พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๐ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๒๙๙
อาปายิกสูตร
บุคคลผู้ต้องไปสู่อบายภูมิ
[๕๕๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๓ จำพวกนี้ ไม่ละบาปกรรม ๓ อย่างนี้ จักต้องไปอบาย จักต้องไปนรก
บุคคล ๓ จำพวกเป็นไฉน คือ
๑.
ผู้ที่ไม่ใช่พรหมจารี แต่ปฏิญาณตนว่าเป็นพรหมจารี
๒.
คนที่ตามกำจัดท่านที่มีพรหมจรรย์บริสุทธิ์ ประพฤติ พรหมจรรย์ หมดจด ด้วยกรรม เป็นข้าศึกแก่พรหมจรรย์อันไม่มีมูล
๓.
คนที่มีวาทะอย่างนี้ มีทิฐิอย่างนี้ว่า โทษในกามไม่มี ถึงความเป็นผู้ตกไปในกาม ทั้งหลาย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๓ จำพวกนี้แลไม่ละบาปกรรม ๓ อย่างนี้ จักต้องไป อบาย จักต้องไปนรก
---------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๐ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๒๙๙
ทุลลภสูตร
บุคคลหาได้ยาก
[๕๕๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความปรากฏแห่งบุคคล ๓ จำพวก หาได้ยาก ในโลก บุคคล ๓ จำพวกเป็นไฉน คือ
๑.
พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
๒.
บุคคล ผู้แสดงธรรมวินัย ที่พระตถาคตประกาศแล้ว
๓.
กตัญญูกตเวทีบุคคล
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความปรากฏแห่งบุคคล ๓ จำพวกนี้แล หาได้ยากในโลก
---------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๐ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๒๙๙ -๓๐๐
อัปปเมยยสูตร
บุคคลที่ประมาณไม่ได้
[๕๕๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๓ จำพวกนี้มีปรากฏอยู่ในโลก ๓ จำพวก เป็นไฉน คือ
๑.
สุปปเมยยบุคคล
๒.
ทุปปเมยยบุคคล
๓.
อัปปเมยยบุคคล
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สุปปเมยยบุคคลเป็นไฉน คือ บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ฟุ้งซ่าน ถือตัว โลเล ปากกล้า พูดพร่ำเพรื่อ หลงลืมสติไม่มีสัมปชัญญะ มีจิตไม่ ตั้งมั่น มีจิตไม่แน่นอน ไม่สำรวมอินทรีย์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า สุปปเมยยบุคคล ผู้พึงประมาณได้โดยง่าย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ทุปปเมยยบุคคลเป็นไฉน คือบุคคลบางคนบางคน ในโลกนี้ เป็นผู้ไม่ฟุ้งซ่านไม่ถือตัว ไม่โลเล ปากไม่กล้า ไม่พูดพร่ำเพรื่อ ดำรงสติมั่น มีสัมปชัญญะ มีจิตตั้งมั่น มีจิตแน่วแน่ สำรวมอินทรีย์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า ทุปปเมยยบุคคล ผู้พึงประมาณได้โดยยาก
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อัปปเมยยบุคคลเป็นไฉน คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นพระอรหันต ขีณาสพ นี้เรียกว่า อัปปเมยยบุคคลผู้พึงประมาณไม่ได้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๓ จำพวกนี้แล มีปรากฏอยู่ในโลก
---------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๐ สุตตันตปิฎก หน้าท ี่๓๐๓-๓๐๔
อปัณณกสูตร
ข้อปฏิบัติไม่ผิด
[๕๕๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย วิบัติ ๓ อย่างนี้ ๓ อย่างเป็นไฉน คือ
๑.
ศีลวิบัติ
๒.
จิตตวิบัติ
๓.
ทิฐิวิบัติ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ศีลวิบัต ิเป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ฆ่าสัตว์ ฯลฯ พูดเพ้อเจ้อ ดูกรภิกษุทั้งหลายนี้เรียกว่า ศีลวิบัติ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็จิตตวิบัติ เป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้มักโลภ มีจิตพยาบาท ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า จิตตวิบัติ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ทิฐิวิบัติ เป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นมิจฉาทิฐิ มีความเห็นวิปริตว่า ทานที่ให้แล้วไม่มีผล ยัญที่บูชาแล้วไม่มีผล ฯลฯ สมณพราหมณ์ ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ทำโลกนี้และโลกหน้า ให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้วสอน หมู่สัตว์ให้รู้ตาม ไม่มีในโลก ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า ทิฐิวิบัติ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะศีลวิบัติเป็นเหตุ ... เพราะจิตตวิบัติเป็นเหตุ ... หรือ เพราะทิฐิวิบัติเป็นเหตุ สัตว์ทั้งหลายเมื่อแตกกาย ตายไป ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติวินิบาต นรก ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนแก้วมณีหกเหลี่ยม ถูกโยนขึ้นเบื้องสูง กลับมา ตั้งอยู่จะโดยที่ใดๆ ต้องกลับมาตั้งอยู่ได้ด้วยดี แม้ฉันใดฉันนั้นเหมือนกันแล
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะศีลวิบัติเป็นเหตุ ... เพราะจิตตวิบัติเป็นเหตุ ... หรือ เพราะทิฐิวิบัติเป็นเหตุ สัตว์ทั้งหลายเมื่อแตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ดูกรภิกษุทั้งหลาย วิบัติ ๓ อย่างนี้แล
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัมปทา ๓ อย่างนี้ ๓ อย่างเป็นไฉน คือ
๑.
ศีลสัมปทา
๒. จิตตสัมปทา
๓. ทิฏฐิสัมปทา
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ศีลสัมปทาเป็นไฉน บุคคลบางคน ในโลกนี้ เว้นขาดจาก การฆ่าสัตว์ ฯลฯ เว้นขาดจากคำเพ้อเจ้อ ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า ศีลสัมปทา
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็จิตตสัมปทาเป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ไม่มักโลภ ไม่มีจิตพยาบาท ดูกรภิกษุทั้งหลายนี้เรียกว่า จิตตสัมปทา
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ทิฏฐิสัมปทาเป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นสัมมาทิฐิ มีความเห็นไม่วิปริตว่า ทานที่ให้แล้วมีผล ฯลฯ สมณพราหมณ์ผู้ประพฤติดี ประพฤติชอบ ทำโลกนี้และโลกหน้าให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้ว สอนหมู่สัตว์ ให้รู้ ตามมีอยู่ ในโลก ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า ทิฏฐิสัมปทา
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะศีลสัมปทา เป็นเหตุ ... เพราะจิตตสัมปทาเป็นเหตุ ... หรือเพราะทิฏฐิสัมปทาเป็นเหตุ สัตว์ทั้งหลาย เมื่อแตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงสุคติ โลกสวรรค์
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนแก้วมณีหกเหลี่ยม ถูกโยนขึ้นไปเบื้องบน กลับมาตั้งอยู่จะโดยที่ใดๆ ต้องกลับมาตั้งอยู่ได้ด้วยดี แม้ฉันใด ฉันนั้นเหมือนกันแล ภิกษุทั้งหลาย เพราะศีลสัมปทาเป็นเหตุ ... เพราะจิตตสัมปทาเป็นเหตุ ... หรือเพราะ ทิฏฐิสัมปทาเป็นเหตุ สัตว์ทั้งหลายเมื่อแตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์
ดูกรภิกษุทั้งหลายสัมปทา ๓ อย่างนี้
|