พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๒ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๒๖๙-๒๗๓
อลํสูตรที่ ๑
ว่าด้วยผู้สามารถทำประโยชน์ตนและผู้อื่น
[๑๕๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๖ ประการ เป็นผู้สามารถ ในอันปฏิบัติ เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ทั้งตน และผู้อื่น
ธรรม ๖ ประการเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้
๑
เป็นผู้มีความเข้าใจได้เร็วในกุศลธรรมทั้งหลาย
๒ เป็นผู้ทรงจำธรรมที่ได้ฟังแล้ว
๓ พิจารณาเนื้อความแห่งธรรมที่ทรงจำแล้ว
๔ รู้อรรถรู้ธรรมแล้วปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม
๕ เป็นผู้มีวาจางาม กล่าวถ้อยคำไพเราะ ประกอบด้วยวาจาของชาวเมืองอันสละสลวย ไม่มีโทษ ให้รู้ประโยชน์
๖ เป็นผู้ชี้แจงสพรหมจารีให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญร่าเริง
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๖ ประการนี้แลเป็นผู้สามารถ ในอันปฏิบัติเพื่อประโยชน์เกื้อกูล แก่ทั้งตนเองและผู้อื่น
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๒ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๒๖๙-๒๗๓
อลํสูตรที่ ๒
[๑๕๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ เป็นผู้สามารถ ในอันปฏิบัติ เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ทั้งตนและผู้อื่น
ธรรม ๕ ประการเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้
๑ เป็นผู้ไม่มีความเข้าใจได้เร็วในอกุศลธรรมทั้งหลาย แต่เป็นผู้ทรงจำธรรมที่ได้ฟังแล้ว ๒ พิจารณาเนื้อความแห่งธรรมที่ทรงจำแล้ว
๓
รู้อรรถรู้ธรรมแล้ว ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม
๔
เป็นผู้มีวาจางาม กล่าวถ้อยคำไพเราะ ประกอบด้วยวาจาของชาวเมือง อันสละสลวย ไม่มีโทษ ให้รู้ประโยชน์
๕
เป็นผู้ชี้แจงสพรหมจารีให้เห็นแจ้ง ให้สมาทานให้อาจหาญร่าเริง
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๕ ประการนี้แลเป็นผู้สามารถ ในอันปฏิบัติเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ทั้งตนเอง และผู้อื่น
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๒ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๒๖๙-๒๗๓
อลํสูตรที่ ๓
[๑๕๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการ เป็นผู้สามารถ ในอันปฏิบัติ เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ตน แต่ไม่สามารถในอันปฏิบัติเพื่อ ประโยชน์ เกื้อกูลแก่ผู้อื่น
ธรรม ๔ ประการเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้
๑
เป็นผู้มีความเข้าใจได้เร็วในอกุศลธรรมทั้งหลาย
๒
เป็นผู้ทรงจำธรรมที่ฟังแล้ว
๓
พิจารณาเนื้อความแห่งธรรมที่ได้ทรงจำแล้ว
๔
รู้อรรถรู้ธรรมแล้วปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม หาเป็นผู้มีวาจางาม กล่าวถ้อยคำไพเราะ ประกอบด้วยวาจาของชาวเมืองอันสละสลวย ไม่มีโทษ ให้รู้ประโยชน์ไม่หาชี้แจง สพรหมจารีให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญร่าเริงไม่
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการนี้แล เป็นผู้สามารถ ในอันปฏิบัติ เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ตน แต่ไม่เป็นผู้สามารถในอันปฏิบัติ เพื่อประโยชน์ เกื้อกูลแก่ผู้อื่น
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๒ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๒๖๙-๒๗๓
อลํสูตรที่ ๔
[๑๕๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการ เป็นผู้สามารถ ในอันปฏิบัติ เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ผู้อื่น แต่ไม่เป็นผู้สามารถในอันปฏิบัติ เพื่อประโยชน์ เกื้อกูลแก่ตน
ธรรม ๔ ประการเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้
๑ เป็นผู้มีความเข้าใจได้เร็วในกุศลธรรม ทั้งหลาย
๒ เป็นผู้ทรงจำธรรมที่ได้ฟังแล้ว แต่ไม่พิจารณาเนื้อความแห่งธรรมที่ได้ฟังแล้ว และ หารู้อรรถรู้ธรรมแล้ว ปฏิบัติธรรม สมควร แก่ธรรมไม่
๓
เป็นผู้มีวาจางาม กล่าวถ้อยคำไพเราะ ประกอบด้วยวาจาของ ชาวเมือง อันสละสลวย ไม่มีโทษ ให้รู้ประโยชน์
๔ เป็นผู้ชี้แจงสพรหมจารีให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญร่าเริง
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการนี้แล เป็นผู้สามารถ ในอันปฏิบัติ เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ผู้อื่น แต่ไม่เป็นผู้สามารถในอันปฏิบัติ เพื่อประโยชน์ เกื้อกูลแก่ตน
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๒ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๒๖๙-๒๗๓
อลํสูตรที่ ๕
[๑๕๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๓ ประการ เป็นผู้สามารถ ในอันปฏิบัติ เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ตน แต่ไม่เป็นผู้สามารถในอันปฏิบัติ เพื่อประโยชน์ เกื้อกูลแก่ผู้อื่น
ธรรม ๓ ประการเป็นไฉน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้
๑ ไม่เป็นผู้มีความเข้าใจได้เร็วในกุศลธรรมทั้งหลาย แต่เป็นผู้ทรงจำธรรมที่ได้ฟังแล้ว
๒ พิจารณาเนื้อความแห่งธรรมที่ทรงจำแล้ว
๓ รู้อรรถรู้ธรรม แล้วปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม หาเป็นผู้มีวาจางาม กล่าวถ้อยคำ ไพเราะ ประกอบด้วยวาจา ของชาวเมืองอันสละสลวย ไม่มีโทษ ให้รู้ประโยชน์ไม่ และหาชี้แจงสพรหมจารีให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ร่าเริงไม่
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๓ ประการนี้แล เป็นผู้สามารถ ในอันปฏิบัติ เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ตน แต่ไม่เป็นผู้สามารถในอันปฏิบัติเพื่อ ประโยชน์ เกื้อกูลแก่ผู้อื่น
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๒ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๒๖๙-๒๗๓
อลํสูตรที่ ๖
[๑๕๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๓ ประการ เป็นผู้สามารถ ในอันปฏิบัติ เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ผู้อื่น แต่ไม่เป็นผู้สามารถในอันปฏิบัติ เพื่อ ประโยชน์ เกื้อกูลแก่ตน
ธรรม ๓ ประการเป็นไฉน
ดูกรภิกษุทั้งหลายภิกษุในธรรมวินัยนี้
๑
ไม่เป็นผู้มีความเข้าใจได้เร็วในกุศลธรรม ทั้งหลาย แต่เป็นผู้ทรงจำธรรมที่ได้ฟังแล้ว
๒ ไม่พิจารณาเนื้อความแห่งธรรมที่ได้ทรงจำแล้ว หารู้อรรถรู้ธรรม แล้วปฏิบัติธรรม สมควรแก่ธรรมไม่ เป็นผู้มีวาจางาม กล่าวถ้อยคำไพเราะ ประกอบด้วยวาจาของ ชาวเมือง อันสละสลวย ไม่มีโทษ ให้รู้ประโยชน์
๓ ชี้แจงสพรหมจารีให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญร่าเริง
ดูกรภิกษุทั้งหลายภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๓ ประการนี้แล เป็นผู้สามารถ ในอัน ปฏิบัติเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ผู้อื่น แต่ไม่เป็นผู้สามารถในอันปฏิบัติเพื่อ ประโยชน์เกื้อกูลแก่ตน
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๒ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๒๖๙-๒๗๓
อลํสูตรที่ ๗
[๑๕๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๒ ประการ เป็นผู้สามารถ ในอันปฏิบัติ เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ตน แต่ไม่เป็นผู้สามารถในอันปฏิบัติ เพื่อประโยชน์ เกื้อกูลแก่ผู้อื่น
ธรรม ๒ ประการเป็นไฉน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้
๑
ไม่เป็นผู้มีความเข้าใจได้เร็ว ในกุศลธรรมทั้งหลาย ไม่เป็นผู้ทรงจำธรรมที่ได้ฟังแล้ว แต่พิจารณาเนื้อความแห่งธรรม ที่ได้ทรงจำแล้ว
๒
รู้อรรถรู้ธรรมแล้ว ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม หาเป็นผู้มีวาจางาม กล่าวถ้อยคำ ไพเราะ ประกอบด้วยวาจาของชาวเมืองอันสละสลวย ไม่มีโทษ ให้รู้ประโยชน์ไม่ ไม่ชี้แจงสพรหมจารีให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ร่าเริง
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๒ ประการนี้แล เป็นผู้สามารถ ในอันปฏิบัติ เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ตน แต่ไม่สามารถในอันปฏิบัติ เพื่อประโยชน์ เกื้อกูลแก่ผู้อื่น
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๒ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๒๖๙-๒๗๓
อลํสูตรที่ ๘
[๑๕๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๒ ประการ เป็นผู้ สามารถในอันปฏิบัติ เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ผู้อื่น แต่ไม่เป็นผู้สามารถในอันปฏิบัติ เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ตน
ธรรม ๒ ประการเป็นไฉน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้
๑
ไม่เป็นผู้มีความเข้าใจได้เร็วในกุศลธรรมทั้งหลาย ไม่ทรงจำธรรมที่ได้ฟังแล้ว ไม่พิจารณาเนื้อความแห่งธรรมที่ได้ทรงจำแล้ว หารู้อรรถรู้ธรรมแล้ว ปฏิบัติธรรมสมควร แก่ธรรมไม่ แต่เป็นผู้มีวาจางาม กล่าวถ้อยคำไพเราะ ประกอบด้วยวาจาของชาวเมือง อันสละสลวย ไม่มีโทษ ให้รู้ประโยชน์
๒
ชี้แจงสพรหมจารีให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญร่าเริง
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๒ ประการนี้แล เป็นผู้สามารถ ในอันปฏิบัติ เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ผู้อื่น แต่ไม่เป็นผู้สามารถในอันปฏิบัติ เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ตน |