เว็บไซต์ อนาคามี เผยแพร่คำพระศาสดา เผยแพร่คำสอนตถาคต เว็บไซต์เผยแพร่พระสุตรคำสอนของพระพุทธเจ้า คลิปคำสอน คลิปสาธยายธรรม
ค้นหาคำที่ต้องการ            

อาปัตติภยวรรคที่ ๕ ภิกษุผู้ทำลายสงฆ์ ความกลัวต่ออาบัติ พรหมจรรย์มีสิกขาเป็นอานิสงส์ การนอน ๔ แบบ 2197
 

พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๑

อาปัตติภยวรรคที่ ๕
ภิกษุผู้ทำลายสงฆ์
ความกลัวต่ออาบัติ ๔ ประการ
พรหมจรรย์มีสิกขาเป็นอานิสงส์
การนอน ๔ แบบ
ถูปารหบุคคล ๔ (บุคคลผู้สมควรสร้างสถูป)
ธรรมที่เป็นไปเพื่อความเจริญแห่งปัญญา
โวหารของพระอริยะและไม่ใช่ของพระอริยะ

เรื่องสำคัญของพระพุทธเจ้า
การบำเพ็ญบารมีในอดีตชาติ
การประสูติ แสงสว่าง แผ่นดินไหว
แสวงหาสัจจะบำเพ็ญทุกรกิริยา
ปัญจวัคคีย์หลีก สิ่งที่ตรัสรู้
ตรัสรู้ แสดงเทศนาปัญจวัคคีย์
ปลงสังขาร ปรินิพพาน
ลำดับขั้นการปรินิพพาน
เทวดาแสดงฤทธิ์ขณะถวายเพลิง
แบ่งพระสรีระออกเป็น ๘ ส่วน
 
รวมพระสูตรบุคคลสำคัญ
พระโมคคัลลานะ
พระสารีบุตร
พระเทวทัต
นิครนถ์ปริพาชก
พระมหากัปปินะ
พระอนุรุทธะ
พระอุบาลี
(ดูทั้งหมด)
 
สารบาญพระไตรปิฎก
เล่มที่ ๘-๓๓ (๒๕ เล่ม) ทุกพระสูตร
1. ฉบับหลวง
2. ฉบับมหาจุฬาฯ
3. อรรถกถาไทย
4. ฉบับภาษาบาลี
5. อรรถกถา-บาลี
6. Pali Roman (Roman Script)
7. Atthakatha PaliRoman
 

 


 


พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๑ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๒๗๓-๒๘๐

อาปัตติภยวรรคที่ ๕
ว่าด้วยภิกษุผู้ทำลายสงฆ์

            [๒๔๓] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ โฆสิตารามใกล้เมืองโกสัมพี ครั้งนั้นแล ท่านพระอานนท์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วพระผู้มีพระภาคได้ตรัสถามว่า

            ดูกรอานนท์ อธิกรณ์*นั้นระงับแล้วหรือ ท่านพระอานนท์กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อธิกรณ์นั้นจักระงับแต่ที่ไหน สัทธิวิหาริกของท่านพระอนุรุทธ์ ชื่อว่าพาหิยะ ตั้งอยู่ในการทำลายสงฆ์ถ่ายเดียว เมื่อพระพาหิยะตั้งอยู่อย่างนั้นแล้ว ท่านพระอนุรุทธ์ก็ไม่สำคัญที่จะพึงว่ากล่าวแม้สักคำเดียว พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรอานนท์ เมื่อไร อนุรุทธ์จะจัดการชำระอธิกรณ์ในท่ามกลางสงฆ์ อธิกรณ์ชนิดใด ก็ตาม ที่บังเกิดขึ้น เธอทั้งหลายกับสารีบุตรและโมคคัลลานะ ต้องระงับอธิกรณ์ทั้งหมด นั้นมิใช่หรือ
* อธิกรณ์ คือ เรื่องที่สงฆ์ต้องดำเนินการ มี ๔ อย่าง

            ดูกรอานนท์ ภิกษุผู้ลามก เล็งเห็นอำนาจประโยชน์ ๔ ประการนี้ ย่อมยินดี ด้วยการทำลายสงฆ์ อำนาจประโยชน์ ๔ ประการเป็นไฉน ดูกรอานนท์ ภิกษุผู้ลามก ในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ทุศีล มีบาปธรรม มีความประพฤติไม่สะอาด น่ารังเกียจ มีการงาน อันปกปิด มิใช่สมณะปฏิญาณ ว่าเป็นสมณะ ไม่ประพฤติพรหมจรรย์ปฏิญาณว่า ประพฤติ พรหมจรรย์ เป็นคนเน่าใน ชุ่มด้วยกิเลส รุงรังด้วยโทษ เธอปริวิตกอย่างนี้ว่า ถ้าภิกษุ ทั้งหลาย จักรู้เราว่า เป็นคนทุศีล มีบาปธรรม... รุงรังด้วยโทษ จักเป็นผู้พร้อมเพรียงกัน นาสนะ*เราเสีย แต่ภิกษุผู้เป็นพรรคพวกจักไม่นาสนะเรา
* นาสนะ คือ อธิบายการลงโทษภิกษุ /การบังคับสึก

            ดูกรอานนท์ ภิกษุผู้ลามก เล็งเห็นอำนาจประโยชน์ที่ ๑ นี้ ย่อมยินดีด้วยการ ทำลายสงฆ์

            อีกประการหนึ่ง ภิกษุผู้ลามก มีความเห็นผิด ประกอบด้วย อันตคาหิกทิฐิ *เธอปริวิตกอย่างนี้ว่า ถ้าภิกษุทั้งหลายจักรู้เราว่ามีความเห็นผิด ประกอบด้วย อันตคาหิกทิฐิ จักเป็นผู้พร้อมเพรียงกันนาสนะเราเสีย แต่ภิกษุผู้เป็นพรรคพวกจักไม่ นาสนะ เรา ดูกรอานนท์ ภิกษุผู้ลามก เล็งเห็นอำนาจประโยชน์ข้อที่ ๒ นี้ย่อมยินดี ด้วย การทำลายสงฆ์
* อันตคาหิกทิฐิ ความเห็นผิด 10 แบบ คลิก

            อีกประการหนึ่ง ภิกษุผู้ลามก มีอาชีพผิด เลี้ยงชีวิตด้วยมิจฉาชีพ เธอย่อม ปริวิตกอย่างนี้ว่า ถ้าภิกษุทั้งหลายจักรู้เราว่ามีอาชีพผิด เลี้ยงชีวิตด้วยมิจฉาชีพ จักเป็น ผู้พร้อมเพรียงกันนาสนะเราเสีย แต่ภิกษุเป็นพรรคพวกจักไม่นาสนะเรา ดูกรอานนท์ ภิกษุผู้ลามก เล็งเห็นอำนาจประโยชน์ข้อที่ ๓ นี้ ย่อมยินดีด้วยการ ทำลายสงฆ์

            อีกประการหนึ่ง ภิกษุผู้ลามก ปรารถนาลาภ สักการะ และความยกย่อง เธอปริวิตกอย่างนี้ว่า ถ้าภิกษุทั้งหลายจักรู้เราว่าปรารถนาลาภ สักการะและความยกย่อง จักพร้อมเพรียงกัน ไม่สักการะเคารพนับถือบูชาเรา แต่ภิกษุผู้เป็นพรรคพวกจักสักการะ เคารพนับถือบูชาเรา ดูกรอานนท์ ภิกษุผู้ลามก เล็งเห็นอำนาจประโยชน์ข้อที่ ๔ นี้ ย่อมยินดีด้วยการทำลายสงฆ์ ดูกรอานนท์ ภิกษุผู้ลามกเล็งเห็นอำนาจประโยชน์ ๔ ประการนี้แล ย่อมยินดีด้วยการทำลายสงฆ์

--------------------------------------------------------------------------------------------------------
ความกลัวต่ออาบัติ ๔ ประการ
(อาปัตติภัย)

            [๒๔๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความกลัวต่ออาบัติ ๔ ประการนี้ ๔ ประการ เป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนราชบุรุษจับโจรผู้ประพฤติหยาบช้าได้แล้ว แสดงแก่ พระราชา ด้วยกราบทูลว่า ขอเดชะ ผู้นี้เป็นผู้ประพฤติหยาบช้าต่อพระองค์ ขอพระองค์ จงทรงลงอาญาแก่เขา

            พระราชาจึงตรัสอย่างนี้ว่าท่านผู้เจริญท่านทั้งหลายจงไป จงมัดบุรุษนี้ เอาแขน ไพล่หลังให้มั่นคง ด้วยเชือกอันเหนียว โกนผมแล้วนำตระเวนไปตามถนน และตรอกด้วย บัณเฑาะว์ มีเสียงหยาบออกทางประตูด้านใต้ แล้วจงตัดศีรษะทางด้านใต้แห่งนคร พวกราชบุรุษนั้น เอาแขนไพล่หลังให้มั่นคง ด้วยเชือกอันเหนียวแล้วโกนผม นำตระเวน ไปตามถนน และตรอกด้วยบัณเฑาะว์มีเสียงหยาบ แล้วนำออกทางประตูด้านใต้ ตัดศีรษะเสียทางด้านใต้แห่งนคร

            ในที่นั้น มีบุรุษผู้ยืนอยู่ ณ ที่ส่วนหนึ่ง กล่าวอย่างนี้ว่าท่านผู้เจริญ บุรุษนี้กระทำ กรรมอันหยาบช้า น่าติเตียนถึงถูกตัดศีรษะ ราชบุรุษทั้งหลายจึงจับมัดแขนไพล่หลัง ให้มั่นคง ด้วยเชือกอันเหนียว โกนศีรษะด้วยมีดโกน นำตระเวนไปตามถนนและตรอก ด้วยบัณเฑาะว์มีเสียงหยาบ แล้วนำออกทางประตูด้านใต้ ตัดศีรษะทางด้านใต้แห่งนคร เขาไม่ควรทำกรรมอันหยาบช้าเห็นปานนี้ จนถูกตัดศีรษะเลยหนอ ดังนี้ แม้ฉันใด

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกัน (๑) ภิกษุหรือภิกษุณีบางรูป เข้าไปตั้ง สัญญา คือความกลัวอันแรงกล้าอย่างนั้นไว้ในธรรม คือ ปาราชิกทั้งหลาย ข้อนั้นเป็น อันหวัง ได้ว่า ผู้ที่ยังไม่ต้องธรรมคือ ปาราชิก จักไม่ต้อง หรือผู้ที่ต้องแล้วจักกระทำคืน ตามธรรม

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนบุรุษนุ่งผ้าดำ สยายผมห้อยสากไว้ที่คอ เข้าไป หาหมู่มหาชนแล้วพึงกล่าวอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ข้าพเจ้าได้ทำกรรม ลามก น่าติเตียน ควรแก่การห้อยสาก ท่านทั้งหลายพอใจให้ข้าพเจ้ากระทำสิ่งใด ข้าพเจ้าจะกระทำสิ่งนั้น ในที่นั้น มีบุรุษยืนอยู่ ณ ที่ส่วนหนึ่งกล่าวอย่างนี้ว่า

            ท่านผู้เจริญ ทั้งหลาย บุรุษนี้ได้กระทำกรรมอันลามก น่าติเตียนควรแก่การห้อย สาก เขานุ่งผ้าดำ สยายผม ห้อยสากไว้ที่คอเข้าไปหาหมู่มหาชนแล้วกล่าวอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ข้าพเจ้ากระทำกรรมอันลามก น่าติเตียนควรแก่การห้อยสาก ท่านทั้งหลายพอใจให้ ข้าพเจ้า กระทำสิ่งใด ข้าพเจ้าจะกระทำสิ่งนั้น ดังนี้เขาไม่ควร กระทำ กรรมอันเป็นบาป น่าติเตียน ควรแก่การห้อยสากเห็นปานนั้นเลยหนอ แม้ฉันใด

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกัน (๒) ภิกษุหรือภิกษุณีบางรูป เข้าไปตั้ง สัญญา คือความกลัวอันแรงกล้าอย่างนั้นไว้ในธรรม คือสังฆาทิเสสทั้งหลาย ข้อนั้น เป็นอัน หวังได้ว่า ผู้ที่ยังไม่ต้องธรรม คือ สังฆาทิเสสจักไม่ต้อง หรือผู้ที่ต้องแล้ว จักกระทำ คืนตามธรรม

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนบุรุษนุ่งผ้าดำ สยายผมห้อยห่อขี้เถ้าไว้ที่คอ เข้าไปหาหมู่มหาชน แล้วพึงกล่าวอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ข้าพเจ้าได้กระทำ กรรม อันลามก น่าติเตียน ควรแก่การห้อยห่อขี้เถ้า ท่านทั้งหลายพอใจจะให้ข้าพเจ้า กระทำสิ่งใด ข้าพเจ้าจะกระทำสิ่งนั้น ในที่นั้น มีบุรุษยืนอยู่ ณ ที่ส่วนหนึ่งกล่าวอย่างนี้ว่า

             ท่านผู้เจริญทั้งหลาย บุรุษนี้ได้กระทำกรรมอันลามก น่าติเตียน ควรแก่การ ห้อยห่อขี้เถ้า เขานุ่งผ้าดำ สยายผมห้อยห่อขี้เถ้า เข้าไปหาหมู่มหาชนแล้วกล่าวอย่างนี้ ว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ข้าพเจ้าได้กระทำกรรมอันลามก น่าติเตียน ควรแก่การห้อยห่อ ขี้เถ้า ท่านทั้งหลายพอใจจะให้ข้าพเจ้าทำสิ่งใด ข้าพเจ้าจะทำสิ่งนั้น เขาไม่ควรกระทำ กรรม อันลามก ควรแก่การห้อยห่อขี้เถ้าเห็นปานนี้เลยหนอ แม้ฉันใด

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกัน (๓) ภิกษุหรือภิกษุณีบางรูป เข้าไปตั้ง สัญญา คือความกลัว อันแรงกล้าอย่างนั้นไว้ในธรรม คือ ปาจิตตีย์ทั้งหลาย ข้อนี้เป็น อันหวังได้ว่า ผู้ที่ยังไม่ต้องธรรม คือ ปาจิตตีย์จักไม่ต้อง หรือผู้ที่ต้องแล้วจักกระทำคืน ตามธรรม

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนบุรุษนุ่งผ้าดำ สยายผมเข้าไปหาหมู่มหาชน แล้วพึงกล่าวอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ข้าพเจ้าได้กระทำกรรมอันลามก น่าติเตียน ควรตำหนิ ท่านทั้งหลายพอใจให้ข้าพเจ้ากระทำสิ่งใด ข้าพเจ้าจะกระทำสิ่งนั้น ณ ที่นั้น มีบุรุษยืนอยู่ ณ ที่ส่วนหนึ่งกล่าวอย่างนี้ว่า

             ท่านผู้เจริญทั้งหลาย บุรุษผู้นี้ได้กระทำกรรม อันลามก น่าติเตียน ควรตำหนิ เขานุ่งผ้าดำ สยายผม เข้าไปหาหมู่มหาชนแล้วกล่าว อย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ข้าพเจ้าได้กระทำกรรมอันลามก น่าติเตียน ควรตำหนิ ท่านทั้งหลายพอใจให้ข้าพเจ้า กระทำสิ่งใด ข้าพเจ้าจะกระทำสิ่งนั้น เขาไม่ควรกระทำ กรรมอันลามก น่าติเตียน ควร ตำหนิ เห็นปานนั้น แม้ฉันใด

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกัน (๔) ภิกษุหรือภิกษุณีบางรูป เข้าไปตั้ง สัญญา คือ ความกลัวอันแรงกล้าอย่างนั้นไว้ในธรรม คือ ปาฏิเทสนียะทั้งหลาย ข้อนั้น พึงหวัง ได้ว่า ผู้ที่ยังไม่ต้องธรรม คือปาฏิเทสนียะ จักไม่ต้อง ผู้ที่ต้องแล้วจักกระทำ คืน ตามธรรม

            ดูกรภิกษุทั้งหลายความกลัวต่ออาบัติ ๔ ประการนี้แล

--------------------------------------------------------------------------------------------------------
พรหมจรรย์มีสิกขาเป็นอานิสงส์

            [๒๔๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมอยู่ประพฤติพรหมจรรย์นี้ อันมีสิกขาเป็น อานิสงส์ มีปัญญาเป็นยอด มีวิมุตติเป็นแก่น มีสติเป็นอธิปไตย

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย (๑) ก็พรหมจรรย์มีสิกขาเป็นอานิสงส์อย่างไร สิกขา คือ อภิสมาจารเราบัญญัติแก่สาวก ทั้งหลายในธรรมวินัยนี้ เพื่อความเลื่อมใสของผู้ที่ยัง ไม่เลื่อมใสเพื่อความเลื่อมใส ยิ่งขึ้น ของผู้ที่เลื่อมใสแล้ว สิกขา คือ อภิสมาจารเรา บัญญัติแล้วแก่สาวก เพื่อความเลื่อมใส ของผู้ที่ยังไม่เลื่อมใส เพื่อความเลื่อมใสยิ่งขึ้น ของผู้ที่เลื่อมใสแล้ว ด้วยประการใดๆ สาวกนั้นเป็นผู้มีปรกติไม่ทำสิกขานั้น ให้ขาด ไม่ให้ทะลุ ไม่ให้ด่าง ไม่ให้พร้อย ย่อม สมาทาน ศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย ด้วยประการนั้นๆ

            อีกประการหนึ่ง สิกขาอันเป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ เราบัญญัติแก่สาวก ทั้งหลาย เพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบ โดยประการทั้งปวง สิกขาอันเป็นเบื้องต้นแห่ง พรหมจรรย์ เราบัญญัติแก่สาวกทั้งหลาย เพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบ โดยประการทั้งปวง ด้วยประการใดๆ สาวกนั้นเป็นผู้มีปรกติไม่ทำสิกขานั้นให้ขาดไม่ให้ทะลุ ไม่ให้ด่าง ไม่ให้พร้อย สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย ด้วยประการนั้นๆ ดูกรภิกษุทั้งหลาย พรหมจรรย์มีสิกขาเป็นอานิสงส์อย่างนี้แล

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย (๒) ก็พรหมจรรย์มีปัญญาเป็นยอดอย่างไร ธรรมทั้งหลาย เราแสดงแล้วแก่สาวกทั้งหลายในธรรมวินัยนี้ เพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบ โดยประการ ทั้งปวง ธรรมทั้งหลายเราแสดงแล้วแก่สาวกทั้งหลาย เพื่อความสิ้นทุกข์ โดยชอบ โดยประการทั้งปวง ด้วยประการใดๆ ธรรมทั้งหมดนั้นอันสาวกพิจารณา ด้วยปัญญา ด้วยประการนั้นๆ ดูกรภิกษุทั้งหลาย พรหมจรรย์มีปัญญาเป็นยอดอย่างนี้แล

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย (๓) ก็พรหมจรรย์มีวิมุตติเป็นแก่นอย่างไร ธรรมทั้งหลายเรา แสดงแก่สาวกทั้งหลายในธรรมวินัยนี้ เพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบ โดยประการทั้งปวง ธรรมทั้งหลายเราแสดงแก่สาวกทั้งหลาย เพื่อความสิ้นทุกข์ โดยชอบ โดยประการทั้งปวง ด้วยประการใดๆ ธรรมทั้งหมดนั้นเป็นธรรมอันวิมุตติ ถูกต้องแล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลาย พรหมจรรย์มีวิมุตติเป็นแก่นอย่างนี้แล

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย (๔) ก็พรหมจรรย์มีสติเป็นอธิปไตยอย่างไร สติอันภิกษุ ตั้งไว้ ดีแล้ว ในภายในทีเดียวว่า เราจักบำเพ็ญอภิสมาจาริกสิกขา ที่ยังไม่ บริบูรณ์ให ้บริบูรณ์ หรือว่า จักอนุเคราะห์อภิสมาจาริกสิกขาอันบริบูรณ์แล้วไว้ ด้วย ปัญญา ในฐานะนั้นๆ ดังนี้บ้าง สติอันภิกษุตั้งไว้ดีแล้วในภายในทีเดียวว่า เราจักบำเพ็ญ สิกขา อันเป็นเบื้องต้น แห่งพรหมจรรย์ที่ยังไม่บริบูรณ์ให้บริบูรณ์ หรือว่าจักอนุเคราะห์ สิกขา อันเป็นเบื้องต้น แห่งพรหมจรรย์ที่บริบูรณ์แล้วไว้ ด้วยปัญญาในฐานะนั้นๆ ดังนี้บ้าง

            สติอันภิกษุตั้งไว้ดีแล้วในภายในทีเดียวว่า เราจักพิจารณาธรรมที่เรา ไม่ได้ พิจารณาแล้วด้วยปัญญาในฐานะนั้นๆ หรือว่า จักอนุเคราะห์ธรรมที่เราพิจารณาแล้ว ได้ด้วยปัญญาในฐานะนั้นๆ ดังนี้บ้าง สติอันภิกษุตั้งไว้ดีแล้วในภายในทีเดียวว่า เราจัก ถูกต้องธรรมที่เราไม่ได้ถูกต้องด้วยวิมุตติ หรือว่า จักอนุเคราะห์ธรรมที่เราถูกต้องแล้ว ด้วยปัญญาในฐานะนั้นๆ ดังนี้บ้าง

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย พรหมจรรย์มีสติเป็นอธิปไตยอย่างนี้แล ดูกรภิกษุทั้งหลาย ที่เรากล่าวว่า เราอยู่ประพฤติพรหมจรรย์อันมีสิกขาเป็นอานิสงส์ มีปัญญาเป็นยอด มีวิมุตติ เป็นแก่นมีสติเป็นอธิปไตย ดังนี้ เราอาศัยข้อนี้กล่าวแล้ว

--------------------------------------------------------------------------------------------------------
การนอน ๔ แบบ

            [๒๔๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไสยา (การนอน) ๔ อย่างนี้ ๔ อย่างเป็นไฉน คือ
เปตไสยา (นอนอย่างคนตาย) ๑
กามโภคีไสยา (นอนอย่างคนบริโภคกาม) ๑
สีหไสยา (นอนอย่างราชสีห์) ๑
ตถาคตไสยา (นอนอย่างตถาคต) ๑

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เปตไสยาเป็นไฉน คนตายโดยมากนอนหงายนี้เราเรียกว่า เปตไสยา

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็กามโภคีไสยาเป็นไฉน คนบริโภคกามโดยมากนอนตะแคง ข้างซ้าย นี้เราเรียกว่ากามโภคีไสยา

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย สีหไสยาเป็นไฉน สีหมฤคราชย่อมสำเร็จการนอนข้าง เบื้องขวา ซ้อนเท้าเลื่อมเท้า สอดหางเข้าในระหว่างโคนขา มันตื่นขึ้นแล้วยืดกาย เบื้องหน้า แล้ว เหลียวดูกายเบื้องหลัง ถ้ามันเห็นความผิดแปลกหรือความละ ปรกติ แห่งกาย มันย่อมเสียใจด้วยเหตุนั้น ถ้ามันไม่เห็นอะไรผิดปรกติ มันย่อมดีใจด้วยเหตุนั้น นี้เราเรียกว่าสีหไสยา

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ตถาคตไสยาเป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้สงัดจากกาม ฯลฯ บรรลุจตุตถฌาน นี้เราเรียกว่าตถาคตไสยา ดูกรภิกษุทั้งหลายไสยา (การนอน) ๔ อย่างนี้แล

--------------------------------------------------------------------------------------------------------
ถูปารหบุคคล ๔
(บุคคลผู้สมควรสร้างสถูป)

            [๒๔๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถูปารหบุคคล ๔ จำพวกนี้ ๔ จำพวกเป็นไฉน คือ
พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ๑
พระปัจเจกพุทธะ ๑
สาวกของพระตถาคต ๑
พระเจ้าจักรพรรดิ ๑

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถูปารหบุคคล ๔ จำพวกนี้แล

--------------------------------------------------------------------------------------------------------
ธรรมที่เป็นไปเพื่อความเจริญแห่งปัญญา

            [๒๔๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๔ ประการ ย่อมเป็นไปเพื่อความเจริญ แห่งปัญญา ธรรม ๔ ประการเป็นไฉน คือ
สัปปุริสสังเสวะ การคบสัปบุรุษ ๑
สัทธรรมสวนะ
ฟังคำสั่งสอนของท่าน ๑
โยนิโสมนสิการ
ทำไว้ในใจโดยแยบคาย ๑
ธรรมานุธรรมปฏิปัตติ
ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ๑
            ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๔ ประการนี้แล ย่อมเป็นไปเพื่อความเจริญแห่งปัญญา

            [๒๔๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๔ ประการ เป็นธรรมมีอุปการะมาก แก่มนุษย์ ธรรม ๔ ประการเป็นไฉน คือ
สัปปุริสสังเสวะ ๑
สัทธรรมสวนะ ๑
โยนิโสมนสิการ ๑
ธรรมานุธรรมปฏิปัตติ ๑

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๔ ประการนี้แล เป็นธรรมมีอุปการะมากแก่มนุษย์

--------------------------------------------------------------------------------------------------------
โวหารของพระอริยะและไม่ใช่ของพระอริยะ

            [๒๕๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย โวหารอันมิใช่ของพระอริยะ ๔ ประการนี้ ๔ ประการเป็นไฉน คือ
ความเป็นผู้กล่าวสิ่งที่ไม่ได้เห็นว่าเห็น ๑
ความเป็นผู้กล่าวสิ่งที่ไม่ได้ฟังว่าได้ฟัง ๑
ความเป็นผู้กล่าวสิ่งที่ไม่ได้ทราบว่าได้ทราบ ๑
ความเป็นผู้กล่าวสิ่งที่ไม่ได้รู้ว่าได้รู้ ๑

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย โวหารอันไม่ใช่ของพระอริยะ ๔ ประการนี้แล

            [๒๕๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยโวหาร ๔ ประการนี้ ๔ ประการเป็นไฉนคือ
ความเป็นผู้กล่าวสิ่งที่ไม่ได้เห็นว่าไม่ได้เห็น ๑
ความเป็นผู้กล่าวสิ่งที่ไม่ได้ฟังว่าไม่ได้ฟัง ๑
ความเป็นผู้กล่าวสิ่งที่ไม่ได้ทราบว่าไม่ได้ทราบ ๑
ความเป็นผู้กล่าวสิ่งที่ไม่ได้รู้ว่าไม่ได้รู้ ๑

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยโวหาร ๔ ประการนี้แล

            [๒๕๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย โวหารอันมิใช่ของพระอริยะ ๔ ประการ นี้ ๔ ประการเป็นไฉน คือ
ความเป็นผู้กล่าวสิ่งที่ได้เห็นว่าไม่ได้เห็น ๑
ความเป็นผู้กล่าวสิ่งที่ได้ฟังว่าไม่ได้ฟัง ๑
ความเป็นผู้กล่าวสิ่งที่ได้ทราบว่าไม่ได้ทราบ ๑
ความเป็นผู้กล่าวสิ่งที่ได้รู้ว่าไม่ได้รู้ ๑

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย โวหารอันมิใช่ของพระอริยะ ๔ ประการนี้แล

            [๒๕๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยโวหาร ๔ ประการนี้ ๔ ประการ เป็นไฉน คือ
ความเป็นผู้กล่าวสิ่งที่ได้เห็นว่าได้เห็น ๑
ความเป็นผู้กล่าวสิ่งที่ได้ฟังว่าได้ฟัง ๑
ความเป็นผู้กล่าวสิ่งที่ได้ทราบว่าได้ทราบ ๑
ความเป็นผู้กล่าวสิ่งที่ได้รู้ว่าได้รู้ ๑

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยโวหาร ๔ ประการนี้แล

 





หนังสือพุทธวจน ธรรมะของพระศาสดา
90 90 90 90
พุทธประวัติ ขุมทรัพย์ อริยสัจ
ภาคต้น
อริยสัจ
ภาคปลาย
ปฏิจจ ปฐมธรรม ตถาคต อนาคามี อินทรีย์
สังวร
สัตว์
สัตตานัง
ทาน
สกทาคามี
ฆราวาส
ชั้นเลิศ
มรรควิธี
ที่ง่าย
อริยวินัย เดรัจฉานวิชา กรรม สมถะ
วิปัสสนา
โสดาบัน นา
ปานสติ
จิต มโน
วิญญาณ
ก้าวย่าง
อย่างพุทธะ
ตามรอย
ธรรม
ภพ ภูมิ
พุทธวจน
สาธยาย
ธรรม
สังโยชน์