เว็บไซต์ อนาคามี เผยแพร่คำพระศาสดา เผยแพร่คำสอนตถาคต เว็บไซต์เผยแพร่พระสุตรคำสอนของพระพุทธเจ้า คลิปคำสอน คลิปสาธยายธรรม
ค้นหาคำที่ต้องการ            

อัจจายิกสูตร กิจรีบด่วนของชาวนาและของภิกษุ สรทสูตรละธรรม ๓ อย่าง ปริสสูตร บริษัท ๓ จำพวก 2158
 

พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๐

อัจจายิกสูตร กิจรีบด่วนของชาวนา ๓ อย่าง และของภิกษุ ๓ อย่าง
กิจที่ควรรีบด่วนทำของคฤหบดีชาวนา ๓ รีบเร่งไถนานา เร่งเพาะกล้า เร่งเอาน้ำ-เอาน้ำออก
กิจที่ควรรีบทำของภิกษุ ๓ อย่าง สมาทานอธิศีลสิกขา อธิจิตตสิกขา อธิปัญญาสิกขา

สรทสูตร ธรรมจักษุกับท้องฟ้าในสารทกาล
อริยสาวก
(๑) ย่อมละสังโยชน์ ๓ อย่าง คือสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส เสียได้เด็ดขาด
(๒)ไม่ประกอบด้วยธรรม ๒ ประการ คืออภิชฌา ๑ พยาบาท ๑
(๓) สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน อันมีวิตกวิจาร
ถ้าอริยสาวกทำกาละในสมัยนั้น ย่อมไม่มีสังโยชน์ที่เป็นเหตุให้มาสู่โลกนี้อีก

ปริสสูตร ว่าด้วยบริษัท
บริษัท ๓ จำพวกนี้ ๓ จำพวกเป็นไฉน
(๑) บริษัทที่มีหัวหน้าประเสริฐ ผู้เถระเป็นคนไม่มักมาก ไม่ย่อหย่อน เป็นหัวหน้าในการปรารภความเพียร
(๒) บริษัทที่เป็นพวกเป็นหมู่ ภิกษุต่างบาดหมางกัน ทะเลาะวิวาทกัน ทิ่มแทงกันและกันด้วยหอกคือปา
(๓) บริษัทที่พร้อมเพรียงกัน
ภิกษุต่างสามัคคีกัน ชื่นชมยินดี ไม่วิวาทกัน เป็นเหมือนน้ำนมกับน้ำ

เรื่องสำคัญของพระพุทธเจ้า
การบำเพ็ญบารมีในอดีตชาติ
การประสูติ แสงสว่าง แผ่นดินไหว
แสวงหาสัจจะบำเพ็ญทุกรกิริยา
ปัญจวัคคีย์หลีก สิ่งที่ตรัสรู้
ตรัสรู้ แสดงเทศนาปัญจวัคคีย์
ปลงสังขาร ปรินิพพาน
ลำดับขั้นการปรินิพพาน
เทวดาแสดงฤทธิ์ขณะถวายเพลิง
แบ่งพระสรีระออกเป็น ๘ ส่วน
 
รวมพระสูตรบุคคลสำคัญ
พระโมคคัลลานะ
พระสารีบุตร
พระเทวทัต
นิครนถ์ปริพาชก
พระมหากัปปินะ
พระอนุรุทธะ
พระอุบาลี
(ดูทั้งหมด)
 
สารบาญพระไตรปิฎก
เล่มที่ ๘-๓๓ (๒๕ เล่ม) ทุกพระสูตร
1. ฉบับหลวง
2. ฉบับมหาจุฬาฯ
3. อรรถกถาไทย
4. ฉบับภาษาบาลี
5. อรรถกถา-บาลี
6. Pali Roman (Roman Script)
7. Atthakatha PaliRoman
 

 


 


พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๐ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๒๗๑

อัจจายิกสูตร
กิจรีบด่วนของชาวนาและของภิกษุ

             [๕๓๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย กิจที่ควรรีบด่วนทำของคฤหบดีชาวนา ๓ อย่าง เหล่านี้ ๓ อย่างเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย คฤหบดีชาวนาในโลกนี้
(๑) ต้องรีบเร่ง ไถนาให้ดี คราดนาให้เรียบร้อย
(๒) ครั้นแล้วต้องรีบเร่งเพาะพืชลงไป
(๓) ครั้นแล้ว รีบเร่งไข เอาน้ำเข้าบ้าง ระบายเอาน้ำออกเสียบ้าง


             ดูกรภิกษุทั้งหลาย กิจที่ควรรีบด่วนทำ ของคฤหบดีชาวนา ๓ อย่างนี้แล

             ดูกรภิกษุทั้งหลาย คฤหบดีชาวนานั้น ไม่มีฤทธิ์หรืออานุภาพบันดาลว่า ข้าวเปลือกของเราจงเกิดในวันนี้ พรุ่งนี้จงมีท้อง มะรืนนี้จงหุงได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย โดยที่แท้ สมัยที่ข้าวเปลือกของคฤหบดีชาวนานั้น มีความแปรของฤดู เกิดก็ดี มีท้องก็ดี หุงได้ก็ดี มีอยู่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล กิจที่ควรรีบทำของภิกษุ ๓ อย่างนี้ ๓ อย่างเป็นไฉน คือ
(๑) การสมาทานอธิศีลสิกขา
(๒) การสมาทานอธิจิตตสิกขา
(๓) การสมาทานอธิปัญญาสิกขา

             ดูกรภิกษุทั้งหลาย กิจที่ควรรีบด่วนทำของภิกษุ ๓ อย่างนี้แล

              ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้นไม่มีฤทธิ์ หรืออานุภาพบันดาลว่า จิตของเรา จงพ้นจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่นด้วยอุปาทานในวันนี้แหละ หรือมิฉะนั้น ก็ในวันพรุ่งนี้ หรือในวันมะรืนนี้

              ดูกรภิกษุทั้งหลาย โดยที่แท้ สมัยที่จิตของภิกษุนั้น ผู้ศึกษาอธิศีลอยู่ ก็ดี ผู้ศึกษาอธิจิตอยู่ ก็ดี ผู้ศึกษาอธิปัญญาอยู่ก็ดี หลุดพ้นจาก อาสวะทั้งหลาย เพราะ ไม่ถือมั่นมีอยู่

             เพราะเหตุนั้นแหละ ภิกษุทั้งหลายเธอทั้งหลาย พึงศึกษาอย่างนี้ว่า เราจักมี ฉันทะ อย่างแรงกล้าในการสมาทานอธิศีลสิกขา เราจักมีฉันทะอย่างแรงกล้า ในการ สมาทาน อธิจิตตสิกขา เราจักมีฉันทะอย่างแรงกล้า ในการสมาทาน อธิปัญญาสิกขา ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้แล

--------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๐ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๒๗๓-๒๗๔

สรทสูตร
ธรรมจักษุกับท้องฟ้าในสารทกาล

             [๕๓๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนในอากาศ ที่ปราศจากวลาหกในเมื่อ สรทสมัย ยังอยู่ห่างไกล อาทิตย์ส่องแสงเงินแสงทองขึ้นไปยังท้องฟ้า ขจัดความมืดมัว ที่อยู่ในอากาศเสียทั้งหมดแล้ว ส่องแสง แผดแสงและรุ่งโรจน์อยู่ฉันใด

             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล เมื่อใด ธรรมจักษุอันปราศจากธุลี ปราศจากมลทินเกิดแก่อริยสาวก อริยสาวกย่อมละสังโยชน์ ๓ อย่าง คือสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส เสียได้เด็ดขาด พร้อมกับเกิดขึ้นแห่งทัศนะ เมื่อนั้น ธรรมจักษุ ชนิดอื่นอีก ไม่ประกอบด้วยธรรม ๒ ประการ คืออภิชฌา ๑ พยาบาท ๑ อริยสาวกนั้น สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมบรรลุปฐมฌาน อันมีวิตกวิจาร มีปีติและสุขเกิด แต่วิเวกอยู่

             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าอริยสาวก พึงทำกาละในสมัยนั้น เธอย่อมไม่มีสังโยชน์ ที่เป็นเหตุ ทำให้อริยสาวก ผู้ยังประกอบ พึงกลับมายังโลกนี้อีก


--------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๐ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๒๗๔-๒๗๕

ปริสสูตร
ว่าด้วยบริษัท

             [๕๓๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บริษัท ๓ จำพวกนี้ ๓ จำพวกเป็นไฉน คือ
(๑) บริษัทที่มีหัวหน้าประเสริฐ
(๒) บริษัทที่เป็นพวกเป็นหมู่
(๓) บริษัทที่พร้อมเพรียงกัน

             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บริษัทที่มีหัวหน้าประเสริฐเป็นไฉน ในบริษัทใด ในโลกนี้ พวกภิกษุผู้เถระเป็นคนไม่มักมาก ไม่ย่อหย่อน ทอดธุระในการก้าวลง (ไม่มีนิวรณ์เกิดขึ้น) เป็นหัวหน้าในความสงัด ปรารภความเพียร เพื่อถึงธรรมที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุธรรม ที่ยังไม่ได้บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งซึ่งธรรมที่ยังมิได้ทำให้แจ้ง ประชุมชน ภายหลังต่าง ก็ถือเอาภิกษุเถระพวกนั้น เป็นแบบอย่างถึงประชุมชนนั้นก็ไม่มักมาก ไม่ย่อหย่อน ทอดธุระในการก้าวลง เป็นหัวหน้าในความสงัดปรารภความเพียร เพื่อถึง ธรรมที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุธรรมที่ยังไม่ได้บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งซึ่งธรรม ที่ยังมิได้ทำ ได้แจ้ง ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่าบริษัทมีหัวหน้าประเสริฐ

              ก็บริษัทที่เป็นพวก เป็นหมู่กันเป็นไฉน ในบริษัทใดในโลกนี้ พวกภิกษุต่าง บาดหมางกัน ทะเลาะกัน วิวาทกัน ทิ่มแทงกันและกันด้วยหอกคือปากอยู่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่าบริษัท ที่เป็นพวกเป็นหมู่กัน

             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บริษัทที่พร้อมเพรียงกันเป็นไฉน บริษัทใด ในโลกนี้ พวกภิกษุต่างสามัคคีกัน ชื่นชมยินดี ไม่วิวาทกัน เป็นเหมือนน้ำนม กับน้ำ ต่างมองดูกัน และกันด้วยนัยน์ตาอันเปี่ยมด้วยความรักอยู่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่าบริษัทพร้อม เพรียงกัน

ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมัยใด พวกภิกษุต่างสามัคคีกัน ชื่นชมยินดีไม่วิวาทกัน เป็นเหมือนน้ำนมกับน้ำ ต่างมองดูกัน และกันด้วยนัยน์ตาอันเปี่ยมด้วยความรักอยู่ สมัยนั้น ภิกษุทั้งหลายต่างประสบบุญ เป็นอันมาก ในสมัยเช่นนั้นภิกษุทั้งหลายต่างก็อยู่เหมือนพรหม คือ อยู่ด้วยมุทิตา เจโตวิมุติ ผู้ที่ปราโมทย์ย่อมเกิดปีติ ผู้ที่มีใจประกอบด้วยปีติกายย่อมสงบ ผู้มีกายสงบ ย่อมเสวยสุข ผู้มีสุขจิตย่อมตั้งมั่น

             ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนฝนเม็ดใหญ่ตกลงบนยอดเขา น้ำนั้นไหล ไปตามที่ลุ่ม ทำให้ซอกเขา ลำธารและห้วยเต็มเปี่ยม ซอกเขา ลำธารและห้วยเต็ม เปี่ยมแล้ว ทำให้หนองเต็มเปี่ยม หนองเต็มเปี่ยมแล้ว ทำให้บึงเต็มเปี่ยม บึงเต็ม เปี่ยมแล้ว ทำให้แม่น้ำน้อยเต็มเปี่ยม แม่น้ำน้อยเต็มเปี่ยมแล้วทำให้แม่น้ำใหญ่ๆ เต็มเปี่ยม แม่น้ำใหญ่ๆ เต็มเปี่ยมแล้ว ทำให้สมุทรเต็มเปี่ยมฉันใด

             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกัน สมัยใด พวกภิกษุต่างสามัคคีชื่นชม ยินดีกัน ไม่วิวาทกัน เป็นเหมือนน้ำนมกับน้ำ ต่างมองดูกันและกันด้วยนัยน์ตา อันเปี่ยมด้วยความรักอยู่ สมัยนั้น ภิกษุทั้งหลายต่างก็อยู่เหมือนพรหมคือ อยู่ด้วย มุทิตาเจโตวิมุติ ผู้ปราโมทย์ย่อมเกิดปีติ ผู้มีใจประกอบด้วยปีติกายย่อมสงบ ผู้มีกายสงบย่อมได้เสวยสุข ผู้มีสุขจิตย่อมตั้งมั่น

              ดูกรภิกษุทั้งหลายบริษัท ๓ จำพวกนี้แล

 





หนังสือพุทธวจน ธรรมะของพระศาสดา
90 90 90 90
พุทธประวัติ ขุมทรัพย์ อริยสัจ
ภาคต้น
อริยสัจ
ภาคปลาย
ปฏิจจ ปฐมธรรม ตถาคต อนาคามี อินทรีย์
สังวร
สัตว์
สัตตานัง
ทาน
สกทาคามี
ฆราวาส
ชั้นเลิศ
มรรควิธี
ที่ง่าย
อริยวินัย เดรัจฉานวิชา กรรม สมถะ
วิปัสสนา
โสดาบัน นา
ปานสติ
จิต มโน
วิญญาณ
ก้าวย่าง
อย่างพุทธะ
ตามรอย
ธรรม
ภพ ภูมิ
พุทธวจน
สาธยาย
ธรรม
สังโยชน์