พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๒ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๒๑๘
สัปปุริสสูตรที่ ๑
[๑๒๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัปปุริสทาน ๘ ประการนี้
๘ ประการ เป็นไฉน คือ
ให้ของสะอาด ๑
ให้ของประณีต ๑
ให้ตามกาล ๑
ให้ของสมควร ๑
เลือกให้ ๑
ให้เนืองนิตย์ ๑
เมื่อให้จิตผ่องใส ๑
ให้แล้วดีใจ ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัปปุริสทาน ๘ ประการนี้แล สัปบุรุษย่อมให้ทาน คือ ข้าวและน้ำที่สะอาด ประณีต ตามกาล สมควร เนืองนิตย์ ในผู้ประพฤติพรหมจรรย์ ผู้เป็นเขตดี บริจาคของมากแล้วก็ไม่รู้สึกเสียดาย ท่านผู้มี ปัญญาเห็นแจ้ง ย่อมสรรเสริญทาน ที่ สัปบุรุษให้แล้วอย่างนี้ เมธาวีบัณฑิตผู้มีศรัทธา มีใจอันสละแล้ว บริจาคทาน อย่างนี้แล้ว ย่อมเข้าถึงโลกอันไม่มีความเบียดเบียน เป็นสุข
------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๒ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๒๑๘-๒๑๙
สัปปุริสสูตรที่ ๒
[๑๒๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัปบุรุษเมื่อเกิดในตระกูล ย่อมเกิดเพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุข แก่ชนเป็นอันมาก คือ ย่อมเกิดเพื่อประโยชน์เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุขแก่มารดาบิดา ๑
แก่บุตรภรรยา ๑
แก่หมู่คนผู้เป็นทาสกรรมกร ๑
แก่มิตรอำมาตย์ ๑
แก่ญาติที่ล่วงลับไปแล้ว ๑
แก่พระราชา ๑
แก่เทวดาทั้งหลาย ๑
แก่สมณพราหมณ์ ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย มหาเมฆเมื่อตกให้ข้าวกล้าเจริญงอกงาม ย่อมตกเพื่อ ประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุขแก่ชนเป็นอันมาก ฉันใด สัปบุรุษก็ฉันนั้นเหมือนกัน เมื่อเกิดในตระกูล ย่อมเกิดเพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุข แก่ชนเป็นอันมาก คือ ย่อมเกิดเพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุข แก่มารดาบิดา ... แก่ สมณพราหมณ์
สัปบุรุษผู้มีปัญญาอยู่ครองเรือน เป็นผู้ไม่เกียจคร้านทั้ง กลางคืนกลางวัน บำเพ็ญตนเพื่อประโยชน์แก่ชนเป็นอันมาก ในชั้นต้นระลึกถึงอุปการะที่ท่านทำไว้ก่อน ย่อมบูชามารดา บิดาโดยชอบธรรม สัปบุรุษผู้มีศรัทธาตั้งมั่นแล้ว และมีศีล เป็นที่รัก ทราบธรรมแล้ว ย่อมบูชาบรรพชิตผู้ไม่ครองเรือน ผู้ไม่มีบาปประพฤติพรหมจรรย์ สัปบุรุษนั้นเป็นผู้เกื้อกูลต่อ พระราชา ต่อเทวดา ต่อญาติและสหายทั้งหลาย ตั้งมั่นแล้ว ในสัทธรรม เป็นผู้เกื้อกูลแก่คนทั้งปวง สัปบุรุษนั้น กำจัด มลทินคือความตระหนี่ได้แล้ว ย่อมประสบโลกอันเกษม
------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๒ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๒๒๑-๒๒๓
๑๐. สัพพลหุสสูตร
[๑๓๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย(๑) ปาณาติบาต อันบุคคลเสพแล้ว เจริญแล้ว กระทำ ให้มากแล้ว ย่อมยังสัตว์ให้เป็นไปในนรก ในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ในเปรตวิสัย วิบากแห่ง ปาณาติบาต อย่างเบาที่สุด ย่อมยังความเป็นผู้มีอายุน้อยให้เป็นไปแก่ ผู้มาเกิด เป็นมนุษย์
ดูกรภิกษุทั้งหลาย(๒) อทินนาทาน อันบุคคลเสพแล้ว เจริญแล้ว กระทำให้ มาก แล้ว ย่อมยังสัตว์ให้เป็นไปในนรก ในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ในเปรตวิสัยวิบากแห่ง อทินนาทาน อย่างเบาที่สุด ย่อมยังความพินาศแห่งโภคะให้เป็นไปแก่ผู้มาเกิดเป็น มนุษย์
ดูกรภิกษุทั้งหลาย(๓) กาเมสุมิจฉาจาร อันบุคคลเสพแล้ว เจริญแล้ว กระทำ ให้มากแล้ว ย่อมยังสัตว์ให้เป็นไปในนรก ในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ในเปรตวิสัยวิบาก แห่งกาเมสุมิจฉาจารอย่างเบาที่สุด ย่อมยังศัตรูและเวรให้เป็นไปแก่ผู้มาเกิดเป็นมนุษย์
ดูกรภิกษุทั้งหลาย(๔) มุสาวาท (พูดเท็จ) อันบุคคลเสพแล้ว เจริญแล้ว กระทำให้มาก แล้ว ย่อมยังสัตว์ให้เป็นไปในนรก ในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ในเปรตวิสัย วิบากแห่งมุสาวาท อย่างเบาที่สุด ย่อมยังการกล่าวตู่ด้วยคำไม่เป็นจริงให้เป็นไปแก่ ผู้มาเกิด เป็นมนุษย์
ดูกรภิกษุทั้งหลาย(๕) ปิสุณาวาจา (พูดส่อเสียด) อันบุคคลเสพแล้ว เจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมยังสัตว์ให้เป็นไปในนรก ในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ในเปรตวิสัย วิบากแห่ง ปิสุณาวาจา อย่างเบาที่สุด ย่อมยังการแตกจากมิตรให้เป็นไป แก่ ผู้มาเกิดเป็นมนุษย์
ดูกรภิกษุทั้งหลาย(๖) ผรุสวาจา (พูดหยาบคาย) อันบุคคลเสพแล้ว เจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมยังสัตว์ให้เป็นไปในนรก ในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ในเปรตวิสัย วิบากแห่งผรุสวาจา อย่างเบาที่สุด ย่อมยังเสียงที่ไม่น่าพอใจให้เป็นไปแก่ผู้มาเกิด เป็นมนุษย์
ดูกรภิกษุทั้งหลาย(๗) สัมผัปปลาปะ (พูดเพ้อเจ่อ) อันบุคคลเสพแล้ว เจริญแล้ว กระทำให้มาก แล้ว ย่อมยังสัตว์ให้เป็นไปในนรก ในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ในเปรตวิสัยวิบาก แห่ง สัมผัปปลาปะ อย่างเบาที่สุด ย่อมยังคำไม่ควรเชื่อถือให้เป็นไปแก่ผู้มาเกิดเป็นมนุษย์
ดูกรภิกษุทั้งหลาย (๘) การดื่มน้ำเมาคือสุราและเมรัย อันบุคคลเสพแล้ว เจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมยังสัตว์ให้เป็นไปในนรก ในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ในเปรตวิสัย วิบากแห่งการดื่มสุราและเมรัยอย่างเบาที่สุด ย่อมยังความเป็นบ้าให้เป็นไปแก่ผู้มาเกิด เป็นมนุษย์ |