พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๑ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๙๗
ปาณาติปาตสูตร
ผู้ฆ่าสัตว์และผู้เว้นขาด
[๘๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการ ย่อมเกิดในนรก เหมือนถูกนำมาโยนลง ธรรม ๔ ประการเป็นไฉน คือ เป็นผู้มัก
ฆ่าสัตว์ ๑
ลักทรัพย์ ๑
ประพฤติผิดในกาม ๑
พูดเท็จ ๑
บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการนี้แล ย่อมเกิดใน นรก เหมือนถูกนำมา โยนลง
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการ ย่อมเกิดในสวรรค์ เหมือนถูกเชิญมา ธรรม ๔ ประการเป็นไฉน คือ
เป็นผู้งดเว้น
จากการฆ่าสัตว์ ๑
จากการลักทรัพย์ ๑
จากการประพฤติผิดในกาม ๑
จากการพูดเท็จ ๑
บุคคลผู้ประกอบ ด้วยธรรม ๔ ประการนี้แล ย่อมเกิดในสวรรค์เหมือนถูกเชิญมา
------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๑ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๙๗
มุสาสูตร
ผู้พูดเท็จและผู้เว้นขาด
[๘๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการ ย่อมเกิดในนรก เหมือนถูกนำมาโยนลง ธรรม ๔ ประการเป็นไฉน คือ เป็นผู้มัก
พูดเท็จ ๑
พูดส่อเสียด ๑
พูดคำหยาบ ๑
พูดเพ้อเจ้อ ๑
บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการนี้แล ย่อมเกิดในนรก เหมือนถูกนำมา โยนลง
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการ ย่อมเกิดในสวรรค์ เหมือนถูกเชิญมา ธรรม ๔ ประการเป็นไฉน คือ
เป็นผู้งดเว้น
จากการพูดเท็จ ๑
จากการพูดส่อเสียด ๑
จากการพูดคำหยาบ ๑
จากการพูดเพ้อเจ้อ ๑
บุคคลผู้ประกอบ ด้วยธรรม ๔ ประการนี้แล ย่อมเกิดในสวรรค์เหมือนถูกเชิญมา
------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๑ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๙๘
วัณณสูตร
บุคคลพิจารณาและไม่พิจาณาใคร่ครวญ
[๘๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการ ย่อมเกิดในนรก เหมือนถูกนำมาโยนลง ธรรม ๔ ประการเป็นไฉน คือ บุคคล
ไม่พิจารณาใคร่ครวญก่อนแล้ว กล่าวสรรเสริญบุคคลที่ไม่ควรสรรเสริญ ๑ ไม่พิจารณาใคร่ครวญก่อนแล้ว กล่าวติเตียนบุคคลที่ควรสรรเสริญ ๑ ไม่พิจารณาใคร่ครวญก่อนแล้ว ปลูกความเลื่อมใสในฐานะที่ไม่ควรเลื่อมใส ๑ ไม่พิจารณาใคร่ครวญก่อนแล้วปลูกความไม่เลื่อมใสในฐานะที่ควรเลื่อมใส ๑
บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการนี้แล ย่อมเกิดในนรก เหมือนถูกนำมา โยนลง
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการ ย่อมเกิดในสวรรค์ เหมือนถูกเชิญมา ธรรม ๔ ประการเป็นไฉน คือ บุคคล
พิจารณาใคร่ครวญก่อนแล้วย่อมติเตียนบุคคลที่ควรติเตียน ๑ พิจารณาใคร่ครวญก่อนแล้ว ย่อมสรรเสริญบุคคลที่ควรสรรเสริญ ๑ พิจารณาใคร่ครวญก่อนแล้ว ปลูกความไม่เลื่อมใสในฐานะที่ไม่ควรเลื่อมใส ๑ พิจารณาใคร่ครวญก่อนแล้ว ปลูกความเลื่อมใสในฐานะที่ควรเลื่อมใส ๑ บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการนี้แล ย่อมเกิดในสวรรค์เหมือนถูกเชิญมา
------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๑ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๙๘-๙๙
โกธสูตร
ผู้มักโกรธและผู้ไม่มักโกรธ
[๘๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการ ย่อมเกิดในนรก เหมือนถูกนำมาโยนลง ธรรม ๔ ประการเป็นไฉน คือ
เป็นผู้หนักในความโกรธ ไม่หนักในพระสัทธรรม ๑
เป็นผู้หนักในความลบหลู่ ไม่หนักในพระสัทธรรม ๑
เป็นผู้หนักในลาภ ไม่หนักในพระสัทธรรม ๑
เป็นผู้หนักในสักการะ ไม่หนักในพระสัทธรรม ๑
บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการนี้แล ย่อมเกิดในนรก เหมือนถูกนำมา โยนลง
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการ ย่อมเกิดในสวรรค์ เหมือนถูกเชิญมา ธรรม ๔ ประการเป็นไฉน คือ
เป็นผู้หนักในพระสัทธรรม ไม่หนัก ในความโกรธ ๑
เป็นผู้หนักในพระสัทธรรม ไม่หนักในความลบหลู่ ๑
เป็นผู้หนักในพระสัทธรรม ไม่หนักในลาภ ๑
เป็นผู้หนักในพระสัทธรรม ไม่หนักในสักการะ ๑
บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการนี้แล ย่อมเกิดในสวรรค์ เหมือนถูกเชิญ มา
------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๑ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๐๑-๑๐๒
โอณตสูตร
ผู้ต่ำมาและต่ำไป
[๘๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก ๔ จำพวก เป็นไฉน คือ บุคคล
ผู้ต่ำมาแล้วต่ำต่อไปจำพวก ๑
ผู้ต่ำมาแล้วสูงต่อไปจำพวก ๑
ผู้สูงมาแล้วต่ำต่อไปจำพวก ๑
ผู้สูงมาแล้วสูงต่อไปจำพวก ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลผู้ต่ำแล้วต่ำต่อไปเป็นอย่างไร บุคคลบางคน ในโลกนี้เกิดมาในตระกูลต่ำ คือ ตระกูลจัณฑาล ฯลฯ เขาประพฤติทุจริตด้วยกาย ด้วยวาจา และด้วยใจ ครั้นประพฤติ ทุจริตด้วยกาย วาจา และใจแล้ว เมื่อตายไปย่อม เข้าถึง อบาย ทุคติ วินิบาต นรก บุคคลเป็นผู้ต่ำมาแล้ว ต่ำต่อไปอย่างนี้แล
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลผู้ต่ำมาแล้วสูงต่อไปเป็นอย่างไร บุคคลบางคน ในโลกนี้ เกิดมาในตระกูลต่ำ คือ ตระกูลจัณฑาล ฯลฯ แต่เขาประพฤติสุจริตด้วยกาย ด้วยวาจา และด้วยใจ ครั้นประพฤติสุจริตด้วยกาย วาจา และใจแล้ว เมื่อตายไป ย่อม เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ บุคคลผู้ต่ำมาแล้วสูงต่อไปอย่างนี้แล
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลผู้สูงมาแล้วต่ำต่อไปเป็นอย่างไร บุคคลบางคน ในโลกนี้ เกิดมาในตระกูลสูง คือ ตระกูลกษัตริย์มหาศาล ฯลฯ เขาประพฤติทุจริต ด้วยกาย ด้วยวาจา และด้วยใจครั้นประพฤติทุจริตด้วยกาย วาจาและใจแล้ว เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก บุคคลผู้สูงมาแล้วต่ำต่อไปอย่างนี้แล
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลผู้สูงมาแล้วสูงต่อไปเป็นอย่างไร บุคคลบางคน ในโลกนี้ เกิดมาในตระกูลสูง คือ ตระกูลกษัตริย์มหาศาล ฯลฯ เขาประพฤติสุจริต ด้วยกาย ด้วยวาจา และด้วยใจ ครั้นประพฤติสุจริตด้วยกาย วาจาและใจแล้ว เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ บุคคลผู้สูงมาแล้วสูงต่อไปอย่างนี้แล ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้แล มีปรากฏอยู่ในโลก
------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๑ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๐๔-๑๐๕
สังโยชนสูตร
ผู้สิ้นสังโยชน์
[๘๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก ๔ จำพวก เป็นไฉน คือ บุคคล
เป็นสมณะผู้ไม่หวั่นไหวจำพวก ๑
เป็นสมณะบุณฑริกจำพวก ๑
เป็นสมณะปทุมจำพวก ๑
เป็นสมณะผู้ละเอียดอ่อนในหมู่สมณะจำพวก ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลเป็นสมณะผู้ไม่หวั่นไหวอย่างไร ภิกษุในธรรม วินัย นี้ เป็นพระโสดาบัน เพราะสังโยชน์ ๓ สิ้นไป เป็นผู้มีอันไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยง จะตรัสรู้ในเบื้องหน้า บุคคลเป็นสมณะผู้ไม่หวั่นไหวอย่างนี้แล
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลเป็นสมณะบุณฑริกอย่างไร ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นพระสกทาคามี เพราะสังโยชน์ ๓ สิ้นไป และทำราคะ โทสะโมหะให้เบาบาง จะมาสู่ โลกนี้อีกครั้งเดียวเท่านั้น และจะกระทำที่สุดทุกข์ได้บุคคล เป็นสมณะบุณฑริก อย่างนี้ แล
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลเป็นสมณะปทุมอย่างไร ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็น อุปปาติกะ เพราะสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ ประการสิ้นไป จักปรินิพพานในภพนั้น มีอันไม่กลับ จากโลกนั้นเป็นธรรมดา บุคคลเป็นสมณะปทุมอย่างนี้แล
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลเป็นสมณะผู้ละเอียดอ่อน ในหมู่สมณะอย่างไร ภิกษุในธรรมวินัยนี้ กระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะ อาสวะ ทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ บุคคลเป็นสมณะ ผู้ละเอียดอ่อน ในหมู่สมณะอย่างนี้แล ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้แล มีปรากฏอยู่ในโลก
------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๑ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๐๕-๑๐๖
ทิฏฐิสูตร
ผู้เป็นสัมมาทิฏฐิ
[๘๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก ๔ จำพวก เป็นไฉน คือ บุคคล
เป็นสมณะผู้ไม่หวั่นไหวจำพวก ๑
เป็นสมณะบุณฑริกจำพวก ๑
เป็นสมณะปทุมจำพวก ๑
เป็นสมณะผู้ละเอียดอ่อนในหมู่สมณะจำพวก ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลเป็นสมณะผู้ไม่หวั่นไหวอย่างไร ภิกษุในธรรม วินัย นี้ เป็นผู้มีสัมมาทิฏฐิ มีสัมมาสังกัปปะ มีสัมมาวาจา มีสัมมากัมมันตะ มีสัมมาอาชีวะ มีสัมมาวายามะ มีสัมมาสติ มีสัมมาสมาธิบุคคล เป็นสมณะผู้ไม่หวั่นไหว อย่างนี้แล
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลเป็นสมณะบุณฑริกอย่างไร ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้มีสัมมาทิฏฐิ ฯลฯ มีสัมมาญาณะ มีสัมมาวิมุติ แต่ไม่ถูกต้องวิโมกข์ ๘ ด้วยนามกาย อยู่ บุคคลเป็นสมณะบุณฑริกอย่างนี้แล
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลเป็นสมณะปทุมอย่างไร ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ มี สัมมาทิฏฐิ ฯลฯ มีสัมมาญาณะ มีสัมมาวิมุติ และถูกต้องวิโมกข์ ๘ ด้วยนามกาย อยู่ บุคคลเป็นสมณะปทุมอย่างนี้แล
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลเป็นสมณะ ผู้ละเอียดอ่อนในหมู่สมณะอย่างไร ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ได้รับขอร้องจึงบริโภคจีวรมาก ไม่ได้รับขอร้องย่อมบริโภคแต่น้อย ฯลฯ บุคคลเป็นสมณะผู้ละเอียดอ่อน ในหมู่สมณะอย่างนี้แล
บุคคลเมื่อจะเรียกบุคคลใดโดยชอบว่า เป็นสมณะผู้ละเอียดอ่อนในหมู่สมณะ พึงเรียกบุคคลนั้น คือ เรานี่แหละว่า เป็นสมณะผู้ละเอียดอ่อน ในหมู่สมณะ เพราะเรา ได้รับขอร้องเท่านั้นจึงบริโภคจีวรมาก ไม่ได้รับขอร้องย่อมบริโภคแต่น้อย ฯลฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้แล มีปรากฏอยู่ในโลก
------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๑ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๐๖-๑๐๗
ขันธสูตร
ผู้พิจารณาเห็นความเกิดและความดับในอุปาทานขันธ์
[๙๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก ๔ จำพวก เป็นไฉน คือ บุคคล
เป็นสมณะ ผู้ไม่หวั่นไหวจำพวก ๑
เป็นสมณะบุณฑริกจำพวก ๑
เป็นสมณะปทุมจำพวก ๑
เป็นสมณะผู้ละเอียดอ่อน ในหมู่สมณะจำพวก ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลเป็นสมณะผู้ไม่หวั่นไหวอย่างไร ภิกษุในธรรม วินัยนี้ เป็นพระเสขะ ยังไม่บรรลุอรหัตมรรค ปรารถนาความสิ้นโยคะ อันยอดเยี่ยมอยู่ บุคคลเป็น สมณะผู้ไม่หวั่นไหว อย่างนี้แล
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลเป็นสมณะบุณฑริกอย่างไร ภิกษุในธรรมวินัยนี้ มีปรกติพิจารณาเห็นความเกิดและความดับ ในอุปาทานขันธ์ ๕ ว่า รูปเป็นดังนี้ ความเกิด ขึ้นแห่งรูปเป็นดังนี้ ความดับแห่งรูปเป็นดังนี้ เวทนาเป็นดังนี้ ...สัญญาเป็นดังนี้ ... สังขารเป็นดังนี้ ... วิญญาณเป็นดังนี้ ความเกิดขึ้นแห่งวิญญาณเป็นดังนี้ ความดับ แห่งวิญญาณเป็นดังนี้ แต่เธอหาได้ถูกต้อง วิโมกข์ ๘ ด้วยนามกายไม่ บุคคลเป็น สมณะบุณฑริกอย่างนี้แล
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลเป็นสมณะปทุมเป็นอย่างไร ภิกษุในธรรมวินัยนี้ มีปรกติพิจารณาเห็นความเกิดและความดับ ในอุปาทานขันธ์ ๕ ว่า รูปเป็นดังนี้ ความเกิดแห่งรูปเป็นดังนี้ ความดับแห่งรูปเป็นดังนี้ เวทนาเป็นดังนี้ ...สัญญาเป็นดังนี้ ... สังขารเป็นดังนี้ ... วิญญาณเป็นดังนี้ ความเกิดแห่งวิญญาณเป็นดังนี้ ความดับแห่ง วิญญาณเป็นดังนี้ และเธอถูกต้องวิโมกข์ ๘ ด้วยนามกายอยู่ บุคคลเป็นสมณะ ปทุม อย่างนี้แล
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลเป็นสมณะ ผู้ละเอียดอ่อนในหมู่สมณะอย่างไร ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ได้รับขอร้องเท่านั้น จึงบริโภคจีวรเป็นอันมาก ไม่ได้รับขอร้อง ย่อมบริโภคแต่น้อย ฯลฯ บุคคลเป็นสมณะผู้ละเอียดอ่อน ในหมู่สมณะอย่างนี้แล
ก็บุคคลเมื่อจะเรียกบุคคลใดโดยชอบว่า เป็นสมณ ะผู้ละเอียดอ่อนในหมู่สมณะ พึงเรียกบุคคลนั้น คือ เรานี่แหละว่า เป็นสมณะผู้ละเอียดอ่อน ในหมู่สมณะ เพราะเราได้ รับขอร้องเท่านั้น จึงบริโภคจีวรเป็นอันมาก ไม่ได้รับขอร้องย่อมบริโภคแต่น้อย ฯลฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้แล มีปรากฏอยู่ในโลก
|