เว็บไซต์ อนาคามี เผยแพร่คำพระศาสดา เผยแพร่คำสอนตถาคต เว็บไซต์เผยแพร่พระสุตรคำสอนของพระพุทธเจ้า คลิปคำสอน คลิปสาธยายธรรม
ค้นหาคำที่ต้องการ            

อภิญญาวรรคที่ ๖ ว่าด้วยธรรมที่รู้ยิ่ง ธรรมที่พึงกำหนดรู้ พึงละ พึงให้เจริญ พึงทำให้แจ้ง 2198
 

พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๑

อภิญญาวรรคที่ ๖

ธรรมที่พึงกำหนดรู้ พึงละ พึงให้เจริญ พึงทำให้แจ้ง
อนริยปริเยสนา และ อริยปริเยสนา (การแสวงหาอันไม่ประเสริฐ และประเสริฐ)
สังคหวัตถุ ๔
ตัณหาเมื่อเกิดแก่ภิกษุ ย่อมเกิดขึ้นเพราะเหตุ ๔ประการ
สถาน ๔ ของตระกูล เป็นไฉน
ม้าของพระราชาประกอบด้วยธรรม ๔และภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๔
กำลัง ๔ ที่ไม่ควรเสพเสนาสนะสงัด และควรเสพ
คนพาล กับ บัณฑิต

เรื่องสำคัญของพระพุทธเจ้า
การบำเพ็ญบารมีในอดีตชาติ
การประสูติ แสงสว่าง แผ่นดินไหว
แสวงหาสัจจะบำเพ็ญทุกรกิริยา
ปัญจวัคคีย์หลีก สิ่งที่ตรัสรู้
ตรัสรู้ แสดงเทศนาปัญจวัคคีย์
ปลงสังขาร ปรินิพพาน
ลำดับขั้นการปรินิพพาน
เทวดาแสดงฤทธิ์ขณะถวายเพลิง
แบ่งพระสรีระออกเป็น ๘ ส่วน
 
รวมพระสูตรบุคคลสำคัญ
พระโมคคัลลานะ
พระสารีบุตร
พระเทวทัต
นิครนถ์ปริพาชก
พระมหากัปปินะ
พระอนุรุทธะ
พระอุบาลี
(ดูทั้งหมด)
 
สารบาญพระไตรปิฎก
เล่มที่ ๘-๓๓ (๒๕ เล่ม) ทุกพระสูตร
1. ฉบับหลวง
2. ฉบับมหาจุฬาฯ
3. อรรถกถาไทย
4. ฉบับภาษาบาลี
5. อรรถกถา-บาลี
6. Pali Roman (Roman Script)
7. Atthakatha PaliRoman
 

 


 


พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๑ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๒๘๑-๒๘๗

อภิญญาวรรคที่ ๖
ว่าด้วยธรรมที่รู้ยิ่ง

ธรรมที่พึงกำหนดรู้ พึงละ พึงให้เจริญ พึงทำให้แจ้ง

            [๒๕๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๔ ประการนี้ ๔ ประการเป็นไฉนคือ -ธรรมที่รู้ยิ่งด้วยปัญญาแล้ว พึงกำหนดรู้ไว้ก็มี
-ธรรมที่รู้ยิ่งด้วยปัญญาแล้ว พึงละเสียก็มี
-ธรรมที่รู้ยิ่งด้วยปัญญาแล้ว พึงให้เจริญก็มี
-ธรรมที่รู้ยิ่งด้วยปัญญาแล้ว พึงกระทำให้แจ้งก็มี

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็ธรรมที่รู้ยิ่งด้วยปัญญาแล้ว
พึงกำหนดรู้เป็นไฉน อุปาทานขันธ์ ๕ นี้เราเรียกว่า ธรรมที่รู้ยิ่งด้วยปัญญาแล้ว พึงกำหนดรู้ไว้

ก็ธรรมที่รู้ยิ่งด้วยปัญญาแล้ว พึงละเสียเป็นไฉนคือ อวิชชา และภวตัณหานี้เรา เรียกว่า ธรรมที่รู้ยิ่งด้วยปัญญาแล้ว พึงละเสีย

ก็ธรรมที่รู้ยิ่งด้วยปัญญาแล้ว พึงให้เจริญเป็นไฉน คือ สมถะและวิปัสสนา นี้เรา เรียกว่า ธรรมที่รู้ยิ่งด้วยปัญญาแล้ว พึงให้เจริญ

ก็ธรรมที่รู้ยิ่งด้วยปัญญาแล้ว พึงกระทำให้แจ้งเป็นไฉน คือ วิชชาและวิมุตติ นี้เรา เรียกว่า ธรรมที่รู้ยิ่งด้วยปัญญาแล้ว พึงกระทำให้แจ้ง

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๔ ประการนี้แล

------------------------------------------------------------------------------------------
อนริยปริเยสนา และ อริยปริเยสนา (การแสวงหาอันไม่ประเสริฐ และประเสริฐ)

            [๒๕๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนริยปริเยสนา การแสวงหาอันไม่ประเสริฐ๔ ประการนี้ ๔ ประการเป็นไฉน คือ บุคคลบางคนในโลกนี้
-ตนเองเป็นผู้มีชราเป็นธรรมดา ย่อมแสวงหาสิ่งที่มีชราเป็นธรรมดานั่นเอง ๑
-ตนเองเป็นผู้มีพยาธิเป็นธรรมดา ย่อมแสวงหาสิ่งที่มีพยาธิเป็นธรรมดานั่นเอง ๑
-ตนเองเป็นผู้มีมรณะเป็นธรรมดา ย่อมแสวงหาสิ่งที่มีมรณะเป็นธรรมดานั่นเอง ๑
-ตนเองเป็นผู้มีความเศร้าหมองเป็นธรรมดา ย่อมแสวงหาสิ่งที่มีความเศร้าหมอง เป็นธรรมดานั่นเอง ๑

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนริยปริเยสนา ๔ ประการนี้แล

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยปริเยสนา การแสวงหาอย่างประเสริฐ ๔ ประการนี้
๔ ประการเป็นไฉน คือ บุคคลบางคนในโลกนี้
-ตนเองเป็นผู้มีชราเป็นธรรมดา รู้โทษในสิ่งที่มีชราเป็นธรรมดาแล้ว ย่อมแสวงหา นิพพาน อันไม่มีชรา เป็นแดนเกษมจากโยคะอย่างเยี่ยม ๑

-ตนเองเป็นผู้มีพยาธิเป็นธรรมดา รู้โทษในสิ่งที่มีพยาธิเป็นธรรมดาแล้ว ย่อมแสวงหา นิพพานอันไม่มีพยาธิ เป็นแดนเกษมจากโยคะชั้นเยี่ยม ๑

-ตนเองเป็นผู้มีมรณะเป็นธรรมดา รู้โทษในสิ่งที่มีมรณะเป็นธรรมดาแล้ว ย่อมแสวงหา นิพพานอันไม่ตาย เป็นแดนเกษมจากโยคะชั้นเยี่ยม ๑

-ตนเองเป็นผู้มีความเศร้าหมองเป็นธรรมดา รู้โทษในสิ่งที่มีความเศร้าหมองเป็น ธรรมดาแล้ว ย่อมแสวงหานิพพานอันไม่เศร้าหมอง เป็นแดนเกษมจากโยคะชั้นเยี่ยม ๑

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยปริเยสนา ๔ ประการนี้แล

------------------------------------------------------------------------------------------
สังคหวัตถุ ๔

            [๒๕๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สังคหวัตถุ ๔ ประการนี้ ๔ ประการเป็นไฉน คือ
- ทาน การให้ ๑
- เปยยวัชชะ เจรจาถ้อยคำน่ารัก ๑
- อรรถจริยาประพฤติประโยชน์ ๑
- สมานัตตตา ความมีตนเสมอ ๑

             ดูกรภิกษุทั้งหลายสังคหวัตถุ ๔ ประการนี้แล

------------------------------------------------------------------------------------------
ตัณหาเมื่อเกิดแก่ภิกษุ ย่อมเกิดขึ้นเพราะเหตุ ๔ประการ

            [๒๕๗] ครั้งนั้นแล ท่านพระมาลุงกยบุตร เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถึงที่ ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูล พระผู้มีพระภาค ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานพระวโรกาส ขอพระผู้มีพระภาค โปรดทรง แสดงธรรมโดยย่อ แก่ข้าพระองค์ ซึ่งข้าพระองค์ได้ฟังแล้ว พึงหลีกออกจากหมู่ อยู่ผู้เดียว เป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยวอยู่เถิด พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

            ดูกรมาลุงกยบุตร ทีนี้เราจัก กล่าวกะพวกภิกษุหนุ่มอย่างไรเล่า ในเมื่อท่าน เป็นคนแก่เฒ่า เป็นผู้ใหญ่ ขอโอวาทของตถาคตโดยย่อ พระมาลุงกยบุตรกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาค โปรดทรงแสดงธรรมโดยย่อแก่ข้าพระองค์ ขอพระสุคตโปรดทรงแสดงธรรมโดยย่อ แม้ไฉนข้าพระองค์จะพึงรู้ถึงเนื้อความ แห่ง ภาษิต ของพระผู้มีพระภาค แม้ไฉน ข้าพระองค์พึงเป็นทายาทแห่งภาษิต ของ พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

            ดูกรมาลุงกยบุตร เหตุเกิดตัณหา ซึ่งเป็นที่ที่ตัณหาเมื่อเกิด ย่อมเกิดขึ้นแก่ ภิกษุุ ๔ ประการนี้ ๔ ประการเป็นไฉน

ดูกรมาลุงกยบุตร ตัณหาเมื่อเกิดแก่ภิกษุ ย่อมเกิดขึ้น
-เพราะจีวรเป็นเหตุ ๑
-เพราะบิณฑบาตเป็นเหตุ ๑
-เพราะเสนาสนะเป็นเหตุ ๑
-เพราะความเป็นและความไม่เป็นอย่างนั้น อย่างนี้เป็นเหตุ ๑

            ดูกรมาลุงกยบุตร เหตุเกิดตัณหาซึ่งเป็นที่ที่ตัณหา เมื่อเกิดย่อมเกิดแก่ภิกษุ ๔ ประการนี้แล เมื่อใดแล ภิกษุละตัณหาได้แล้ว ตัดรากขาดแล้ว กระทำให้เป็นดุจตาล ยอดด้วน ให้ถึงความไม่มีไม่เกิดขึ้นต่อไปเป็นธรรมดา ภิกษุนี้เราเรียกว่า ตัดตัณหา ได้เด็ดขาด รื้อสังโยชน์ได้แล้ว ได้กระทำที่สุดทุกข์ได้แล้ว เพราะละมานะโดยชอบ

            ลำดับนั้นแล ท่านพระมาลุงกยบุตร อันพระผู้มีพระภาค ทรงโอวาทด้วย พระโอวาทนี้แล้ว ลุกจากอาสนะ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค กระทำประทักษิณ แล้ว หลีกไป ลำดับนั้นแล ท่านพระมาลุงกยบุตรเป็นผู้หลีกออกจากหมู่ อยู่ผู้เดียวไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยวอยู่ ได้กระทำให้แจ้งซึ่งที่สุดแห่งพรหมจรรย์อันยอดเยี่ยม ที่กุลบุตรทั้งหลายออกบวชเป็นบรรพชิต โดยชอบต้องการนั้น ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ ต่อกาลไม่นานเลยได้รู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้วกิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มีอีก ก็แลท่านพระมาลุงกยบุตร เป็นพระอรหันต์องค์หนึ่งในจำนวนพระอรหันต์ทั้งหลาย

------------------------------------------------------------------------------------------
สถาน ๔ ของตระกูล เป็นไฉน

            [๒๕๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ตระกูลใดตระกูลหนึ่งถึงความเป็นใหญ่ ใน โภคทรัพย์ แล้ว ย่อมไม่ตั้งอยู่ได้นานเพราะสถาน ๔ หรือสถานใด สถานหนึ่ง บรรดาสถาน ๔ นั้น

สถาน ๔ เป็นไฉน คือ
-ไม่แสวงหาพัสดุที่หายแล้ว ๑
-ไม่ซ่อมแซมพัสดุที่คร่ำคร่า ๑
-ไม่รู้จักประมาณในการบริโภค ๑
-ตั้งสตรีหรือบุรุษทุศีลให้เป็นพ่อบ้านแม่เรือน ๑

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย ตระกูลใดตระกูลหนึ่ง ถึงความเป็นใหญ่ในโภคทรัพย์แล้ว ย่อมไม่ตั้งอยู่ได้นานเพราะสถาน ๔ นี้หรือสถานใดสถานหนึ่งบรรดาสถาน ๔ นั้น

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย ตระกูลใดตระกูลหนึ่ง ถึงความเป็นใหญ่ในโภคทรัพย์แล้ว ย่อมตั้งอยู่ได้นานเพราะสถาน ๔ หรือสถานใดสถานหนึ่งบรรดาสถาน ๔ นั้น

สถาน ๔ เป็นไฉน คือ
-แสวงหาพัสดุที่หายแล้ว ๑
-ซ่อมแซมพัสดุที่คร่ำคร่า ๑
-รู้จักประมาณในการบริโภค ๑
-ตั้งสตรีหรือบุรุษผู้มีศีลให้เป็นพ่อบ้านแม่เรือน ๑

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย ตระกูลใดตระกูลหนึ่ง ถึงความเป็นใหญ่ในโภคทรัพย์แล้ว ย่อมตั้งอยู่ได้นานเพราะสถาน ๔ นี้ หรือสถานใดสถานหนึ่งบรรดาสถาน ๔ นั้น

------------------------------------------------------------------------------------------
ม้าของพระราชาประกอบด้วยธรรม ๔และภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๔

            [๒๕๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ม้าอาชาไนยตัวเจริญของพระราชา ประกอบด้วย องค์ ๔ ย่อมเป็นม้าควรแก่พระราชา ควรเป็นม้าทรง ย่อมถึงการนับว่าเป็นราชพาหนะ

องค์ ๔ เป็นไฉน คือ ม้าอาชาไนยตัวเจริญของพระราชาในโลกนี้
-สมบูรณ์ด้วยวรรณะ ๑
-สมบูรณ์ด้วยกำลัง ๑
-สมบูรณ์ด้วยความเร็ว ๑
-สมบูรณ์ด้วยทรวดทรง ๑

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย ม้าอาชาไนยตัวเจริญของพระราชา ประกอบด้วยองค์ ๔ นี้แล เป็นม้าควรแก่พระราชา ควรเป็นม้าทรง ถึงการนับว่าเป็นราชพาหนะ

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๔ ประการ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมเป็นผู้ควรของคำนับ ฯลฯ เป็นนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า
ธรรม ๔ ประการ เป็นไฉน คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้
-เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยวรรณะ ๑
-สมบูรณ์ด้วยกำลัง ๑
-สมบูรณ์ด้วยเชาวน์ ๑
-สมบูรณ์ด้วยทรวดทรง ๑

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยวรรณะอย่างไร ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้มีศีล ฯลฯ สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย ภิกษุเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยวรรณะ อย่างนี้แล

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยกำลังอย่างไร ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ปรารภความเพียรเพื่อละอกุศลธรรม เพื่อบำเพ็ญกุศลธรรม เป็นผู้มีกำลังมีความบาก บั่นมั่นคง ไม่ทอดธุระในกุศลธรรมทั้งหลาย ภิกษุเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยกำลังอย่างนี้แล

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยเชาวน์อย่างไร ภิกษุในธรรมวินัยนี้ รู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ภิกษุ เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยเชาวน์อย่างนี้แล

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยทรวดทรงอย่างไร ภิกษุในธรรม วินัยนี้ เป็นผู้มีปรกติได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะและเภสัชบริขารอันเป็น ปัจจัย แก่คนไข้ ภิกษุเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยทรวดทรงอย่างนี้แล

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการนี้แล ย่อมเป็นผู้ควรของ คำนับ ฯลฯเป็นนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งไปกว่า

            [๒๖๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ม้าอาชาไนยตัวเจริญของพระราชา ประกอบด้วย องค์ ๔ ประการ ย่อมเป็นม้าควรแก่พระราชา ควรเป็นม้าทรง ถึงการนับว่าเป็น ราชพาหนะ ทีเดียว องค์ ๔ เป็นไฉน คือ ม้าอาชาไนยตัวเจริญของพระราชาในโลกนี้
-เป็นม้าสมบูรณ์ด้วยวรรณะ ๑
-สมบูรณ์ด้วยกำลัง ๑
-สมบูรณ์ด้วยความเร็ว ๑
-สมบูรณ์ด้วยทรวดทรง ๑

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย ม้าอาชาไนยตัวเจริญของพระราชา ประกอบด้วยองค์ ๔ นี้แล เป็นม้าควรแก่พระราชาควรเป็นม้าทรง ถึงการนับว่าเป็นราชพาหนะทีเดียว

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการ ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมเป็นผู้ควรของคำนับ ฯลฯเป็นนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งไปกว่า

ธรรม ๔ ประการเป็นไฉน คือภิกษุในธรรมวินัยนี้
- เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยวรรณะ ๑
- สมบูรณ์ด้วยกำลัง ๑
- สมบูรณ์ด้วยเชาวน์ ๑
- สมบูรณ์ด้วยทรวดทรง ๑

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยวรรณะอย่างไร ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้มีศีล ฯลฯ สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย ภิกษุเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยวรรณะ อย่างนี้แล

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยกำลังอย่างไร ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ปรารภความเพียรเพื่อละอกุศลธรรม เพื่อบำเพ็ญกุศลธรรม เป็นผู้มีความบาก บั่นมั่นคง ไม่ทอดธุระ ในกุศลธรรมทั้งหลาย ภิกษุเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยกำลังอย่างนี้แล

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยเชาวน์อย่างไร ภิกษุในธรรมวินัยนี้ กระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติอันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะ ทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบันเข้าถึงอยู่ ภิกษุเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยเชาวน์อย่างนี้แล

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยทรวดทรงอย่างไร ภิกษุในธรรม วินัย นี้ เป็นผู้ปรกติได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะและเภสัชบริขารอันเป็นปัจจัยแก่คนไข้ ภิกษุเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยทรวดทรงอย่างนี้แล

            ดูกรภิกษุทั้งหลายภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการนี้แล ย่อมเป็นผู้ควร ของคำนับ ฯลฯเป็นนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งไปกว่า

------------------------------------------------------------------------------------------
กำลัง ๔ ที่ไม่ควรเสพเสนาสนะสงัด และควรเสพ

            [๒๖๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย กำลัง ๔ ประการนี้ ๔ ประการเป็นไฉน คือ
-กำลังคือความเพียร ๑
-กำลังคือสติ ๑
-กำลังคือสมาธิ ๑
-กำลังคือปัญญา ๑

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย กำลัง ๔ ประการนี้แล

            [๒๖๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๔ ประการ ไม่ควรเสพ เสนาสนะ สงัดอันตั้งอยู่ในราวป่า ธรรม ๔ ประการเป็นไฉน คือ
- เป็นผู้มีปัญญาทราม เพราะกามวิตก
- พยาบาทวิตก
- วิหิงสาวิตก
- และเป็นผู้โง่เขลาบ้าน้ำลาย

             ภิกษุผู้ประกอบ ด้วยธรรม ๔ ประการนี้แล ไม่ควรเสพเสนาสนะสงัดอันตั้งอยู่ ในราวป่า

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการควรเสพเสนาสนะ สงัดอันตั้งอยู่ในราวป่า
ธรรม ๔ ประการเป็นไฉน คือ เป็นผู้มีปัญญา
- เพราะเนกขัมมวิตก
- อพยาบาทวิตก
- อวิหิงสาวิตก
- และเป็นผู้ไม่โง่เขลาไม่บ้าน้ำลาย

            ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการนี้แล ควรเสพเสนาสนะสงัดอันตั้งอยู่ใน ราวป่า

------------------------------------------------------------------------------------------
คนพาล กับ บัณฑิต

            [๒๖๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพาลผู้ไม่ฉลาด เป็นอสัปบุรุษ ประกอบด้วย ธรรม ๔ ประการ ย่อมบริหารตนให้ถูกขจัด ถูกทำลาย เป็นผู้ประกอบด้วยโทษ วิญญูชนติเตียน และย่อมประสบกรรม มิใช่บุญเป็นอันมาก

ธรรม ๔ ประการ (ของคนพาล) เป็นไฉน คือ
- กายกรรมอันมีโทษ ๑
- วจีกรรมอันมีโทษ ๑
- มโนกรรมอันมีโทษ ๑
- ทิฐิอันมีโทษ ๑

            คนพาลผู้ไม่ฉลาด เป็นอสัปบุรุษประกอบด้วยธรรม ๔ ประการนี้แล ย่อมบริหารตน ให้ถูกขจัด ถูกทำลายเป็นผู้ประกอบด้วยโทษ วิญญูชนติเตียน และย่อมประสบกรรมมิใช่บุญเป็นอันมาก

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย บัณฑิตผู้ฉลาดเป็นสัปบุรุษ ประกอบด้วยธรรม๔ ประการ ย่อมบริหารตนไม่ให้ถูกขจัด ไม่ให้ถูกทำลาย ไม่ประกอบด้วยโทษวิญญูชน ไม่ติเตียน และย่อมได้ประสบบุญเป็นอันมาก

ธรรม ๔ ประการ (ของบัณฑิต) เป็นไฉน คือ
กายกรรมอันไม่มีโทษ ๑
วจีกรรมอันไม่มีโทษ ๑
มโนกรรมอันไม่มีโทษ ๑
ทิฐิอันไม่มีโทษ ๑

            บัณฑิตผู้ฉลาด เป็นสัปบุรุษ ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการ ย่อมบริหารตน ไม่ให้ถูกขจัด ไม่ให้ถูกทำลาย ไม่มีโทษ วิญญูชนไม่ติเตียน และย่อมประสบบุญ เป็นอันมาก ดังนี้แล


 





หนังสือพุทธวจน ธรรมะของพระศาสดา
90 90 90 90
พุทธประวัติ ขุมทรัพย์ อริยสัจ
ภาคต้น
อริยสัจ
ภาคปลาย
ปฏิจจ ปฐมธรรม ตถาคต อนาคามี อินทรีย์
สังวร
สัตว์
สัตตานัง
ทาน
สกทาคามี
ฆราวาส
ชั้นเลิศ
มรรควิธี
ที่ง่าย
อริยวินัย เดรัจฉานวิชา กรรม สมถะ
วิปัสสนา
โสดาบัน นา
ปานสติ
จิต มโน
วิญญาณ
ก้าวย่าง
อย่างพุทธะ
ตามรอย
ธรรม
ภพ ภูมิ
พุทธวจน
สาธยาย
ธรรม
สังโยชน์