พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๒ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๔๒๔-๔๒๘
๑๐. พลสูตร
กำลังของตถาคต ๖ ประการ ตรัสกับภิกษุทั้งหลาย
(กำลังของตถาคต ๑๐ ประการ ตรัสกับพระสารีบุตร P713 )
[๓๓๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย กำลังของตถาคต ๖ ประการนี้ ที่พระตถาคต ประกอบแล้ว เป็นเหตุให้ปฏิญาณฐานะของผู้เป็นโจก บันลือสีหนาทในบริษัท ประกาศ พรหมจักร
กำลัง ๖ ประการเป็นไฉน คือ (๑) ตถาคตย่อมทราบชัดตามเป็นจริง ซึ่งฐานะ โดยความเป็นฐานะ และเหตุที่มิใช่ฐานะ โดยความเป็นเหตุมิใช่ฐานะในโลกนี้ แม้การที่ ตถาคตย่อมทราบชัดตามเป็นจริง ซึ่งฐานะโดยความเป็นฐานะ และเหตุที่มิใช่ฐานะโดย ความเป็นเหตุมิใช่ฐานะ นี้ย่อมเป็นกำลังของตถาคต ซึ่งตถาคตได้อาศัยปฏิญาณ ฐานะของผู้เป็นโจก บันลือสีหนาทในบริษัทประกาศพรหมจักร
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง (๒) ตถาคตย่อมทราบชัดตามเป็นจริง ซึ่งวิบากแห่งกรรมสมาทานที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน โดยปัจจัย โดยเหตุ แม้การ ที่ตถาคตย่อมทราบชัดตามเป็นจริง ซึ่งวิบากแห่งกรรมสมาทานที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน โดยปัจจัย โดยเหตุ นี้ย่อมเป็นกำลังของตถาคตซึ่งตถาคตได้อาศัย ปฏิญาณฐานะของผู้เป็นโจก บันลือสีหนาทในบริษัท ประกาศพรหมจักร
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง (๓) ตถาคตย่อมทราบชัดตามเป็นจริง ซึ่งความเศร้าหมอง ความผ่องแผ้ว ความออกแห่งฌาน วิโมกข์ สมาธิ และสมาบัติ แม้การที่ตถาคตย่อมทราบชัดตามเป็นจริง ซึ่งความเศร้าหมอง ความผ่องแผ้ว ความออกแห่งฌาน วิโมกข์ สมาธิ และสมาบัติ นี้ย่อมเป็นกำลังของตถาคต ซึ่งตถาคตได้อาศัยปฏิญาณฐานะของผู้เป็นโจก บันลือสีหนาทในบริษัท ประกาศพรหมจักร
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง (๔) ตถาคตย่อมระลึกถึงชาติก่อน ได้ เป็นอันมาก คือ ระลึกได้ชาติหนึ่งบ้าง สองชาติบ้าง ฯลฯ ตถาคตย่อมระลึกถึงชาติ ก่อนได้ เป็นอันมาก พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ ด้วยประการฉะนี้ แม้การที่ตถาคต ย่อมระลึกชาติก่อนได้เป็นอันมาก คือ ระลึกได้ชาติหนึ่งบ้าง สองชาติบ้าง ฯลฯ ระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมาก พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศด้วยประการฉะนี้ นี้ย่อมเป็นกำลังของตถาคต ซึ่งตถาคตได้อาศัยปฏิญาณฐานะของผู้เป็นโจก บันลือสีหนาทในบริษัท ประกาศพรหมจักร
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง (๕) ตถาคตย่อมพิจารณาเห็นหมู่สัตว์ ที่กำลังจุติ กำลังอุบัติ ฯลฯ ด้วยทิพจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่ง หมู่สัตว์ ผู้เป็นไปตามกรรม ฯลฯ แม้การที่ตถาคต ย่อมพิจารณาเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลังอุบัติ ฯลฯ ด้วยทิพจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ ผู้เป็นไปตามกรรม ฯลฯ นี้ย่อมเป็นกำลังของตถาคต ซึ่งตถาคตได้อาศัยปฏิญาณฐานะ ของผู้เป็นโจก บันลือสีหนาทในบริษัท ประกาศพรหมจักร
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง (๖) ตถาคตย่อมทำให้แจ้ง ซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ แม้การที่ตถาคตย่อมทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติอันหา อาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบันเข้าถึงอยู่นี้ ย่อมเป็นกำลังของตถาคต ซึ่งตถาคตได้อาศัยปฏิญาณฐานะ ของผู้เป็นโจกบันลือ สีหนาทในบริษัท ประกาศพรหมจักร ดูกรภิกษุทั้งหลาย กำลังของตถาคต๖ ประการนี้แล ที่ตถาคตประกอบแล้วเป็นเหตุให้ปฏิญาณฐานะของผู้โจก บันลือสีหนาทในบริษัท ประกาศพรหมจักร
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในกำลังของตถาคต ๖ ประการเหล่านั้น หากว่าชนเหล่าอื่น ย่อมเข้ามาถามปัญหากับตถาคต ด้วยความรู้ตามเป็นจริง ซึ่งฐานะโดยความเป็นฐานะ และเหตุที่มิใช่ฐานะโดยความเป็นเหตุมิใช่ฐานะไซร้ ความรู้ตามเป็นจริง ซึ่งฐานะโดย ความเป็นฐานะ และเหตุที่มิใช่ฐานะโดยความเป็นเหตุมิใช่ฐานะ อันตถาคตทราบชัดด้วย ประการใดๆ ตถาคตถูกถามปัญหาแล้ว ย่อมพยากรณ์ด้วยความรู้ตามเป็นจริง ซึ่งฐานะ โดยความเป็นฐานะ และเหตุที่มิใช่ฐานะโดยความเป็นเหตุมิใช่ฐานะ แก่ชนเหล่านั้น ด้วยประการนั้นๆ
หากว่า ชนเหล่าอื่น ย่อมเข้ามาถามปัญหากับตถาคต ด้วยความรู้ตามเป็นจริง ซึ่งวิบากแห่งกรรมสมาทาน ที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน โดยปัจจัยโดยเหตุไซร้ ความรู้ตามความเป็นจริง ซึ่งวิบากแห่งกรรมสมาทาน ที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน อันตถาคตทราบชัด ด้วยประการใดๆ ตถาคตถูกถามปัญหาแล้วย่อมพยากรณ์ ด้วยความรู้ตามเป็นจริง ซึ่งวิบากแห่งกรรมสมาทาน ที่เป็นอดีตอนาคต และปัจจุบัน แก่ชนเหล่านั้น ด้วยประการนั้นๆ
หากว่า ชนเหล่าอื่นย่อมเข้ามาถามปัญหากับตถาคต ด้วยความรู้ตามเป็นจริง ซึ่งความเศร้าหมอง ความผ่องแผ้ว ความออกแห่งฌาน วิโมกข์ สมาธิและสมาบัติไซร้ ความรู้ตามเป็นจริงซึ่งความเศร้าหมอง ความผ่องแผ้ว ความออกแห่งฌาน วิโมกข์ สมาธิ และสมาบัติ อันตถาคตทราบชัดด้วยประการใดๆ ตถาคตถูกถามปัญหาแล้ว ย่อมพยากรณ์ด้วยความรู้ตามเป็นจริง ซึ่งความเศร้าหมองความผ่องแผ้ว ความออก แห่งฌาน วิโมกข์ สมาธิ และสมาบัติ แก่ชนเหล่านั้นด้วยประการนั้นๆ
หากว่า ชนเหล่าอื่นย่อมเข้ามาถามปัญหากับตถาคต ด้วยความรู้ตามเป็นจริง ซึ่งความระลึกชาติก่อนได้ไซร้ ความรู้ตามเป็นจริง ซึ่งความระลึกชาติก่อนได้อันตถาคต ทราบชัดด้วยประการใดๆ ตถาคตถูกถามปัญหาแล้ว ย่อมพยากรณ์ด้วยความรู้ ตามเป็นจริง ซึ่งความระลึกชาติก่อนได้ แก่ชนเหล่านั้น ด้วยประการนั้นๆ
หากว่า ชนเหล่าอื่นย่อมเข้ามาถามปัญหากับตถาคต ด้วยความรู้ตามเป็นจริง ซึ่งจุติและอุบัติของสัตว์ทั้งหลายไซร้ ความรู้ตามเป็นจริง ซึ่งจุติและอุบัติของสัตว์ ทั้งหลาย อันตถาคตทราบชัดด้วยประการใดๆ ตถาคตถูกถามปัญหาแล้ว ย่อมพยากรณ์ ด้วยความรู้ตามเป็นจริง ซึ่งจุติและอุบัติของสัตว์ทั้งหลาย แก่ชนเหล่านั้น ด้วยประการ นั้นๆ
หากว่า ชนเหล่าอื่นย่อมเข้ามาถามปัญหากับตถาคต ด้วยความรู้ตามเป็นจริง ซึ่งความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลายไซร้ ความรู้ตามเป็นจริง ซึ่งความสิ้นไปแห่งอาสวะ ทั้งหลาย อันตถาคตทราบชัดด้วยประการใดๆ ตถาคตถูกถามปัญหาแล้ว ย่อมพยากรณ์ ด้วยความรู้ตามเป็นจริง ซึ่งความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย แก่ชนเหล่านั้น ด้วยประการ นั้นๆ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมกล่าวแม้ซึ่งความรู้ตามเป็นจริงซึ่งฐานะ โดยความ เป็นฐานะ และเหตุที่มิใช่ฐานะ โดยความเป็นเหตุมิใช่ฐานะนั้นว่า เป็นของบุคคลผู้มีใจ ตั้งมั่น ย่อมไม่กล่าวว่า เป็นของบุคคลผู้มีใจไม่ตั้งมั่น
เราย่อมกล่าวแม้ความรู้ตามเป็นจริง ซึ่งวิบากแห่งกรรมสมาทาน ที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบันโดยปัจจัยโดยเหตุนั้นว่า เป็นของบุคคลผู้มีใจตั้งมั่น ย่อมไม่กล่าวว่า เป็นของบุคคลผู้มีใจไม่ตั้งมั่น
เราย่อมกล่าวแม้ความรู้ตามเป็นจริง ซึ่งความเศร้าหมองความผ่องแผ้ว ความออกแห่งฌาน วิโมกข์ สมาธิ และสมาบัตินั้นว่า เป็นของบุคคลผู้มีใจตั้งมั่น ย่อมไม่กล่าวว่า เป็นของบุคคลผู้มีใจไม่ตั้งมั่น
เราย่อมกล่าวแม้ความรู้ตามเป็นจริง ซึ่งความระลึกชาติก่อนได้นั้นว่า เป็นของ บุคคลผู้มีใจตั้งมั่นย่อมไม่กล่าวว่า เป็นของบุคคลผู้มีใจไม่ตั้งมั่น
เราย่อมกล่าวแม้ความรู้ตามเป็นจริงซึ่งจุติ และอุบัติของสัตว์ทั้งหลายนั้นว่า เป็นของบุคคลผู้มีใจตั้งมั่น ย่อมไม่กล่าวว่าเป็นของบุคคล ผู้มีใจไม่ตั้งมั่น เราย่อมกล่าว แม้ความรู้ตามเป็นจริงซึ่งความสิ้นไป แห่งอาสวะทั้งหลายนั้น ว่าเป็นของบุคคลผู้มีใจ ตั้งมั่น ย่อมไม่กล่าวว่าเป็นของบุคคลผู้มีใจไม่ตั้งมั่น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความตั้งใจมั่นเป็นทางถูก ความไม่ตั้งใจมั่นเป็นทางผิด ด้วยประการฉะนี้แล |