พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๑ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๐๙
สมาธิสูตรที่ ๑
[๙๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก ๔ จำพวก เป็นไฉน คือ
บุคคลบางคนในโลกนี้ มีปรกติ ได้ความสงบใจในภายใน แต่ไม่ได้อธิปัญญา และ ความเห็นแจ้งในธรรม จำพวก ๑ (ได้ 1 แต่ไม่ได้ 2 และ 3)
บุคคลบางคนในโลกนี้ มีปรกติ ได้อธิปัญญา และ ความเห็นแจ้งในธรรม แต่ไม่ได้ ความสงบใจในภายใน จำพวก ๑ (ได้ 2 และ 3 แต่ไม่ได้ 1)
บุคคลบางคนในโลกนี้ ไม่มีปรกติ ได้ความสงบใจในภายใน ทั้งไม่ได้อธิปัญญา และ
ความเห็นแจ้งในธรรม จำพวก ๑ (ไม่ได้ ทั้ง 1 - 2 - 3)
บุคคลบางคนในโลกนี้ มีปรกติ ได้ความสงบใจในภายใน ทั้งได้อธิปัญญา และความเห็น แจ้งในธรรม จำพวก ๑ (ได้ทั้ง 1 -2 - 3)
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้แล มีปรากฏอยู่ในโลก
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๑ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๐๙-๑๑๐
สมาธิสูตรที่ ๒
[๙๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก ๔ จำพวก เป็นไฉน คือ
บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้มีปรกติได้ความสงบใจในภายใน แต่ไม่ได้อธิปัญญาและ ความเห็นแจ้งในธรรมจำพวก ๑
บุคคลบางคนในโลกนี้ มีปรกติได้อธิปัญญา และความเห็นแจ้งในธรรม แต่ไม่ได้ความ สงบใจในภายในจำพวก ๑
บุคคลบางคนในโลกนี้ ไม่มีปรกติได้ความสงบใจในภายใน ทั้งไม่ได้อธิปัญญา และความ เห็นแจ้งในธรรมจำพวก ๑
บุคคลบางคนในโลกนี้ มีปรกติได้ความสงบใจในภายใน ทั้งได้อธิปัญญา และความเห็น แจ้งในธรรมจำพวก ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในบุคคลเหล่านั้น บุคคลผู้มีปรกติได้ความสงบใจในภายใน แต่ไม่ได้อธิปัญญา และความเห็นแจ้งในธรรม พึงตั้งอยู่ในความสงบใจในภายใน กระทำความเพียร ในอธิปัญญา และความเห็นแจ้งในธรรม
สมัยต่อมา เขาย่อมเป็นผู้มีปรกติ ได้ความสงบใจในภายใน ทั้งได้อธิปัญญา และความเห็นแจ้งในธรรม บุคคลผู้มีปรกติได้อธิปัญญา และความเห็นแจ้งในธรรม แต่ไม่ได้ความสงบใจในภายใน พึงตั้งอยู่ในอธิปัญญา และความเห็นแจ้งในธรรม แล้วกระทำความเพียร ในความสงบแห่งใจในภายใน
สมัยต่อมา เขาย่อมเป็นผู้มีปรกติ ได้อธิปัญญา และความเห็นแจ้งในธรรม ทั้งได้ความสงบใจในภายใน บุคคลไม่มีปรกติได้ความสงบใจในภายใน ทั้งไม่ได้ อธิปัญญา และความเห็นแจ้งในธรรม พึงกระทำฉันทะ ความพยายาม ความอุตสาหะ ความขะมักเขม้น ความไม่ย่อท้อ สติและสัมปชัญญะ ให้มีประมาณยิ่ง เพื่อได้กุศลธรรม เหล่านั้นแหละ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลมีผ้านุ่งห่มถูกไฟไหม้ หรือมีศีรษะถูกไฟไหม้ พึงกระทำ ฉันทะความพยายาม ความอุตสาหะ ความขะมักเขม้น ความไม่ย่อท้อ สติและสัมปชัญญะ ให้มีประมาณยิ่ง เพื่อดับไฟที่ผ้าหรือที่ศีรษะ ฉันใด บุคคลนั้น ก็พึงทำ* ฉันทะ ความพยายาม ความอุตสาหะ ความขะมักเขม้น ความไม่ย่อท้อสติและ สัมปชัญญะ ให้มีประมาณยิ่ง เพื่อได้กุศลธรรมเหล่านั้นแหละ ฉันนั้นเหมือนกัน สมัยต่อมา เขาย่อมเป็นผู้มีปรกติ ได้ความสงบใจในภายใน ทั้งได้อธิปัญญาและความ เห็นแจ้งในธรรม (เร่งทำการทำความเพียรอย่างเร่งด่วน เช่นเดียวกับรีบดับไฟที่ศรีษะ)
*
ฉันทะ (ความพอใจ)
วายามะ (ความพยายาม)
อุสสาหะ อุสโสฬ๎หี (ความขะมักเขม้น)
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลเป็นผู้มีปรกติ ได้ความสงบใจในภายใน ทั้งได้ อธิปัญญา และความเห็นแจ้งในธรรม พึงตั้งอยู่ในกุศลธรรมเหล่านั้นแหละ แล้วกระทำความเพียรให้ยิ่ง เพื่อความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้แล มีปรากฏอยู่ในโลก
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๑ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๑๐-๑๑๒
สมาธิสูตรที่ ๓
[๙๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก ๔ จำพวก เป็นไฉน คือ
บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้มีปรกติได้ความสงบใจในภายใน แต่ไม่ได้ อธิปัญญา และความเห็นแจ้งในธรรมจำพวก ๑
บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้มีปรกติได้อธิปัญญา และความเห็นแจ้งในธรรม แต่ไม่ได้ ความสงบใจในภายในจำพวก ๑
บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ไม่มีปรกติได้ความสงบใจในภายใน ทั้งไม่ได้ อธิปัญญา และความเห็นแจ้งในธรรมจำพวก ๑
บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้มีปรกติได้ความสงบใจในภายใน ทั้งได้ อธิปัญญา และ ความเห็นแจ้งในธรรมจำพวก ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในบุคคลเหล่านั้น บุคคลผู้มีปรกติ ได้ความสงบใจในภายใน แต่ไม่ได้อธิปัญญา และความเห็นแจ้งในธรรม พึงเข้าไปหาบุคคลผู้มีปรกติได้อธิปัญญา และความเห็นแจ้งในธรรม แล้วถามอย่างนี้ว่า พึงเห็นสังขารอย่างไรหนอ พึง พิจารณา สังขารอย่างไร พึงเห็นแจ้งสังขารได้อย่างไร ผู้ถูกถามนั้นย่อมตอบ เขา ตามความเห็น ความรู้ว่าพึงเห็นสังขารได้อย่างนี้แล พึงพิจารณาสังขารอย่างนี้ พึงเห็นแจ้ง สังขาร อย่างนี้ สมัยต่อมา เขาเป็นผู้มีปรกติได้ความสงบใจในภายใน ทั้งได้อธิปัญญา และความ เห็นแจ้งในธรรม
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้มีปรกติได้อธิปัญญา และความเห็นแจ้งในธรรม แต่ไม่ได้ความสงบใจในภายใน พึงเข้าไปหาบุคคล ผู้มีปรกติได้ความสงบใจ ในภายใน แล้วถามอย่างนี้ว่า พึงตั้งจิตไว้อย่างไร พึงน้อมจิตไปอย่างไร พึงทำจิตให้มี อารมณ์เดียว เกิดขึ้นได้อย่างไร พึงชักจูงจิตให้เป็นสมาธิได้อย่างไร ผู้ถูกถามนั้น ย่อมตอบเขาตาม ความเห็น ความรู้ว่า พึงตั้งจิตไว้อย่างนี้พึงน้อมจิตไปอย่างนี้ พึงทำจิต ให้มีอารมณ์เดียว เกิดขึ้นอย่างนี้ พึงชักจูงจิตให้เป็นสมาธิได้อย่างนี้ สมัยต่อมาเขาเป็น ผู้มีปรกติได้ อธิปัญญา และความเห็นแจ้งในธรรม ทั้งได้ความสงบใจในภายใน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลเป็นผู้ไม่มีปรกติ ได้ความสงบใจในภายใน ทั้งไม่ได้ อธิปัญญา และความเห็นแจ้งในธรรม พึงเข้าไปหาบุคคลผู้มีปรกติได้ความสงบใจ ในภายใน ทั้งได้อธิปัญญา และความเห็นแจ้งในธรรม แล้วถามอย่างนี้ว่า พึงตั้งจิตไว้ อย่างไรหนอ พึงน้อมจิตไปอย่างไร พึงทำจิตให้มีอารมณ์เดียว เกิดขึ้นอย่างไร พึงชักจูงจิตให้เป็นสมาธิได้อย่างไรพึงเห็นสังขารนั้นได้อย่างไร พึงพิจารณาสังขาร อย่างไร พึงเห็นแจ้งสังขารอย่างไรผู้ถูกถามนั้น ย่อมตอบเขาตามความเห็น ความรู้ อย่างนี้ว่า พึงตั้งจิตไว้อย่างนี้ ฯลฯ พึงเห็นแจ้งสังขารอย่างนี้ สมัยต่อมา เขาเป็นผู้มี ปรกติได้ความสงบใจในภายใน ทั้งได้อธิปัญญาและความเห็นแจ้งในธรรม
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลเป็นผู้มีปกติ ได้ความสงบใจในภายใน ทั้งได้ อธิปัญญา และความเห็นแจ้งในธรรม พึงตั้งอยู่ในกุศลธรรมเหล่านั้นแหละ แล้วกระทำ ความเพียรให้ยิ่ง เพื่อความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้แล มีปรากฏอยู่ในโลกนี้
|