เว็บไซต์ อนาคามี เผยแพร่คำพระศาสดา เผยแพร่คำสอนตถาคต เว็บไซต์เผยแพร่พระสุตรคำสอนของพระพุทธเจ้า คลิปคำสอน คลิปสาธยายธรรม
ค้นหาคำที่ต้องการ            

กรรมสูตรที่ ๓ ในกาลก่อนจิตของเรามีพลังน้อยยังไม่ได้อบรม แต่บัดนี้จิตของเราเป็นจิตอบรมดีแล้ว (มีพลังมาก) 2379
 

พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๔

กรรมสูตรที่ ๓
อริยสาวกผู้ปราศจากอภิชฌา ปราศจากพยาบาท มีใจประกอบด้วยเมตตา แผ่ไปตลอดทั้งสี่ทิศ หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนอยู่ อริยสาวกนั้น ย่อมรู้อย่างนี้ว่า ในกาลก่อนแล จิตของเรานี้เป็นจิตมีพลังน้อย เป็นจิตไม่ได้อบรม แต่บัดนี้จิตของเรานี้เป็นจิตอบรมดีแล้ว (มีพลังมาก) ก็กรรมที่ทำแล้ว ย่อมไม่เหลืออยู่ ไม่ตั้งอยู่ในจิตของเรานั้น

เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน คือหากในเวลยังเป็นเด็ก เด็กนี้พึงเจริญ เมตตาเจโตวิมุติ ไซร้ พึงทำบาปกรรมบ้างหรือ ภิกษุทั้งหลาย กราบทูลว่า ไม่ใช่เช่นนั้น พระเจ้าข้า
พ. ก็ทุกข์จะพึงถูกต้องบุคคลผู้ไม่ทำบาปกรรมและหรือ
ภิ. ไม่ใช่เช่นนั้นพระเจ้าข้า ทุกข์จักถูกต้องบุคคลผู้ไม่ทำบาปกรรมได้แต่ที่ไหน (บาปจะไม่ติดตามไป)
ดูกรภิกษุ ท. เมตตาเจโตวิมุติ อันภิกษุผู้มีปัญญา ผู้ยังไม่แทงตลอดวิมุติอันยิ่งในธรรมวินัยนี้ อบรมแล้วด้วยประการอย่างนี้แล ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็น พระอนาคามี

เรื่องสำคัญของพระพุทธเจ้า
การบำเพ็ญบารมีในอดีตชาติ
การประสูติ แสงสว่าง แผ่นดินไหว
แสวงหาสัจจะบำเพ็ญทุกรกิริยา
ปัญจวัคคีย์หลีก สิ่งที่ตรัสรู้
ตรัสรู้ แสดงเทศนาปัญจวัคคีย์
ปลงสังขาร ปรินิพพาน
ลำดับขั้นการปรินิพพาน
เทวดาแสดงฤทธิ์ขณะถวายเพลิง
แบ่งพระสรีระออกเป็น ๘ ส่วน
 
รวมพระสูตรบุคคลสำคัญ
พระโมคคัลลานะ
พระสารีบุตร
พระเทวทัต
นิครนถ์ปริพาชก
พระมหากัปปินะ
พระอนุรุทธะ
พระอุบาลี
(ดูทั้งหมด)
 
สารบาญพระไตรปิฎก
เล่มที่ ๘-๓๓ (๒๕ เล่ม) ทุกพระสูตร
1. ฉบับหลวง
2. ฉบับมหาจุฬาฯ
3. อรรถกถาไทย
4. ฉบับภาษาบาลี
5. อรรถกถา-บาลี
6. Pali Roman (Roman Script)
7. Atthakatha PaliRoman
 

 


 


พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๔ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๓๑๑-๓๑๓

กรรมสูตรที่ ๓

            [๑๙๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราไม่รู้แล้ว ย่อมไม่กล่าวความสิ้นสุดแห่งกรรม ที่สัตว์ตั้งใจกระทำสั่งสมขึ้น ก็วิบากนั้นแล อันสัตว์ผู้ทำพึงได้เสวยในปัจจุบัน ในอัตภาพ ถัดไป หรือในอัตภาพต่อๆ ไป ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราไม่รู้แล้ว ย่อมไม่กล่าวการทำที่สุด ทุกข์ แห่งกรรมที่สัตว์ตั้งใจกระทำสั่งสมขึ้น

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกนั้นนั่นแล เป็นผู้ปราศจากอภิชฌา (ความโลภ) ปราศจากพยาบาท ไม่ลุ่มหลง มีสัมปชัญญะ มีสติเฉพาะหน้า มีใจประกอบด้วยเมตตา แผ่ไปตลอดทิศหนึ่งอยู่ ทิศที่สอง ทิศที่สาม ทิศที่สี่ก็เหมือนกัน โดยนัยนี้ ทั้งทิศเบื้องบน เบื้องล่าง เบื้องขวาง แผ่ไปตลอดโลก ทั่วสัตว์ทุกเหล่าในที่ทุกสถานด้วยใจประกอบ
ด้วย เมตตาอันไพบูลย์ เป็นมหรคต หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนอยู่ อริยสาวกนั้น ย่อมรู้อย่างนี้ว่า ในกาลก่อนแล จิตของเรานี้เป็นจิตเล็กน้อย (มีพลังน้อย อบรมน้อย) เป็นจิตไม่ได้อบรมแล้ว แต่บัดนี้จิตของเรานี้เป็นจิตหาประมาณมิได้ เป็นจิตอบรมดีแล้ว (มีพลังมาก) ก็กรรมที่ทำแล้วพอประมาณอย่างใดอย่างหนึ่งนั้น ย่อมไม่เหลืออยู่ ไม่ตั้งอยู่ในจิตของเรานั้น

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน คือหากในเวลา ยังเป็นเด็ก เด็กนี้พึงเจริญ เมตตาเจโตวิมุติ ไซร้ พึงทำบาปกรรมบ้างหรือ ภิกษุทั้งหลาย กราบทูลว่า ไม่ใช่เช่นนั้น พระเจ้าข้า

            พ. ก็ทุกข์จะพึงถูกต้องบุคคลผู้ไม่ทำบาปกรรมและหรือ
            ภิ. ไม่ใช่เช่นนั้น พระเจ้าข้า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ด้วยว่าทุกข์จักถูกต้องบุคคล ผู้ไม่ทำบาปกรรมได้แต่ที่ไหน

            พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เมตตาเจโตวิมุตินี้ อันสตรีหรือบุรุษ พึงเจริญแล

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายนี้มิได้มีส่วนอันสตรี หรือบุรุษจะพึงพาเอาไปได้

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัตว์ผู้มีอันจะต้องตายเป็นสภาพนี้ เป็นผู้มีจิตเป็นเหตุ สัตว์นั้น ย่อมรู้อย่างนี้ว่าบาปกรรมไรๆของเรา อัน กรัชกาย (ร่างกาย) นี้ ทำแล้วในกาล ก่อน บาปกรรมนั้นทั้งหมด เป็นกรรมอันเราพึงเสวยในอัตภาพนี้ จักไม่ติดตามไป ดังนี้

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมตตาเจโตวิมุติ อันภิกษุผู้มีปัญญา ผู้ยังไม่แทงตลอดวิมุติ อันยิ่ง ในธรรมวินัยนี้อบรมแล้ว ด้วยประการอย่างนี้แล ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็น พระอนาคามี

            พระอริยสาวก มีจิตประกอบด้วยกรุณา มุทิตา อุเบกขา แผ่ไปตลอดทิศหนึ่งอยู่ ทิศที่สอง ทิศที่สาม ทิศที่สี่ก็เหมือนกันโดยนัยนี้ ทั้งทิศเบื้องบนเบื้องล่าง เบื้องขวาง แผ่ไปตลอดโลก ทั่วสัตว์ทุกเหล่าในที่ทุกสถาน ด้วยจิตอันประกอบด้วย อุเบกขา อันไพบูลย์ เป็นมหรคต หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนอยู่ อริยสาวกนั้น ย่อมรู้อย่างนี้ว่า ในกาลก่อนแล จิตของเรานี้เป็นจิตเล็กน้อย เป็นจิตไม่ได้อบรมแล้ว แต่บัดนี้ จิตของเรานี้ เป็นจิตหาประมาณมิได้ เป็นจิตอบรมดีแล้ว ก็กรรมที่ทำแล้ว พอประมาณ อย่างใดอย่างหนึ่งนั้น ย่อมไม่เหลืออยู่ไม่ตั้งอยู่ในจิตของเรานั้น

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน คือ หากว่า ในเวลายังเป็นเด็ก เด็กนี้พึงเจริญ อุเบกขาเจโตวิมุติไซร้ พึงกระทำบาปกรรมบ้างหรือ

            ภิ. ไม่ใช่เช่นนั้น พระเจ้าข้า

            พ. ก็ทุกข์จะพึงถูกต้องบุคคลผู้ไม่ทำบาปกรรมและหรือ

            ภิ. ไม่ใช่เช่นนั้น พระเจ้าข้า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ด้วยว่าทุกข์จักถูกต้องบุคคล ผู้ไม่ทำบาปกรรมได้แต่ที่ไหน

            พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อุเบกขาเจโตวิมุตินี้ อันสตรีหรือบุรุษพึงเจริญแล             ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายนี้มิได้มีส่วนอันสตรี หรือบุรุษจะพึงพาเอาไปได้             ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัตว์ผู้มีอันจะต้องตายเป็นสภาพนี้ เป็นผู้มีจิตเป็นเหตุ สัตว์นั้นย่อมรู้อย่างนี้ว่า บาปกรรมไรๆ ของเรา อันกรัชกายนี้ทำแล้วในกาลก่อน บาปกรรมนั้นทั้งหมด อันเราจะพึงเสวยในอัตภาพนี้ จักไม่ติดตามไปดังนี้

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย อุเบกขาเจโตวิมุติ อันภิกษุผู้มีปัญญา ผู้ยังไม่แทงตลอด วิมุตติอันยิ่ง ในธรรมวินัยนี้เจริญแล้ว ด้วยประการอย่างนี้แล ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็น พระอนาคามี





 





หนังสือพุทธวจน ธรรมะของพระศาสดา
90 90 90 90
พุทธประวัติ ขุมทรัพย์ อริยสัจ
ภาคต้น
อริยสัจ
ภาคปลาย
ปฏิจจ ปฐมธรรม ตถาคต อนาคามี อินทรีย์
สังวร
สัตว์
สัตตานัง
ทาน
สกทาคามี
ฆราวาส
ชั้นเลิศ
มรรควิธี
ที่ง่าย
อริยวินัย เดรัจฉานวิชา กรรม สมถะ
วิปัสสนา
โสดาบัน นา
ปานสติ
จิต มโน
วิญญาณ
ก้าวย่าง
อย่างพุทธะ
ตามรอย
ธรรม
ภพ ภูมิ
พุทธวจน
สาธยาย
ธรรม
สังโยชน์