คือ
๑ เป็นที่ไม่สะอาด
๒ มีกลิ่นเหม็น
๓ มีภัยเฉพาะหน้า
๔ เป็นที่อยู่ของพวกมนุษย์ร้าย
๕ เป็นที่รำพันทุกข์ของชนหมู่มาก
ดูกรภิกษุทั้งหลาย โทษในป่าช้า ๕ ประการนี้แล
ดูกรภิกษุทั้งหลาย โทษในบุคคลผู้เปรียบด้วยป่าช้า ๕ ประการนี้ ฉันนั้น เหมือนกัน ๕ ประการเป็นไฉน คือ
๑ บุคคลบางคนในโลกนี้ย่อมประกอบด้วยกาย กรรมอันไม่สะอาด ด้วยวจีกรรม อันไม่สะอาด ด้วยมโนกรรม อันไม่สะอาด เรากล่าวข้อนี้ เพราะเขาเป็นผู้ไม่สะอาด ป่าช้านั้นเป็นที่ไม่สะอาด แม้ฉันใด เรากล่าวบุคคลนี้เปรียบฉันนั้น
๒ กิตติศัพท์ที่ชั่วของเขาผู้ประกอบด้วยกายกรรม อันไม่สะอาด ด้วยวจีกรรมอัน ไม่สะอาด ด้วยมโนกรรมอันไม่สะอาด ย่อมฟุ้งไป เรากล่าวข้อนี้ เพราะเขาเป็นผู้มี กลิ่นเหม็น ป่าช้ามีกลิ่นเหม็น แม้ฉันใด เรากล่าวบุคคลนี้เปรียบฉันนั้น
๓ เพื่อนพรหมจรรย์ผู้มีศีลเป็นที่รัก ย่อมเว้นไกลซึ่งบุคคลนั้นผู้ประกอบด้วย กายกรรม อันไม่สะอาด ด้วยวจีกรรมอันไม่สะอาด ด้วยมโนกรรมอันไม่สะอาด เรากล่าว ข้อนี้ เพราะเขามีภัยเฉพาะหน้า ป่าช้ามีภัยเฉพาะหน้า แม้ฉันใด เรากล่าวบุคคลนี้ เปรียบฉันนั้น
๔ เขาประกอบด้วยกายกรรมอันไม่สะอาด ด้วยวจีกรรมอันไม่สะอาด ด้วย มโนกรรม อันไม่สะอาด ย่อมอยู่ร่วมกับบุคคลผู้เสมอกัน เรากล่าวข้อนี้ เพราะเขาเป็น ที่อยู่ของ สิ่งร้าย ป่าช้าเป็นที่อยู่ของอมนุษย์ร้าย แม้ฉันใด เรากล่าวบุคคลนี้เปรียบ ฉันนั้น
๕ เพื่อนพรหมจรรย์ผู้มีศีลเป็นที่รัก เห็นเขาผู้ประกอบด้วยกายกรรม อันไม่สะอาด ด้วย วจีกรรมอันไม่สะอาด ด้วยมโนกรรมอันไม่สะอาด แล้วย่อมรำพัน ทุกข์ว่า โอเป็นทุกข์ของ พวกเรา ผู้อยู่ร่วมกับบุคคลเห็นปานนี้ เรากล่าวข้อนี้ เพราะเขา เป็นที่รำพันทุกข์ ป่าช้า เป็นที่รำพันทุกข์ ของชนหมู่มาก แม้ฉันใด เรากล่าวบุคคลนี้ เปรียบฉันนั้น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย โทษในบุคคลผู้เปรียบด้วยป่าช้า ๕ ประการนี้แล
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๒ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๒๗๙-๒๘๑
๑๐. ปุคคลปสาทสูตร
โทษในความเลื่อมใสที่เกิดขึ้นกับบุคคล
[๒๕๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย โทษในความเลื่อมใสที่เกิดขึ้นในบุคคล ๕ ประการนี้ ๕ ประการเป็นไฉน คือ
๑ บุคคลย่อมเลื่อมใสในบุคคลใด บุคคลนั้นต้องอาบัติ อันเป็นเหตุให้สงฆ์ ยกวัตร* เขาจึงคิดอย่างนี้ว่า บุคคลผู้เป็นที่รักที่ชอบใจของเรานี้ ถูกสงฆ์ยกวัตรเสียแล้ว เขาจึงเป็นผู้ไม่มีความเลื่อมใสมากในพวกภิกษุ เมื่อไม่มีความเลื่อมใสมากในพวกภิกษุ จึงไม่คบหา ภิกษุเหล่าอื่น เมื่อไม่คบหาภิกษุเหล่าอื่น จึงไม่ฟังสัทธรรม เมื่อไม่ฟัง สัทธรรมจึงเสื่อม จากสัทธรรมนี้เป็นโทษในความเลื่อมใส ที่เกิดขึ้นในบุคคล ข้อที่ ๑
* ยกวัตร หมายถึง ลงโทษ การทอดทิ้ง ไม่คบหา ขับออก
๒ อีกประการหนึ่ง บุคคลย่อมเลื่อมใสในบุคคลใด บุคคลนั้นต้องอาบัติอันเป็นเหตุให้สงฆ์บังคับให้เขานั่งที่สุดสงฆ์ เขาจึงคิดอย่างนี้ว่า บุคคลผู้เป็นที่รัก ที่ชอบใจของเรานี้ ถูกสงฆ์บังคับให้นั่งในที่สุดสงฆ์เสียแล้ว เขาจึงเป็นผู้ไม่มีความ เลื่อมใสมากในพวกภิกษุ ... จึงเสื่อมจากสัทธรรม นี้เป็นโทษในความเลื่อมใส ที่เกิดขึ้นในบุคคล ข้อที่ ๒
๓ อีกประการหนึ่ง บุคคลย่อมเลื่อมใสในบุคคลใด บุคคลนั้นหลีกไปสู่ทิศเสีย เขาจึงคิดอย่างนี้ว่า บุคคลผู้เป็นที่รักที่ชอบใจของเรานี้ หลีกไปสู่ทิศเสียแล้ว เขาจึงเป็น ผู้ไม่มีความเลื่อมใสมากในพวกภิกษุ ...จึงเสื่อมจากสัทธรรม นี้เป็นโทษในความเลื่อมใส ที่เกิดขึ้นในบุคคล ข้อที่ ๓
๔ อีกประการหนึ่ง บุคคลย่อมเลื่อมใสในบุคคลใด บุคคลนั้นลาสิกขา เขาจึง คิดอย่างนี้ว่า บุคคลผู้เป็นที่รักที่ชอบใจของเรานี้ ลาสิกขาเสียแล้ว เขาจึงไม่คบหาภิกษุ เหล่าอื่น ... จึงเสื่อมจากสัทธรรม นี้เป็นโทษในความเสื่อมใสที่เกิดขึ้น ในบุคคล ข้อที่ ๔
๕ อีกประการหนึ่ง บุคคลย่อมเลื่อมใสในบุคคลใด บุคคลนั้นกระทำกาละเสีย เขาจึงคิดอย่างนี้ว่า บุคคลผู้เป็นที่รักที่ชอบใจของเรานี้ กระทำกาละเสียแล้วเขาจึงไม่ คบหาภิกษุเหล่าอื่น เมื่อไม่คบหาภิกษุเหล่าอื่น จึงไม่ฟังสัทธรรม เมื่อไม่ฟัง สัทธรรม จึงเสื่อม จากสัทธรรม นี้เป็นโทษในความเลื่อมใสที่เกิดขึ้นในบุคคล ข้อที่ ๕
ดูกรภิกษุทั้งหลาย โทษในความเลื่อมใสที่เกิดในบุคคล ๕ประการนี้แล |