พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๑ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๔๔-๑๔๕
ภยสูตรที่ ๑
[๑๒๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภัย ๔ ประการนี้ ๔ ประการเป็นไฉน คือ
อัตตานุวาทภัย ภัยเกิดแต่การติเตียนตนเอง ๑
ปรานุวาทภัย ภัยเกิดแต่ผู้อื่นติเตียน ๑
ทัณฑภัย ภัยเกิดแต่อาญา ๑
ทุคติภัย ภัยเกิดแต่ทุคติ ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อัตตานุวาทภัย เป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล บางคนในโลกนี้ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า ก็เราแลพึงประพฤติทุจริตด้วยกาย พึงประพฤติ ทุจริตด้วยวาจา พึงประพฤติทุจริตด้วยใจ ไฉนตัวเราจะไม่พึงติเตียนเราโดยศีลได้เล่า ดังนี้ เขากลัวต่อภัยเกิดแต่การติเตียนตัวเอง จึงละกายทุจริต บำเพ็ญกายสุจริต ละวจี ทุจริต บำเพ็ญวจีสุจริต ละมโนทุจริต บำเพ็ญมโนสุจริต ย่อมรักษาตนให้บริสุทธิ์ นี้เรียกว่าอัตตานุวาทภัย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ปรานุวาทภัยเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคน ในโลกนี้ ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า ก็เราแล พึงประพฤติทุจริตด้วยกาย พึงประพฤติ ทุจริตด้วยวาจา พึงประพฤติทุจริตด้วยใจ ไฉนคนอื่นจะไม่พึงติเตียนเราโดยศีลได้เล่า ดังนี้ เขากลัวต่อภัยเกิดแต่คนอื่นติเตียน จึงละกายทุจริตบำเพ็ญกายสุจริต ละวจีทุจริต บำเพ็ญวจีสุจริต ละมโนทุจริต บำเพ็ญมโนสุจริต ย่อมรักษาตนให้บริสุทธิ์ นี้เรียกว่าปรานุวาทภัย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ทัณฑภัยเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคน ในโลกนี้ เห็นเจ้านายจับโจรผู้ประพฤติชั่วช้า มาลงกรรมกรณ์ต่างๆ คือ
โบยด้วยแส้บ้าง
เฆี่ยนด้วยหวายบ้าง
ตีด้วยตะบองสั้นบ้าง
ตัดมือบ้าง
ตัดเท้าบ้าง
ตัดทั้งมือทั้งเท้าบ้าง
ตัดหูบ้าง
ตัดจมูกบ้าง ตัดทั้งหูทั้งจมูกบ้าง
ลงกรรมกรณ์วิธีหม้อเคี่ยวน้ำส้มบ้าง ลงกรรมกรณ์วิธีขอดสังข์บ้าง
ลงกรรมกรณ์วิธีปากราหูบ้าง
ลงกรรมกรณ์วิธีมาลัยไฟบ้าง
ลงกรรมกรณ์วิธีคบมือบ้าง
ลงกรรมกรณ์วิธีริ้วส่ายบ้าง
ลงกรรมกรณ์วิธีนุ่งเปลือกไม้บ้าง
ลงกรรมกรณ์วิธียืนกวางบ้าง
ลงกรรมกรณ์วิธีเหยื่อเกี่ยวเบ็ดบ้าง
ลงกรรมกรณ์วิธีเหรียญกษาปณ์บ้าง
ลงกรรมกรณ์วิธีแปรงแสบบ้าง
ลงกรรมกรณ์วิธีถางเวียนบ้าง
ลงกรรมกรณ์วิธีตั่งฟางบ้าง
ราดด้วยน้ำมันกำลังเดือดบ้าง
ให้สุนัขกัดบ้าง
ให้นอนหงายบนหลาวทั้งเป็นบ้าง
ตัดศีรษะด้วยดาบบ้าง
บุคคลนั้นจึงมีความปริวิตกอย่างนี้ว่า เจ้านายจับโจรผู้ประพฤติชั่วช้า มาลง กรรมกรณ์ต่างๆ คือ โบยด้วยแส้บ้าง ฯลฯ ตัดศีรษะด้วยดาบบ้าง เพราะเหตุแห่งกรรม อันลามกเห็นปานใด
ถ้าเราจะพึงทำกรรมอันลามกเห็นปานนั้นบ้าง เจ้านายจะพึงจับเราไปลง กรรมกรณ์ ต่างๆ เห็นปานนั้น คือ โบยด้วยแส้บ้าง ฯลฯ ตัดศีรษะด้วยดาบบ้าง เขากลัว ต่อภัยคืออาญา ไม่กล้าฉกชิงทรัพย์ของผู้อื่นนี้เรียกว่าทัณฑภัย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ทุคติภัยเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคน ในโลกนี้ ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า วิบากของกายทุจริต ในภายหน้า ชั่วร้ายวิบากของ วจีทุจริต ในภายหน้า ชั่วร้าย วิบากของมโนทุจริตในภายหน้า ชั่วร้ายก็เราแล พึงประพฤติทุจริต ด้วยกาย พึงประพฤติทุจริตด้วยวาจา พึงประพฤติทุจริตด้วยใจ ข้อนั้นอะไรเล่า เมื่อกายแตกตายไป เราจะพึงเข้าถึงอบาย ทุคติวินิบาต นรก เขากลัวต่อทุคติภัย ย่อมละกายทุจริต บำเพ็ญกายสุจริต ย่อมละวจีทุจริต บำเพ็ญ วจีสุจริต ย่อมละมโนทุจริต บำเพ็ญมโนสุจริต ย่อมบริหารตนให้หมดจดได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่าทุคติภัย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภัย ๔ ประการนี้แล
---------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๑ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๔๕-๑๔๘
ภยสูตรที่ ๒
[๑๒๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภัย ๔ ประการนี้ คนผู้ลงน้ำจะพึงหวังได้
๔ ประการเป็นไฉน คือ
ภัยคือคลื่น ๑
ภัยคือจระเข้ ๑
ภัยคือน้ำวน ๑
ภัยคือปลาฉลาม ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภัย ๔ ประการนี้แล คนผู้ลงน้ำพึงหวังได้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภัย ๔ ประการนี้ กุลบุตรบางคนในโลกนี้ ผู้ออกบวชเป็น บรรพชิตด้วยศรัทธา ในธรรมวินัยนี้พึงหวังได้ ฉันนั้นเหมือนกันแล ๔ ประการเป็นไฉน คือ ภัยคือคลื่น ๑ ภัยคือจระเข้ ๑ ภัยคือน้ำวน ๑ ภัยคือปลาฉลาม ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภัยคือคลื่นเป็นไฉน กุลบุตรบางคนในโลกนี้ ออกบวชเป็น บรรพชิตด้วยศรัทธา ด้วยคิดว่า เราถูกชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะทุกข์ โทมนัส อุปายาส ครอบงำ ชื่อว่าตกอยู่ในกองทุกข์ มีทุกข์เป็นเบื้องหน้า แม้ไฉน การกระทำ ที่สุด แห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ จะพึงปรากฏ เธอบวชอย่างนั้นแล้วเพื่อน สพรหมจารี ตักเตือน สั่งสอนว่า ท่านพึงก้าวไปอย่างนี้ พึงถอยกลับอย่างนี้พึงแลดูอย่างนี้ พึงเหลียวดูอย่างนี้ พึงคู้เข้าอย่างนี้ พึงเหยียดออกอย่างนี้พึงทรงสังฆาฏิ บาตรและ จีวรอย่างนี้
เธอย่อมคิดอย่างนี้ว่า เมื่อก่อนเราเป็นคฤหัสถ์มีแต่จะตักเตือนสั่งสอนผู้อื่น ก็ภิกษุเหล่านี้คราวลูกคราวหลานของเรา สำคัญเราว่าควรตักเตือนสั่งสอน เธอโกรธเคือง แค้นใจ บอกคืนสิกขาลาเพศ ภิกษุนี้เรียกว่าเป็นผู้กลัวต่อภัยคือคลื่น บอกคืนสิกขาลาเพศ ดูกรภิกษุทั้งหลาย คำว่าภัยคือคลื่นนี้เป็นชื่อแห่งความโกรธ และ ความแค้นใจ นี้เรียกว่าภัยคือคลื่น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภัยคือจระเข้เป็นไฉน กุลบุตรบางคนในโลกนี้ออกบวช เป็นบรรพชิตด้วยศรัทธา ด้วยคิดว่า เราถูกชาติ ชรา มรณะ โสกะปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส ครอบงำ ชื่อว่าตกอยู่ในกองทุกข์ มีทุกข์เป็นเบื้องหน้า แม้ไฉน การกระทำ ที่สุด แห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ จะพึงปรากฏเธอบวชอย่างนั้นแล้ว
เพื่อนสพรหมจารี ตักเตือน สั่งสอนว่า
สิ่งนี้เธอควรเคี้ยว สิ่งนี้ไม่ควรเคี้ยว
สิ่งนี้ควรบริโภค สิ่งนี้ไม่ควรบริโภค
สิ่งนี้ ควรลิ้ม สิ่งนี้ไม่ควรลิ้ม
สิ่งนี้ควรดื่ม สิ่งนี้ไม่ควรดื่ม
ของเป็นกัปปิยะเธอควรเคี้ยว ของเป็นอกัปปิยะเธอไม่ควรเคี้ยว
ของเป็นกัปปิยะเธอควรบริโภค ของเป็นอกัปปิยะเธอไม่ควรบริโภค
ของเป็นกัปปิยะเธอควรลิ้ม ของเป็นอกัปปิยะเธอไม่ควรลิ้ม
ของเป็นกัปปิยะเธอควรดื่ม ของเป็นอกัปปิยะเธอไม่ควรดื่ม
เธอควรเคี้ยวในกาลเธอ ไม่ควรเคี้ยวในวิกาล
เธอควรบริโภคในกาล เธอไม่ควร บริโภคในวิกาล
เธอควรลิ้มในกาล เธอไม่ควรลิ้มในวิกาล
เธอควรดื่มในกาล เธอไม่ควร ดื่ม ในวิกาล
เธอย่อมคิดอย่างนี้ว่า เมื่อก่อนเราเป็นคฤหัสถ์
ปรารถนาสิ่งใดก็เคี้ยวสิ่งนั้น ไม่ปรารถนาสิ่งใดก็ไม่เคี้ยวสิ่งนั้น
ปรารถนาสิ่งใดก็บริโภคสิ่งนั้น ไม่ปรารถนาสิ่งใดก็ไม่บริโภคสิ่งนั้น
ปรารถนาสิ่งใดก็ลิ้มสิ่งนั้น ไม่ปรารถนาสิ่งใดก็ไม่ลิ้มสิ่งนั้น
ปรารถนาสิ่งใดก็ดื่มสิ่งนั้น ไม่ปรารถนาสิ่งใดก็ไม่ดื่มสิ่งนั้น
ย่อมเคี้ยวสิ่งที่เป็นกัปปิยะบ้าง สิ่งที่เป็นอกัปปิยะบ้าง
ย่อมบริโภคสิ่งที่เป็นกัปปิยะบ้างสิ่งที่ไม่เป็นอกัปปิยะบ้าง
ย่อมลิ้มสิ่งที่เป็นกัปปิยะบ้าง สิ่งที่เป็นอกัปปิยะบ้าง
ย่อมดื่มสิ่งที่เป็นกัปปิยะบ้าง สิ่งที่เป็นอกัปปิยะบ้าง
ย่อมเคี้ยวในกาลบ้าง ในวิกาลบ้าง
ย่อมบริโภคในกาลบ้าง ในวิกาลบ้าง
ย่อมลิ้มในกาลบ้าง ในวิกาลบ้าง
ย่อมดื่มในกาลบ้าง ในวิกาลบ้าง
คฤหบดีผู้มีศรัทธาย่อมถวายของควรเคี้ยว หรือของควรบริโภคแม้ใด อันประณีต ในกลางวัน ในเวลาวิกาลแก่เราทั้งหลายภิกษุเหล่านี้ ย่อมกระทำเสมือนหนึ่งปิดปาก แม้ในของเหล่านั้น เธอโกรธเคืองแค้นใจ บอกคืนสิกขาลาเพศ ดูกรภิกษุทั้งหลาย คำว่าภัยคือจระเข้นี้แล เป็นชื่อแห่งความเป็นผู้เห็นแก่ท้อง นี้เรียกว่าภัยคือจระเข้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภัยคือน้ำวนเป็นไฉน กุลบุตรบางคนในโลกนี้ออกบวช เป็นบรรพชิตด้วยศรัทธา ด้วยคิดว่า เราถูกชาติ ชรา มรณะ โสกะปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส ครอบงำ ชื่อว่าตกอยู่ในกองทุกข์ มีทุกข์เป็นเบื้องหน้า แม้ไฉน การกระทำ ที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ จะพึงปรากฏเธอบวชแล้วอย่างนี้ เวลาเช้านุ่งแล้วถือบาตร และจีวร เข้าไปบิณฑบาตยังบ้านหรือนิคม ไม่รักษากาย วาจา ใจ ไม่ตั้งสติ ไม่สำรวม อินทรีย์ เธอเห็นคฤหบดีในบ้านหรือนิคมนั้น เพรียบพร้อมบำเรอตนอยู่ด้วยกามคุณ ๕ เธอคิดอย่างนี้ว่าเมื่อก่อนเราเป็นคฤหัสถ์เพรียบพร้อม บำเรอตนอยู่ด้วยกามคุณ ๕ ก็โภคสมบัติในสกุลของเรามีพร้อม เราอาจเพื่อจะบริโภคโภคะทั้งหลายและทำบุญได้ ถ้ากระไรเราพึงบอกคืนสิกขาลาเพศ แล้วบริโภคโภคะทั้งหลายและทำบุญเถิด เธอย่อม บอกคืนสิกขาลาเพศ ภิกษุนี้เรียกว่า กลัวต่อภัยคือน้ำวน บอกคืนสิกขาลาเพศ ดูกรภิกษุทั้งหลาย คำว่าภัยคือน้ำวนนี้ เป็นชื่อของกามคุณ ๕ นี้เรียกว่าภัย คือน้ำวน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภัยคือปลาฉลามเป็นไฉน กุลบุตรบางคนในโลกนี้ ออกบวช เป็นบรรพชิตด้วยศรัทธา ด้วยคิดว่า เราถูกชาติ ชรา มรณะ โสกะปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส ครอบงำ ชื่อว่าตกอยู่ในกองทุกข์ มีทุกข์เป็นเบื้องหน้า แม้ไฉน การกระทำที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ จะพึงปรากฏเธอบวชแล้วอย่างนี้ เวลาเช้า นุ่งแล้ว ถือบาตรและจีวร เข้าไปบิณฑบาตยังบ้านหรือนิคม ไม่รักษากาย วาจา ใจ ไม่ตั้งสติ ไม่สำรวมอินทรีย์ เธอเห็นมาตุคามในบ้านหรือนิคมนั้น นุ่งไม่เรียบร้อย หรือห่ม ไม่เรียบร้อย ราคะย่อมรบกวนจิตของเธอ เพราะเห็นมาตุคามนุ่งไม่เรียบร้อย หรือห่ม ไม่เรียบร้อย เธอมีจิตอันราคะรบกวน ย่อมบอกคืนสิกขาลาเพศ ภิกษุนี้เรียกว่า กลัวต่อภัย คือปลาฉลาม บอกคืนสิกขาลาเพศ ดูกรภิกษุทั้งหลาย คำว่า ภัยคือปลาฉลามนี้เป็นชื่อ ของ มาตุคาม นี้เรียกว่า ภัยคือปลาฉลาม
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภัย ๔ ประการนี้แล กุลบุตรบางคนในโลกนี้ ออกบวช เป็นบรรพชิตด้วยศรัทธา ในธรรมวินัยนี้ จะพึงหวังได้
|