เว็บไซต์ อนาคามี เผยแพร่คำพระศาสดา เผยแพร่คำสอนตถาคต เว็บไซต์เผยแพร่พระสุตรคำสอนของพระพุทธเจ้า คลิปคำสอน คลิปสาธยายธรรม
ค้นหาคำที่ต้องการ            

สติสูตร ไม่มีสมาธิไม่อาจได้ยินเสียงทิพย์..สักขิสูตร ภิกษุไม่ถึงคุณวิเศษ...พลสูตร กำลังในสมาธิ...ฌานสูตร 2262
 

พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๒

สติสูตร (สมาธิสูตร)

ภิกษุไม่มีสมาธิอันสงบ ไม่มีสมาธิอันประณีต ข้อนี้ย่อมไม่เป็นฐานะที่จะมีได้
๑ จักฟังเสียงสองชนิด คือ เสียงทิพและเสียงมนุษย์ ข้อนี้ย่อมไม่เป็นฐานะที่จะมีได้
๒ จักกำหนดรู้ใจของสัตว์อื่น ของบุคคลอื่นด้วยใจว่าจิตมีราคะ ข้อนี้ย่อมไม่เป็นฐานะที่จะมีได้
๓ จักระลึกชาติก่อนได้เป็นอันมาก ข้อนี้ย่อมไม่เป็นฐานะที่จะมีได้
๔ จักเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติกำลังอุบัติ ข้อนี้ย่อมไม่เป็นฐานะที่จะมีได้
๕ จักกระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ ข้อนี้ย่อมไม่เป็นฐานะที่จะมีได้

สักขิสูตร ความเป็นผู้เหมาะสมที่จะประจักษ์ชัด
ผู้ประกอบด้วยธรรม ๖ ประการ ย่อมไม่เป็นผู้ควรถึงคุณวิเศษ เพราะ ไม่ทราบชัดว่าธรรมเหล่านี้
- เป็นไปในส่วนแห่งความเสื่อม
- เป็นไปในส่วนแห่งความดำรงอยู่
- เป็นไปในส่วนแห่งคุณวิเศษ
- เป็นไปในส่วนแห่งการชำแรกกิเลส
- เป็นผู้ไม่กระทำความเอื้อเฟื้อ
- ไม่กระทำความสบาย

พลสูตร ความมีกำลังในสมาธิ
ผู้ไม่ควรบรรลุความมีกำลังในสมาธิ
- เป็นผู้ไม่ฉลาดในการเข้าสมาธิ
- เป็นผู้ไม่ฉลาดในการตั้งอยู่แห่งสมาธิ
- เป็นผู้ไม่ฉลาดในการออกแห่งสมาธิ
- เป็นผู้ไม่กระทำความเอื้อเฟื้อ
- ไม่กระทำติดต่อ
- ไม่กระทำความสบาย

ฌานสูตรที่ ๑ การบรรลุปฐมฌาน สูตร ๑
ภิกษุไม่ละ ธรรม ๖ ประการ ย่อมุไม่ควรบรรลุปฐมฌาน
๑ กามฉันทะ ๒ พยาบาท ๓ ถีนมิทธะ ๔ อุทธัจจกุกกุจจะ ๕ วิจิกิจฉา
๖ ไม่เห็นโทษในกามทั้งหลาย

ฌานสูตรที่ ๒ การบรรลุปฐมฌาน สูตร ๒
ภิกษุ ไม่ละธรรม ๖ ประการ ย่อมเป็นผู้ไม่ควรเพื่อบรรลุปฐมฌาน
๑ กามวิตก (คิดเรื่องกาม)
๒ พยาบาทวิตก (คิดพยาบาท)
๓ วิหิงสาวิตก (คิดเบียดเบียน)
๔ กามสัญญา (จำได้หมายรู้ในรสอร่อยของกาม)
๕ พยาบาทสัญญา (จำได้หมายรู้ ติดใจ ในพยาบาท)
๖ วิหิงสาสัญญา (จำได้หมายรู้ ติดใจ ในการเบียดเบียน)

เรื่องสำคัญของพระพุทธเจ้า
การบำเพ็ญบารมีในอดีตชาติ
การประสูติ แสงสว่าง แผ่นดินไหว
แสวงหาสัจจะบำเพ็ญทุกรกิริยา
ปัญจวัคคีย์หลีก สิ่งที่ตรัสรู้
ตรัสรู้ แสดงเทศนาปัญจวัคคีย์
ปลงสังขาร ปรินิพพาน
ลำดับขั้นการปรินิพพาน
เทวดาแสดงฤทธิ์ขณะถวายเพลิง
แบ่งพระสรีระออกเป็น ๘ ส่วน
 
รวมพระสูตรบุคคลสำคัญ
พระโมคคัลลานะ
พระสารีบุตร
พระเทวทัต
นิครนถ์ปริพาชก
พระมหากัปปินะ
พระอนุรุทธะ
พระอุบาลี
(ดูทั้งหมด)
 
สารบาญพระไตรปิฎก
เล่มที่ ๘-๓๓ (๒๕ เล่ม) ทุกพระสูตร
1. ฉบับหลวง
2. ฉบับมหาจุฬาฯ
3. อรรถกถาไทย
4. ฉบับภาษาบาลี
5. อรรถกถา-บาลี
6. Pali Roman (Roman Script)
7. Atthakatha PaliRoman
 

 


 


พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๒ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๔๓๓-๔๓๔

สติสูตร (สมาธิสูตร)
ว่าด้วยสมาธิ

            [๓๔๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย

             ภิกษุไม่มีสมาธิอันสงบ
ไม่มีสมาธิอันประณีต ไม่มีสมาธิที่ได้ด้วยความสงบ ไม่มีสมาธิที่ถึงความเป็นผู้มีอารมณ์เป็นหนึ่ง จักแสดง ฤทธิ์ได้หลายๆ อย่าง คือ คนเดียว เป็นหลายคนก็ได้ หลายคนเป็นคนเดียวก็ได้ ฯลฯ ใช้อำนาจทางกายไปตลอดพรหมโลก ก็ได้ ข้อนี้ย่อมไม่เป็นฐานะที่จะมีได้

            เธอจักฟังเสียงสองชนิด คือ เสียงทิพและเสียงมนุษย์ ทั้งที่อยู่ไกลและใกล้ ด้วยทิพโสต อันบริสุทธิ์ล่วงโสตของมนุษย์ ข้อนี้ย่อมไม่เป็นฐานะที่จะมีได้

            จักกำหนดรู้ใจของสัตว์อื่น ของบุคคลอื่นด้วยใจว่าจิตมีราคะจักรู้ว่าจิตมีราคะ ฯลฯ หรือจิตยังไม่หลุดพ้นจักรู้ว่า จิตยังไม่หลุดพ้น ข้อนี้ย่อมไม่เป็นฐานะที่จะมีได้

            จักระลึกชาติก่อนได้เป็นอันมาก คือ ระลึกได้ชาติหนึ่งบ้างสองชาติบ้าง ฯลฯ จักระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมาก พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศด้วยประการ ฉะนี้ ข้อนี้ย่อมไม่เป็นฐานะที่จะมีได้

            จักเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติกำลังอุบัติ ฯลฯ ด้วย ทิพจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุ ของมนุษย์ จักรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรม ข้อนี้ย่อมไม่เป็นฐานะที่จะมีได้

            จักกระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะ ทั้งหลาย สิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ ข้อนี้ย่อมไม่เป็นฐานะ ที่จะมีได้
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย
            ภิกษุมีสมาธิอันสงบ มีสมาธิอันประณีต มีสมาธิที่ได้ด้วย ความ สงบ มีสมาธิ ที่ถึงความเป็นผู้มีอารมณ์เป็นหนึ่ง จักแสดงฤทธิ์ได้หลายๆ อย่าง คือ คนเดียวเป็น หลายคน ก็ได้ หลายคนเป็นคนเดียวก็ได้ ฯลฯจักใช้อำนาจทางกายไปตลอด พรหมโลก ก็ได้ ข้อนี้ย่อมเป็นฐานะที่จะมีได้

            จักฟังเสียงสองชนิด คือ เสียงทิพและเสียงมนุษย์ ทั้งที่อยู่ไกลและใกล้ ด้วย ทิพโสตอันบริสุทธิ์ล่วงโสตของมนุษย์ ข้อนี้ย่อมเป็นฐานะที่จะมีได้

            จักกำหนดรู้ใจของสัตว์อื่นของบุคคลอื่น ด้วยใจว่า จิตมีราคะก็จักรู้ว่า จิต มีราคะ ฯลฯ หรือจิตยังไม่หลุดพ้นก็จักรู้ว่า จิตยังไม่หลุดพ้น ข้อนี้ย่อมเป็นฐานะ ที่จะมีได้

            จักระลึกชาติก่อนได้เป็นอันมาก คือระลึกได้ชาติหนึ่งบ้าง สองชาติบ้าง ฯลฯ จักระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมาก พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ ด้วยประการ ฉะนี้ ข้อนี้ย่อมเป็นฐานะที่จะมีได้

            จักเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลังอุบัติ ฯลฯ จักรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตาม กรรม ข้อนี้ย่อมเป็นฐานะที่จะมีได้

            จักกระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะ ทั้งหลาย สิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ ข้อนี้ย่อมเป็นฐานะที่จะมีได้


---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๒ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๔๓๔-๔๓๕

สักขิสูตร
ความเป็นผู้เหมาะสมที่จะประจักษ์ชัด

            [๓๔๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๖ ประการ ย่อมไม่เป็นผู้ควร เพื่อถึงความเป็นผู้ควรเป็นพยานในคุณวิเศษนั้นๆ ในเมื่อเหตุมีอยู่ ธรรม ๖ ประการเป็นไฉน คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้
ย่อมไม่ทราบชัดตามเป็นจริงว่าธรรมเหล่านี้เป็นไปในส่วนแห่งความเสื่อม ๑
ย่อมไม่ทราบชัดตามเป็นจริงว่าธรรมเหล่านี้เป็นไปในส่วนแห่งความดำรงอยู่ ๑
ย่อมไม่ทราบชัดตามเป็นจริงว่าธรรมเหล่านี้เป็นไปในส่วนแห่งคุณวิเศษ ๑
ย่อมไม่ทราบชัดตามเป็นจริงว่า ธรรมเหล่านี้เป็นไปในส่วนแห่งการชำแรกกิเลส ๑
เป็นผู้ไม่กระทำความเอื้อเฟื้อ ๑
ไม่กระทำความสบาย ๑

             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๖ ประการนี้แล ย่อมเป็นผู้ไม่ควร เพื่อถึงความเป็นผู้ควรเป็นพยานในคุณวิเศษนั้นๆ ในเมื่อเหตุมีอยู่

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๖ ประการ ย่อมเป็นผู้ควร เพื่อถึง ความเป็นผู้ควรเป็นพยานในคุณวิเศษนั้นๆ ในเมื่อเหตุมีอยู่ ธรรม ๖ประการเป็นไฉน คือ
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมทราบชัดตามเป็นจริงว่า ธรรมเหล่านี้เป็นไปในส่วนแห่ง ความเสื่อม ๑
ย่อมทราบชัดตามเป็นจริงว่า ธรรมเหล่านี้เป็นไปในส่วนแห่งความดำรงอยู่ ๑
ย่อมทราบชัดตามเป็นจริงว่า ธรรมเหล่านี้เป็นไปในส่วนแห่งคุณวิเศษ ๑
ย่อมทราบชัดตามเป็นจริงว่า ธรรมเหล่านี้เป็นไปในส่วนแห่งการชำแรกกิเลส ๑
เป็นผู้กระทำความเอื้อเฟื้อ ๑ เป็นผู้กระทำความสบาย ๑

             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๖ ประการนี้แล ย่อมเป็นผู้ควรเพื่อถึงความเป็นผู้ควรเป็นพยานในคุณวิเศษนั้นๆ ในเมื่อเหตุมีอยู่


---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๒ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๔๓๕-๔๓๖

พลสูตร
ความมีกำลังในสมาธิ

            [๓๔๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๖ ประการ
ย่อมเป็น ผู้ไม่ควรเพื่อบรรลุพลภาพ(ความมีกำลัง)ในสมาธิ
ธรรม ๖ ประการเป็นไฉน คือ
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ไม่ฉลาดในการเข้าสมาธิ ๑
เป็นผู้ไม่ฉลาดในการตั้งอยู่แห่งสมาธิ ๑
เป็นผู้ไม่ฉลาดในการออกแห่งสมาธิ ๑
เป็นผู้ไม่กระทำความเอื้อเฟื้อ ๑
ไม่กระทำติดต่อ ๑
ไม่กระทำความสบาย ๑

             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๖ ประการนี้แล ย่อมเป็นผู้ไม่ควร เพื่อ บรรลุพลภาพในสมาธิ

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๖ ประการ
ย่อมเป็น ผู้ควรเพื่อบรรลุพลภาพในสมาธิ ธรรม ๖ ประการเป็นไฉน คือ
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ย่อมเป็นผู้ฉลาดในการเข้าสมาธิ ๑
เป็นผู้ฉลาดในการตั้งอยู่แห่งสมาธิ ๑
เป็นผู้ฉลาดในการออกแห่งสมาธิ ๑
เป็นผู้กระทำความเอื้อเฟื้อ ๑
เป็นผู้กระทำติดต่อ ๑
เป็นผู้กระทำความสบาย ๑
             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๖ ประการนี้แล ย่อมเป็นผู้ควรเพื่อ บรรลุ พลภาพในสมาธิ


---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๒ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๔๓๖

ฌานสูตรที่ ๑
การบรรลุปฐมฌานสูตร๑

            [๓๔๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่ละธรรม ๖ ประการ ย่อมเป็นผู้ไม่ควรเพื่อบรรลุปฐมฌาน ธรรม ๖ ประการเป็นไฉน คือ
กามฉันทะ ๑
พยาบาท ๑
ถีนมิทธะ ๑
อุทธัจจกุกกุจจะ ๑
วิจิกิจฉา ๑
เธอย่อมไม่เห็นโทษในกามทั้งหลาย ด้วยปัญญาโดยชอบ ตามความเป็นจริง ๑

             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่ละธรรม ๖ประการนี้แล ย่อมเป็นผู้ไม่ควรเพื่อบรรลุ ปฐมฌาน

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุ ละธรรม ๖ ประการ ย่อมเป็นผู้ควรเพื่อบรรลุปฐมฌาน ธรรม ๖ ประการเป็นไฉน คือ
กามฉันทะ ๑
พยาบาท ๑
ถีนมิทธะ ๑
อุทธัจจกุกกุจจะ ๑
วิจิกิจฉา ๑
เธอย่อมเห็นโทษในกามทั้งหลายด้วยปัญญาโดยชอบ ตามความเป็นจริง ๑

             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุละธรรม ๖ ประการนี้แลย่อมเป็นผู้ควรเพื่อ บรรลุ ปฐมฌาน


---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๒ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๔๓๖-๔๓๗

ฌานสูตรที่ ๒
การบรรลุปฐมฌานสูตร๒

            [๓๔๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุ ไม่ละธรรม ๖ ประการ
ย่อมเป็นผู้ไม่ควรเพื่อบรรลุปฐมฌาน ธรรม ๖ ประการเป็นไฉน คือ
กามวิตก ๑
พยาบาทวิตก ๑
วิหิงสาวิตก ๑
กามสัญญา ๑
พยาบาทสัญญา ๑
วิหิงสาสัญญา ๑

             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่ละธรรม ๖ ประการนี้แล ย่อมเป็นผู้ไม่ควรเพื่อบรรลุ ปฐมฌาน

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุ ละธรรม ๖ ประการ
ย่อมเป็นผู้ควรเพื่อบรรลุปฐมฌาน
ธรรม ๖ ประการเป็นไฉน คือ
กามวิตก ๑
พยาบาทวิตก ๑
วิหิงสาวิตก ๑
กามสัญญา ๑
พยาบาทสัญญา ๑
วิหิงสาสัญญา ๑

             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุละธรรม ๖ ประการนี้แล ย่อมเป็นผู้ควรเพื่อ บรรลุปฐมฌาน



 





หนังสือพุทธวจน ธรรมะของพระศาสดา
90 90 90 90
พุทธประวัติ ขุมทรัพย์ อริยสัจ
ภาคต้น
อริยสัจ
ภาคปลาย
ปฏิจจ ปฐมธรรม ตถาคต อนาคามี อินทรีย์
สังวร
สัตว์
สัตตานัง
ทาน
สกทาคามี
ฆราวาส
ชั้นเลิศ
มรรควิธี
ที่ง่าย
อริยวินัย เดรัจฉานวิชา กรรม สมถะ
วิปัสสนา
โสดาบัน นา
ปานสติ
จิต มโน
วิญญาณ
ก้าวย่าง
อย่างพุทธะ
ตามรอย
ธรรม
ภพ ภูมิ
พุทธวจน
สาธยาย
ธรรม
สังโยชน์